การปฏิบัติธรรม ต้องขวนขวาย ต้องชิงช่วง

วันที่ 04 กย. พ.ศ.2566

4-9-66-B2.jpg

การปฏิบัติธรรม ต้องขวนขวาย ต้องชิงช่วง
                      การปฏิบัติธรรม...ลูกต้องขวนขวาย ต้องทำให้ต่อเนื่อง ต้องทำตลอดเวลา และต้องทำให้ได้อย่างคุณยายอาจารย์ ซึ่งท่านเล่าให้หลวงพ่อฟัง ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ตัดใจออกจากบ้าน ขนาดแม่ร้องไห้หันหน้าเข้าข้างฝา ท่านยังตัดใจออกจากบ้านมาได้ คือ ในใจมีแต่เป้าหมายที่จะไปตามหาพ่อ แต่จะไปอย่างไรไปด้วยวิธีการใดก็ยังไม่รู้ และก็ไม่รู้เลยว่าใครจะสอน จะได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้ เพราะตอนนั้นคุณยายฯ ยังไม่ได้รู้จักกับพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ มีแต่เป้าหมาย คือ จะไปตามหาพ่อ


                       คุณยายฯ ออกจากบ้านมา เพราะรู้ว่าพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านไปนรกสวรรค์ได้ เมื่อมาอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ แล้วท่านก็สืบทราบมาว่า คุณนายเลี้ยบ สิกาญจนานันท์ เศรษฐินีย่านสะพานหัน ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากคนสำคัญของวัดปากน้ำภาษีเจริญ ชอบไปทำบุญถวายภัตตาหารที่วัดเป็นประจำ คุณยายฯ จึงยอมตนเป็นคนรับใช้มาอยู่ที่บ้านคุณนายเลี้ยบ แม้ว่าครอบครัวท่านจะมีฐานะพอเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบาย ๆ มีศักดิ์ศรี และเป็นที่ยอมรับของคนทั้งหมู่บ้าน แต่ท่านกลับยอมตนที่จะมาเป็นคนรับใช้เขา เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งโอกาสในการเข้าถึงพระธรรมกาย แล้วจะไปตามหาพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว


                      คุณยายฯ ตั้งใจทำงานทุกอย่างอย่างดีที่สุด เพื่อให้เจ้าของบ้านไว้ใจ จนเจ้าของบ้านมอบกุญแจให้ดูแลหีบสมบัติ แสดงว่าต้องไว้ใจคุณยายฯ มากในระดับดีเยี่ยมเลย ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ถือกุญแจ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็หมดตัว


                     คุณยายทองสุข สำแดงปั้น ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช มาสอนธรรมะให้คุณนายเลี้ยบ คุณยายฯ อยากเรียนธรรมะมาก ก็ต้องคอยเอาอกเอาใจคุณยายทองสุข เพื่อจะขอเรียนธรรมะด้วย และเจ้าของบ้านก็อนุญาต ทุกวันคุณยายฯ ต้องแอบนั่งสมาธิ ต้องรีบทำงานบ้านทุกอย่างให้เสร็จ เพื่อไม่ให้ใครมาตำหนิได้ แล้วแบ่งเวลามานั่งสมาธิในห้องพระบ้าง ห้องเก็บของบ้าง ต้องคอยแอบกลัวคนอื่นมาเห็น แล้วจะไปบอกเจ้าของบ้าน หรือกลัวเจ้าของบ้านมาเห็น กลัวเขาเข้าใจผิดว่าแอบมางีบ


                      เทียบกับพวกเราแล้ว เราสบายกว่าท่านเยอะ นั่งธรรมะไม่ต้องแอบนั่งเลย มีที่ให้นั่งอย่างดี จะนั่งตรงไหนก็ได้ สะดวกสบายสัปปายะทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวสิงสาราสัตว์ แถมมี รปภ. มาคอยดูแลให้อีก ไม่ต้องระแวงว่าใครจะมาเห็น ซึ่งคุณยายฯ ท่านหลับตาไปต้องคอยเป็นกังวล ลูกทุกคนต้องพิจารณาให้ดีแล้วล่ะ ลองเทียบดูข้อแตกต่างระหว่างเรากับท่าน คุณยายฯ นั่งด้วยความกลัวกับความกังวล แสดงว่าใจต้องไม่นิ่ง แต่ขนาดไม่นิ่งของคุณยายฯ ก็ดีกว่าพวกเรา แต่ท่านสอนตัวเองได้โดยไม่ต้องมีใครมาสอน เพราะฉะนั้นลูกต้องสอนตัวเองกันให้มากนะ


