ทําภารกิจส่วนตัว....และส่วนรวมต้องไปด้วยกัน
ชีวิตในองค์กรนี้เป็นชีวิตอันประเสริฐ พระเณรก็ต้องปฏิบัติตามธรรมวินัย เป็นนักบวช และอุบาสกอุบาสิกาก็ถึงที่จะเป็นนักบวชหรือแทบจะเรียกว่าเป็นนักบวชด้วยซ้ำไป แต่เพียงแค่ไม่ได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น ที่ต้องมีอุบาสกและอุบาสิกาก็เพราะว่า “งานบางอย่าง พระเณรทำไม่ได้” ก็จะได้อุบาสกอุบาสิกาทำหน้าที่แทน เพราะฉะนั้น...จึงจำเป็นต้องมีอุบาสกและอุบาสิกา ซึ่งทั้งหมดนี้มีความสำคัญต่องานพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้น....เมื่อเราเข้ามาสู่องค์กรนี้แล้ว จึงควรจะใช้ชีวิตที่มีอยู่นี้ทุกวินาทีให้เป็นไปเพื่อการสร้างบารมีอย่างแท้จริง มีอะไรที่เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดี เป็นบารมีของเรา เราก็ควรจะทำ อย่าทำเฉพาะภารกิจที่เราได้รับมอบหมายอย่างเดียวเท่านั้นให้มองภาพรวมด้วยว่าสิ่งที่เราทำนั้นไปกระทบต่อภาพรวมขององค์กรหรือไม่ ถ้าไปในทางที่ดี...มันก็ดี ถ้าไปในทางที่ไม่ดี....มันก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น....อย่าทำเฉพาะหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายอย่างเดียวเท่านั้น ต้องดูภาพรวมด้วยนะ
ยกตัวอย่างเช่น เราเดินไปเห็นเศษกระดาษ ตกหล่น ขยะมูลฝอยตกหล่นตามพื้นถนน ตามอาคารไม่ว่าจะที่ใด อย่าคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้ที่รับผิดชอบในด้านนี้เท่านั้น แล้วเราก็เดินผ่านไปเฉย ๆ แม้ไม่ใช่ความผิดอะไร แต่ว่าไม่เหมาะสำหรับชีวิตนักสร้างบารมี แม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงที่เราได้รับมอบหมายจากหมู่คณะ เราก็สามารถทําได้เพียงก้มหลังเอื้อมมือไปหยิบเศษกระดาษใส่ลงไปในถังเพชรพลอย ประดุจหยิบเพชรพลอยเท่านั้นแหละ เราก็ได้ชื่อว่าทำเพื่อภาพรวมด้วย หยิบกันคนละชิ้นนั้น อารามของเราก็จะสะอาด ร่มรื่น ดูแล้วชื่นตาชื่นใจ
เมื่อสาธุชนทั้งหลายเข้ามาในองค์กรของเรา ไม่ว่าจะมาทำบุญหรือจะมาด้วยเหตุใดก็ตาม เมื่อสาธุชนได้มาเห็นความเป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด ใจเขาก็สบาย พอใจสบาย ซึ่งเป็นต้นทางของการสร้างบารมีของเขาทีเดียว เขาก็อยากจะทำบุญ อยากจะสนับสนุนองค์กรเรา อยากจะรักษาศีล อยากจะเจริญภาวนา และเมื่อเขาได้มานั่งปฏิบัติธรรม ใจที่สงบจากการที่เห็นอารามสะอาด ร่มรื่น มันก็มีผลพลอยทำให้ใจเขาสงบไปด้วย เขาจะนั่งยิ้มอยู่บนใบหน้าอย่างมีความสุข ใจก็จะเยือกเย็นและเข้าถึงธรรมได้โดยไม่ยากอะไร เพราะว่าเขามีความสุขตั้งแต่เห็นอารามสะอาด นี่ยกตัวอย่างเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเศษกระดาษ
