ปรับหยาบ สรุปโอวาทการปฏิบัติธรรมที่ ๔

วันที่ 28 กค. พ.ศ.2565

28-7-65-4b.png

สรุปโอวาทการปฏิบัติธรรมที่ ๔


ปรับหยาบ : หลวงพ่อยืนยันคำของคุณยายอาจารย์ฯ ที่ว่า “หยาบกับละเอียดต้องไปคู่กัน” ถ้าหยาบไม่ละเอียดแล้ว ละเอียดจะไปละเอียดได้อย่างไร ดังนั้น ต้องปรับหยาบ ถ้าไม่ปรับดูเหมือนเร็ว แต่ช้า ถ้าปรับ ดูเหมือนช้า แต่เร็ว


เรา คือธงชัย : ผลการปฏิบัติธรรมที่ดีของพวกเรา มีผลให้ทุกคนในองค์กรเกิดการตื่นตัว เพราะทุกคนที่เข้ามาอยู่ในองค์กร ล้วนมีความหวังที่จะได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย เราจึงเป็นธงชัยให้กับทั้งในองค์กร ศูนย์สาขาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะขยายไปทั้งโลก


ทำอย่างสบายๆ : หลวงพ่อถนัดในเรื่องทางสายกลางมากที่สุดเพียงเรื่องเดียว ประสบการณ์ภายในของลูกๆ หลวงพ่อรู้ว่าได้ไปถึงตรงจุดไหนแล้ว หลวงพ่อมีวิธีลัดขั้นตอนในการเข้าถึง แค่วินาทีเดียวก็เท่ากันได้ และสามารถทันกันได้ เพราะสิ่งนี้อยู่เหนือกาลเวลา ไม่เกี่ยงว่ามาก่อนมาหลัง ดังนั้น คำขวัญที่ว่า “จบอนุบาลได้ด็อกเตอร์ทันใด” จึงไม่ได้ตั้งให้ดูเลิศหรู แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนพระพาหิยะฟังธรรมแค่สั้น ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ได้ ทั้ง ๆ ที่มาทีหลังปัญจวัคคีย์ แต่ก็ทันกันได้

ศูนย์กลางกาย : ศูนย์กลางกายเป็นที่รวมของทุกสิ่ง เหมือนเมล็ดโพธิ์ที่เก็บเอากิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผล เอาไว้ในเมล็ดเดียวศูนย์กลางกายเป็น encyclopaedia ศูนย์กลางกายสว่างทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน เป็นอกาลิโก พวกเรานั่งหลับตาลืมตาสองทีก็มืดแล้ว


ขั้นของจิต : ในขั้น basic เวลาเรานึก มันก็จะมีตึงบ้าง ไม่ตึงบ้าง สลับกันไป ถ้าตึงให้ลืมตาดูพระเดชพระคุณหลวงปู่ ขั้นต่อมามันก็จะขึ้นมาเองเป็นอัตโนมัติ ขั้น advance เราจะนึกให้ใสอย่างไรก็ได้ นึกทำอะไรก็ได้ เพราะจิตนุ่มนวลแล้ว จิตเป็นเหมือนแก้วสารพัดนึก


การนึกนิมิต : การนึกนิมิตในแต่ละช่วง จะนึกเป็นองค์พระคลุมตัว เราอยู่ในกลางองค์พระ หรือองค์พระผุดขึ้นมาจากศูนย์กลางกาย ก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ใจเราชอบ อยู่ที่ว่าช่วงนั้น ๆ เราอยากนึกอะไร

จากสมมติสู่วิมุตติ : ให้ตัดความรู้สึกที่กายเนื้อ ไม่ต้องไปสนใจกายหยาบ เรากำลังเปลี่ยนจากสมมติไปสู่วิมุตติ ในระดับสมมติเราจะนึกอะไรก็ได้ แล้วแต่เรา แต่ขอให้เบาสบาย และนึกที่กลางกายจะดีกว่านึกข้างนอก มองข้างนอกตัวไม่เกิดประโยชน์ให้มองข้างใน เพราะเรามีเป้าหมายหลักอยู่ภายในกลางกาย


ทำอย่างมนุษย์ธรรมดา : แต่ละรอบทำเหมือนกัน แต่ได้ผลไม่เหมือนกัน ก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่เทวดา เปรียบเหมือนตำน้ำพริกครกเดียวกัน รสชาติยังไม่เหมือนกัน แต่วิธีการที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว ให้ทำอย่างที่เคยทำต่อไป

 

เห็นตามเป็นทีม : วิธีที่หลวงพ่อแนะนำเป็นวิธีที่ง่าย เมื่อคนหนึ่งเห็น อีกคนก็จะเห็นตาม เมื่อใจละเอียดแล้วจะเห็นกันเป็นทีม เหมือนคนเห็นต้นไม้แล้วชี้ให้อีกคนดู ก็จะเห็นตามได้ต่างแต่เป็นการเห็นภายใน


คิดกับคลิก : คิดมี ๒ ระดับ คิดระดับแรก คือ การนึกเพื่อให้ไม่ฟุ้ง เห็นจำคิดรู้ของเรามันกระเจิง จึงต้องคิด เพื่อให้เห็นจำคิดรู้ ของเรากลับมาสู่ศูนย์กลางกาย คิดอีกระดับหนึ่ง เรียกว่า “คลิก” หรือกระดิกจิต เช่น คลิกองค์พระ ระดับนี้จะละเอียดกว่าระดับแรก แต่ถ้าเจอความโล่ง ๆ ว่าง ๆ ก็ไม่ต้องคลิกแล้ว เพราะจิตละเอียด เลยการคลิกไปแล้ว


มีอะไรให้ดูก็ดูไป : ให้ย้อนกลับไปดูบรรทัดแรก มีอะไรให้ดูก็ดูไป ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น เหมือนเรากำลังเดินทาง จะผ่านภูเขาหลายลูก ผ่านลูกแรกก็จะเจอลูกใหม่ไปเรื่อย ๆ เราไม่เห็นย้อนกลับไปดูลูกแรกเลย ดังนั้น ให้ดูไปเฉย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งติด แต่ก่อนเรามีทุกข์แบบยาจก คือ ไม่มีอะไร ให้ดู แต่ตอนนี้มีทุกข์แบบเศรษฐี เพราะไม่รู้จะดูอะไร มีให้เลือกดูมากมาย ตรงนี้ส่วนใหญ่มักจะตกม้าตายกัน ถ้าตกม้าแล้วไปขี่เบนซ์ก็โอเค แต่นี่ตกม้าแล้วมาขี่ซาเล้ง

 

ทำเฉย ๆ กับทุกประสบการณ์ : ประสบการณ์ภายในต่าง ๆ เป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น ให้ทำเฉย ๆ แล้วจะผ่านสิ่งเหล่านั้นไปเอง ให้ทำอย่างเบา ๆ สบาย ๆ ยิ่งเบายิ่งสบายก็ยิ่งจะเข้าไปหาศูนย์กลางกาย จะเข้าถึงดวง เข้าถึงองค์พระเอง

คุณครูไม่ใหญ่

จากหนังสือ ง่ายที่สุด คือหยุดได้ เล่ม ๑

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.017174581686656 Mins