เวียนเทียนครั้งแรก
ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ ที่ผ่านมานี้ตรงกับวันมาฆบูชา ดิฉันได้ไปร่วมพิธีเวียนเทียนที่วัดพระธรรมกาย เหตุที่ดิฉันไปที่วัดพระธรรมกายนั้นมีหลายประการ เช่น
๑. ดิฉันศรัทธาและพอใจในโครงการที่ทางวัดได้จัดให้มีการฝึกอบรมธรรมทายาทและบวชพระบวชเณร สำหรับพวกนักเรียนและนิสิตนักศึกษา ปีละหลายร้อยคน เพราะพวกนิสิตนักศึกษาเหล่านั้น ต่อไปก็จะต้องไปเป็นหัวหน้าครอบครัวต้องไปปฏิบัติงานและทำงานอยู่ในองค์การต่างๆเมื่อได้มาฝึกอบรมแล้วที่จะต้องมีศีลธรรมและความประพฤติดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาอบรม เพราะได้มาฝึกหัดวิธีควบคุมจิตใจและความประพฤติของตนเองโดยถูกวิธี เมื่อแต่ละคนดีมีศีลธรรมขึ้นแล้ว ทุกครอบครัวก็จะเป็นสุข หรือเป็นสุขขึ้นกว่าเดิม การเอารัดเอาเปรียบและคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวก็จะน้อยลง สังคมส่วนรวมและชาติบ้านเมืองก็จะดีขึ้นเมื่อดิฉันพอใจตามที่กล่าวมาแล้ว ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะเข้าไปร่วมกิจกรรมด้วย
๒. เพื่อนรุ่นน้องที่อยู่ที่ทำงานเดียวกัน ซึ่งได้มาร่วมทำบุญและฟังธรรมที่วัดนี้อยู่เป็นประจำได้มาชักชวนดิฉันขอให้ลองไปร่วมพิธีด้วย เพราะการจัดระเบียบและพิธีเวียนเทียนของวัดงดงามน่าดูมาก ดิฉันก็อยากจะเห็นว่าจะสวยงามน่าดูเพียงใด
ด้วยเหตุดังกล่าว ดิฉันจึงไปที่วัดพร้อมกับพี่สาวและหลานสาว แต่เราทั้ง ๓ คนก็ไม่ได้อยู่ร่วมพิธีจนถึงจุดเทียน เพราะมากันแต่เฉพาะผู้หญิงและบ้านพี่สาวดิฉันอยู่ถึงบางแคซึ่งไกลมาก เราจึงต้องรีบกลับ
พอรุ่งเช้าวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๗ น้องที่ดิฉันกล่าวมาแล้วก็มาหาดิฉันแล้วถามว่า ดิฉันไปนั่งที่ตรงไหนเธอมองหาไม่เห็น พอกลับไปถึงบ้าน เปิ้ล (ลูกของเธอ) บอกว่าเห็นดิฉันแต่ดิฉันมองไม่เห็นเปิ้ล ฉันตอบไปว่า ดิฉันพยายามมองหาเธอ แต่ไม่เห็นเพราะดิฉันมาถึงประมาณ ๕ โมงครึ่ง คนนั่งเต็มไปหมดแล้ว ดิฉันจึงวานอุบาสกที่ยืนอยู่หน้าเทียนให้ช่วยเดินไปมองข้างหน้าโบสถ์ เพราะตามที่นัดกันไว้ว่าเธอจะนั่งตรงนั้น แต่อุบาสกก็บอกว่ามองไม่เห็น แต่เมื่อสักครู่เห็นแต่น้องเปิ้ลยืนอยู่ด้านในของวัด ดิฉันจึงไปนั่งในเต้นท์ด้านข้างโบสถ์ เพื่อว่าจะได้มองไปเห็นคนที่นั่งด้านหน้าโบสถ์ เพื่อจะได้พบกับเธอ เพราะดิฉันไม่ค่อยได้มาที่วัดนี้ ไม่ค่อยรู้จักใครและที่ทางหรือพิธีการของที่นี่ พอดิฉันนั่งไปสักครู่ หลวงพ่อธัมมะชโยก็สอนให้นั่งทำสมาธิและบอกว่าท่านเชิญพระธรรมกายของพระพุทธเจ้ามาด้วย ถ้าใครเห็นก็ให้บอกคนข้างๆ ช่วยดูด้วยดิฉันก็อยากจะเห็นและตั้งใจว่าจะพยายามดูให้ได้ระหว่างนั้นหรือก่อนนี้ ดิฉันก็ไม่แน่ใจ ก็มีแสงแว๊บแว๊บเข้าตาดิฉัน (ดิฉันนั่งหลับตาอยู่) ดิฉันก็คิดว่าคราวนี้คงเป็นอภินิหาร และเป็นอภินิหารที่แรงมากด้วย เพราะรู้สึกแสงแปล๊บๆ เข้าตาดิฉัน จึงหันไปถามพี่สาวที่นั่งข้างดิฉันว่า เมื่อสักครู่มีถ่ายรูปไหม? พี่สาวดิฉันตอบว่า มี ดิฉันก็เลยรู้ว่าไม่ใช่อภินิหาร