การขับรถในองค์กร เราต้องขับด้วยความระมัดระวัง แม้เราจะรีบเร่งที่จะมาทำงานตามหน่วยงานต่าง ๆ ก็ตาม ที่ต้องใช้รถ เพราะว่าสถานที่มันกว้างใหญ่ ที่ทำงานก็อยู่กันคนละที่ แต่ถ้าหากว่าเราขับรถกันอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ ขับ ก็จะทำให้คนอื่นเขาทำตามเป็นแบบอย่าง เพราะเขาเข้ามาในองค์กร เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ถูกต้อง เขาเห็นอย่างไรเขาก็จะทำตามอย่างนั้น ถ้าเราทำแบบอย่างให้ถูกต้อง พอเขาเข้ามาเห็นเราขับรถไม่เร็วไม่ขับแบบรถซิ่งอะไรกันอย่างนั้น ขับอย่างระมัดระวัง จอดอย่างมีระเบียบ เป็นระเบียบแบบแผนที่ดี รถก็เช็ดล้างให้สะอาด ไม่ใช่จะขับกันอย่างเดียว เขามาเห็น เขาก็ชื่นใจ เขาก็จะขับช้า ๆ ตามเราเขาจะจอดอย่างมีระเบียบ เขาจะล้างรถให้สะอาดเหมือนอย่างของเรา
ตามหน่วยงานต่าง ๆ ถ้าทำให้สะอาด ตั้งแต่ของอยู่บนโต๊ะของอยู่ในห้อง ให้สะอาด ให้มีระเบียบ ดูแล้วชื่นอกชื่นใจ เวลาสาธุชนเขามาติดต่องาน เขาเห็นแล้วเขาก็สบายใจ ซึ่งเขามองดูว่าผู้ที่ดูแลอาคารหลังนี้ ห้องนี้ หน่วยงานนี้ เป็นผู้มีภูมิปัญญา มีคุณธรรมสูง ของอยู่บนโต๊ะมีระเบียบแสดงว่าจิตใจเขามีระเบียบ ไม่สับสน ไม่วุ่นวาย ไม่ฟุ้งซ่าน ใจเขาคงมีระเบียบ คือ หยุดนิ่งอย่างดีแล้วมีความสุขภายใน เพราะฉะนั้นเมื่อใจมีระเบียบ ขบวนการของความนึกคิดก็จะพลอยมีระเบียบ ไม่สับสน คำพูดคำจาก็มีระเบียบ สวยงามไพเราะเบื้องต้นท่ามกลาง เบื้องปลาย การกระทำก็มีระเบียบ จัดสิ่งของอะไรต่าง ๆ ไม่ให้รกรุงรังเลย มีระเบียบแบบแผนทุกอย่าง แสดงว่าหน่วยงานนี้องค์กรนี้เป็นผู้มีใจหยุดอย่างดีแล้ว มีภูมิปัญญา และมีคุณธรรม
เมื่อเขาเห็นอย่างนี้ ความรู้สึกชื่นชมก็เกิดขึ้น มหาสมบัติก็พรั่งพรูเข้ามาเลย ไม่ไปติดที่หยากเยื่อหยากไย่ของรกรุงรัง ไม่เป็นระบบไม่เป็นระเบียบ และที่สมบัติไม่เข้ามาในหลายๆ แห่ง บางทีมันไปติดที่หยากเยื่อหยากไย่ มีใยแมงมุมบ้าง มีขยะมูลฝอย ไม่เป็นระเบียบรกรุงรัง รองเท้าวางกระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง ฝุ่นละอองจับกันไปหมด ดูแล้วไม่งาม รถ อารามดูแล้วสกปรก สมบัติก็ไม่เข้า มันไปติดอยู่แถว ๆ นั้น แล้วก็กลับไปด้วย เงินในกระเป๋าเขาก็เอาออกกลับไปด้วย ไม่ควักออกมาแล้วยังไม่พอ เขาก็ยังจะพูดกันต่อ ๆ ไปอีกว่า “อย่าเข้ามาในที่นี้เลย” เห็นไหม สมบัติจะมา แต่มาแล้วก็ไป ไปแล้วยังนำสิ่งที่ไม่ดีพูดต่อไปอีก