                      เมื่อวันที่สมหวังของท่านมาถึง วันนั้นคุณยายทองสุขมาสอนสมาธิที่บ้านคุณนายเลี้ยบ คุณยายฯ ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านให้นั่งบนดาดฟ้ากับเจ้าของบ้านได้ พอนั่งอย่างไม่วิตกกังวล ไม่ต้องคอยระแวงอีก ใจก็ปล่อยวางได้ ใจหยุดเห็นจุดเล็ก ๆ เท่าดวงดาวใจมีความสุข พอออกจากสมาธิก็ประคองต่อ เห็นธรรมะตลอดเวลาเพราะมีความสุข ในแต่ละวันก็รีบ ๆ ทำงานให้เสร็จ ไม่ให้ใครตำหนิได้แล้วก็แอบมานั่งสมาธิ มีฉันทะเกิดขึ้นมาเองเลย ฉันทะในระดับแอบนั่ง และในที่สุดท่านก็นั่งจนกระทั่งเห็นกายพระธรรมกาย ก็ได้มา บอกกับคุณยายทองสุขเพื่อให้พาไปหาคุณพ่อที่ตายไปแล้วตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้


                   คุณยายฯ เล่าให้ฟังว่า ในตอนนั้นคุณยายฯ บอกว่า “ยายเห็นชัดมาก เห็นพ่ออยู่ในนรกเพราะดื่มเหล้า” ท่านดีใจมาก เพราะสมหวังที่ได้เจอพ่อ แต่ก็สงสารพ่อด้วยที่ต้องมาตกนรก ซึ่งก็แปลกนะ เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนต้องศึกษาเรียนรู้ คือ มีหลายอารมณ์ในเวลาเดียวกัน อารมณ์ดีใจที่ได้ไปหาพ่อ อารมณ์เสียใจเพราะสงสารที่พ่อตกนรก แต่ใจก็นิ่ง ไม่กระเพื่อม หลาย ๆ อารมณ์แต่ใจกลับไม่กระเพื่อมเลย


                      เมื่อไปช่วยพ่อได้สำเร็จ หลังจากนั้นจึงไปจากบ้านนี้ (เพื่อเรียนธรรมะต่อกับพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ) เพราะคุณยายฯ ไม่ได้มาเพื่อจะเป็นคนรับใช้เขา ท่านไม่ได้มาเพื่อการนี้ แม้จะทำได้อย่างดีเยี่ยมก็ตาม ที่หลวงพ่อเอาเรื่องของ คุณยายฯ มาเล่าให้ฟังก็เพื่อจะให้รู้ว่า “คุณยายฯ ขวนขวายโดยที่ไม่ต้องมีใครมาคอยบอก” ท่านเห็นธรรมะตลอดเวลาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น....ลูกก็ต้องทำธรรมะให้ได้ตลอดเวลา


                      คุณยายฯ มาเจอพระเดชพระคุณหลวงปู่ตอนอายุ ๒๙ แสดงว่าท่านไปนรกก็อายุประมาณ ๒๘ - ๒๙ ท่านเล่าให้ฟังหลายครั้งพออายุมากขึ้นก็เล่าน้อยลงแต่เนื้อหาก็ประมาณนี้ เพราะฉะนั้นถ้าลูกไม่ทิ้งทุกอย่างปล่อยวางทุกสิ่งให้ได้เหมือนคุณยายฯ ก็ยากที่จะทำได้ ดังนั้นเราต้องทำให้ได้อย่างท่านนะ


                        หากเรานั่งแล้วมีความสุขจะมีฉันทะเอง ถ้าไม่มีฉันทะอีก ๓ ตัว (วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีฉันทะจะมีความเพียรใจจดจ่อ ไม่มีนอกรอบในรอบ ความช่างสังเกตจะมีเอง เพราะฉะนั้น ถ้ามีความสุข....ฉันทะจะเกิดเอง ไม่ต้องให้ใครมาคอยดูว่านั่งไหม จะไม่มีฝากั้น ไม่มีในรอบนอกรอบ จะขวนขวายเองเลย


                       เพราะฉะนั้น....ลูกต้องร่วมมือร่วมแรง ต้องขวนขวายเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเรา หลวงพ่อคอยลูกทั้งหมดให้ทำแบบคุณยายฯ ต้องทำให้ได้ ยังอยู่ในวัยแข็งแรง ต้องสอนตัวเองให้มาก ไม่ต้องรอให้ใครมาสอน เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลากันไป อายุสังขารเราก็มีเวลาจำกัด ต้องรีบชิงช่วงตอนนี้ อย่าประมาทกันนะลูกนะ

 

 

คุณครูไม่ใหญ่

จากหนังสือ ง่ายที่สุดคือหยุดได้ เล่มที่ ๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.019454634189606 Mins