คราวนี้ดิฉันก็ตั้งใจมองใหม่ ดิฉันมองไปที่หน้าต่างโบสถ์ ดิฉันคาดว่าพระธรรมกายจะเปล่งรัศมีสีทองลอยออกมาทางหน้าต่างโบสถ์ เพราะดิฉันเคยอ่านหนังสือของที่วัดนี้ และมีสามเณรองค์หนึ่งได้เห็นพระธรรมกายในลักษณะดังกล่าว การที่ดิฉันดั่งใจสังเกตอยากจะเห็นพระธรรมกายดังกล่าว เพราะดิฉันอยากจะรู้เห็นด้วยตนเอง เพราะอ่านตามหนังสือ ถึงดิฉันจะเชื่อถือเพราะผู้ที่เขียนเป็นผู้มีศีลแต่ก็ยังไม่ซาบซึ้งเท่าที่ควร ยังอยากจะรู้สึกด้วยตนเองเพื่อจะได้แน่ใจว่าเป็นอย่างไร แต่เมื่อท่านไม่เสด็จออกมา ดิฉันก็ได้แต่จนใจ ดิฉันพยายามมอง
อยู่นาน ท่านก็ไม่เสด็จออกมา สักครู่พอพิธีเวียนเทียนรอบโบสถ์ ๓ รอบจบ พี่สาวดิฉันก็ชวนกลับบ้านเพราะบ้านอยู่ไกลดังกล่าวแล้วและกลัวว่าเวลาจบพิธี รถจะติดออกยาก
เราทั้ง ๓ คนเดินอ้อมมาตามถนน พอสุดถนนก็ถึงตรงหน้าโบสถ์ ดิฉันก็คิดในใจว่ามาคราวนี้ไม่ได้เห็นพระธรรมกาย ดิฉันก็หันกลับไปไหว้ลาและมองไปที่โบสถ์ ที่โบสถ์ก็สวย รอบๆ โบสถ์มืดแต่ในโบสถ์สว่างมาก เห็นหลวงพ่อธัมมะชโยนั่งอยู่ตรงกลางข้างหน้ามีพระภิกษุหลายองค์ แต่เห็นไม่ชัดเพราะอยู่ไกล เห็นประตูโบสถ์ข้างหลังหลวงพ่อเป็นรูปโค้ง ข้างในสว่างมองเห็นพระสีทองอยู่ข้างซ้าย มีพระสีขาวอยู่ข้างขวา ดิฉันจึงบอกกับพี่สาวและหลานสาวว่า เสียดายที่เรามาช้าเลยไม่ได้เข้าไปไหว้พระในโบสถ์ ดูซิ พระธรรมกายสีขาวที่น้องเปิ้ลช่วยหลวงพ่อปั้น ได้ออกมาตั้งด้วย ตั้งคู่กันเลยกับพระองค์สีทอง ซึ่งเป็นพระที่อยู่เดิมในโบสถ์ แต่องค์สีขาวเหลื่อมสูงกว่านิดหน่อยดิฉันเดินมาแล้ว ดิฉันก็หันกลับไปดูอีก ก็เห็นโบสถ์สวย มีแสงไฟส่องสว่าง มีพระสององค์อยู่ข้างในสีทองและสีขาว พอดิฉันเล่ามาถึงตอนนี้ก็เห็นน้องที่ทำงานทำหน้าแปลกๆ แล้วบอกดิฉันว่า พระในโบสถ์น่ะมีองค์เดียวสีทอง (ดิฉันมาเฉพาะตอนเย็นก็เลยยังไม่ได้เข้าไปนมัสการพระในโบสถ์ จึงไม่ทราบว่ามีพระพุทธรูปตั้งอยู่ที่องค์) ดิฉันบอกว่าดิฉันมองเห็นสององค์จริงๆ แม้เมื่อเดินมาแล้วหันกลับไปดูก็เห็นโบสถ์สว่างสวย มีพระสององค์อยู่อีกน้องที่ดิฉันพูดถึงก็เลยบอกว่า ดิฉันจะโชคดีมากๆ เสียแล้ว ได้เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใครๆ ก็อยากเห็น ซึ่งดิฉันก็ทั้งดีใจและเสียใจ เสียใจที่ว่าไม่ทราบว่าเป็นพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า จะได้สังเกตหรือคาดคั้นพี่และหลานที่ไปด้วยให้ดูให้ชัดๆ ส่วนในข้อที่ดีใจนั้น ดิฉันดีใจมากที่ได้รู้ได้เห็นด้วยตนเองว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และท่านไม่ได้เลือกชั้นวรรณะและบุคคลแม้กระทั่งดิฉัน ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องและเชี่ยวชาญในทางวัดเท่าใด แต่มีความศรัทธาและชอบทำบุญตามกำลังและโอกาส ก็ยังมีโอกาสได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง
ที่ดิฉันเขียนมาข้างต้นทั้งหมดนั้น เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น เป็นบุญกุศลจริงๆ ที่ดิฉันได้ไปเวียนเทียนครั้งแรกในชีวิต ก็ได้พบเห็นในสิ่งที่เป็นศิริมงคลอย่างสูง และได้เข้าร่วมในพิธีที่งดงามเป็นระเบียบซึ่งเป็นความประทับใจที่ดิฉันจะไม่ลืมเลย
วาณี ชาญเลขา, พณ.บ.
การไฟฟ้าฝ่ายผลิต