อยากจะให้สมบัติเข้ามาสู่องค์กรของเรานี้อย่างง่าย ๆ โดยที่เราไม่ได้ลำบากอะไรเลย เพียงเราทำให้ใจเรามีระบบ มีระเบียบ ความนึกคิดไม่ให้สับสนให้หยุดให้นิ่ง จัดเรียงรายละเอียดของถ้อยคำที่จะพูดออกมาให้ชื่นอกชื่นใจซึ่งกันและกัน เป็นถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ถ้อยคำที่เป็นจริงที่ละเอียด ไม่เพ้อเจ้อ ไม่ฟุ้งซ่าน เป็นสัมมาวาจา การกระทำก็เช่นเดียวกันจะมีระบบระเบียบ ถ้าทำอย่างนี้มหาสมบัติก็จะเกิดขึ้นมาเอง เราก็จะมีเวลาว่างที่ไม่ต้องไปตามสมบัติ แล้วมานั่งหลับตาศึกษาวิชชาธรรมกายของเราอย่างเดียว เห็นไหม มันเกี่ยวพันกันไปหมดเลย กระดาษที่ตกอยู่ข้างหน้าเราชิ้นเดียวหยิบใส่ถังผงถังเพชรพลอย มีผลทำให้มหาสมบัติเข้ามาอย่างอัศจรรย์ทีเดียว
คนที่เขาอยู่ทางโลก เขาต้องทำมาหากิน เขาต้องต่อสู้ปากกัดตีนถีบกันทีเดียว ลำบากมาก เพราะฉะนั้นจิตใจเขาก็ร้อนรนกระวนกระวาย หน้าก็ยิ้มไม่ค่อยจะออก เมื่อเขาเข้ามาสู่องค์กรของเรา สิ่งที่เขาอยากจะเห็น คือ รอยยิ้มจากพวกเราทุก ๆ คนจากพระ จากเณร จากอุบาสก จากอุบาสิกา พนักงาน เจ้าหน้าที่ทุกคน เขาอยากจะเห็น ให้ทำความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ชมดอกนั้น ชมดอกนี้ ดูแล้วก็ชื่นอกชื่นใจ
เพียงเราให้รอยยิ้มแก่ตัวของเราเองทุกวัน ให้กับผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เพื่อนร่วมงาน สาธุชนทั้งหลาย แค่นี้มหาสมบัติก็เกิดขึ้นแล้วเพราะใจเขาสบาย เห็นแค่รอยยิ้มเขาก็อยากจะมาทำบุญนี่ก็จะแบ่งเบาภาระเราที่เราจะไปตามสมบัติ แค่ให้รอยยิ้มเท่านั้นเปิดกระเป๋าเขาได้ เพราะใจเขาสบาย เปิดกระเป๋าให้หนทางสมบัติเขาเข้ามาสู่องค์กร เพื่อเอามาทำงานให้เป็นสาธารณประโยชน์แก่โลก แค่รอยยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น เห็นไหมว่ามีผลกระทบไปถึงมวลรวมทั้งหมด
ถ้าเราลองหน้าวิ่งเข้าใส่กันดู อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราลองพูดกระทบกันดูทุก ๆ วัน ลองดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ถ้าเราพูดให้กำลังใจชื่นชมซึ่งกันและกัน อะไรจะเกิดขึ้น จะเบาแรงเราทีเดียวเพราะฉะนั้น...จะทำอะไรก็แล้วแต่ ขอให้นึกถึงภาพรวมด้วย อย่าไปคิดว่าเราทำเฉพาะตัวอย่างนี้ ถ้ารับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเองได้สมบูรณ์อย่างเดียวเท่านั้นคงจะไม่มีผลถึงมวลรวมไม่จริงนะเพราะฉะนั้นทำภารกิจที่ตัวเองได้รับมอบหมายด้วย แล้วก็ดูถึงภาพรวมด้วย
อย่างนี้องค์กรของเราก็จะเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง เป็นองค์กรแห่งศีลธรรมทีเดียว ที่ใครเข้ามาอยู่ในองค์กรนี้ก็จะมีความผาสุก สดชื่น เบิกบาน หลวงพ่อยกตัวอย่างอย่างนี้เพราะสำคัญนะ ดังนั้นจะทำอะไรก็ให้นึกถึงส่วนรวมเอาไว้ด้วย เราต้องเอาทั้งคน และเราก็ต้องเอาทั้งงาน งานเราก็สำเร็จ คนเราก็ได้ด้วย ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้ว เดี๋ยวเราจะเบาแรงทีเดียวในการที่จะตามสมบัติ เพราะสมบัติจะมาหาเราเองนั่นแหละ
คุณครูไม่ใหญ่
จากหนังสือ ง่ายที่สุดคือหยุดได้ เล่มที่ ๔