เป้าหมายของชีวิต
ข้าพเจ้ามักคิดเสมอ เป้าหมายของชีวิตคืออะไรยิ่งเวลาที่เห็นผู้คนเดินขวักไขว่บนท้องถนน ทำให้รู้สึกว่าชีวิตประจำวันของแต่ละคนนั้นช่างสับสนวุ่นวายเหลือเกิน ทุกขั้นตอนของชีวิตที่ผ่านมาต้องแข่งขันกันทั้งนั้น ตั้งแต่เรื่องการเรียน การงานดังเช่นคำที่กล่าวไว้ว่าชีวิตคือการต่อสู้ ต่อสู้เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ นั่นคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า จะทำให้คนเรามีความสุขหรือบรรลุถึงเป้าหมายของชีวิตเพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ถ้าเช่นนั้นจะหาความสุขได้จากที่ไหนล่ะ
จนกระทั่ง วันที่ 9 มกราคม พ.ศ.๒๕๒๖ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ได้ไปทำบุญที่วัดพระธรรมกาย เพียงก้าวแรกที่เดินเข้าวัด ข้าพเจ้าก็รู้สึกถึงความสงบความร่มรื่น โบสถ์ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นสง่างามต้นไม้ที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบทั่วบริเวณวัดช่างแตกต่างจากวัดอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยไป บรรยากาศของวัดเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นที่พักใจหลังจากที่ได้เหน็ดเหนื่อยกับหน้าที่การงาน หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาทุกวันอาทิตย์พวกเราจะต้องไปปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิแนววิชชาธรรมกายที่วัดพระธรรมกายเป็นประจำ บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบแล้วว่า เป้าหมายของชีวิต คือการทำให้พ้นทุกข์ เพราะการเกิดเป็นทุกข์และความสุขที่ทุกคนปรารถนานั้นก็อยู่ที่ตัวเราทุกคนนั่นเอง คือ ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ด (๗)
และแล้ววันที่ข้าพเจ้าปีติที่สุดในชีวิตการปฏิบัติธรรมที่ผ่านมาเพียงปีเศษก็มาถึง คือวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งตรงกับวันมาฆบูชาทางวัดพระธรรมกายจัดให้มีการทอดผ้าป่าสามัคคีและในเวลากลางคืนที่มีการจุดดวงประทีปและเวียนเทียน โดยจัดถนนทางเดินหน้าโบสถ์เป็นที่นั่งสำหรับผู้ที่มาปฏิบัติธรรม คืนนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนสาม พระจันทร์ทรงกลด บรรยากาศเงียบสงัดแม้ว่าจะมีคนมาชุมนุมร่วมหมื่นคน ทุกคนนั่งหลับตาน้อมจิตไปตามเสียงหลวงพ่อที่สอนสมาธิแนววิชชาธรรมกาย
สำหรับตัวข้าพเจ้านั้นเมื่อทำใจหยุด ใจนิ่งได้สักครู่ รู้สึกตัวเบาเหมือนล่องลอยไปไกลแสนไกลสบายกายสบายใจ ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็นึกถึงคำเล่าขานที่บอกต่อๆกันมาว่า เห็นพระพุทธเจ้าลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือหลังคาโบสถ์วัดพระธรรมกายด้วยตาเนื้อในวันมาฆบูชาที่ผ่านมา ดังนั้นข้าพเจ้าจึงลืมตาขึ้นมองเพื่อที่จะได้เห็นพระพุทธเจ้าบ้าง แต่เมื่อมองไปที่โบสถ์ กลับเห็นผู้คนเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวตามระเบียงโบสถ์ ข้าพเจ้าอดแปลกใจไม่ได้เพราะว่ายังไม่เสร็จพิธี ธรรมทายาทเหล่านี้ขึ้นไปบนระเบียงโบสถ์ทำไมกัน แต่เมื่อมองเพื่อให้แน่ใจถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ธรรมทายาทเพียงแต่แต่งตัวคล้ายคลึงกันคือนุ่งกางเกงสีกรมท่า ใส่เสื้อขาว ส่วนผู้หญิงนั้นแต่งตัวเหมือนอุบาสิกา คือนุ่งผ้าถุงขาว เสื้อขาวยืนสำรวมอยู่เชิงบันไดโบสถ์ แต่เมื่อข้าพเจ้าจ้องมองมากขึ้นด้วยความสงสัยภาพเหล่านั้นก็เลือนหายไป (ข้าพเจ้าได้กราบเรียนถามหลวงพ่อภายหลังถึงได้ทราบว่าคนที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นเป็นภุมเทวดา ซึ่งเป็นเทวดาชั้นต้นการแต่งกายจึงคล้ายมนุษย์) ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองคงจะตาฝาด จึงได้หลับตาอีกครั้งหนึ่งแต่เมื่อนั่งเข้าที่ไปได้สักครู่ก็ลืมตาขึ้น และมองไปที่ระเบียงโบสถ์อีก สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่หลวงพ่อด้วยความแปลกใจว่า ทำไมวันนี้ท่านนั่งไม่ติดอาสนะตัวลอยๆ ลอยออกมาข้างหน้าจนเห็นชัด แต่เมื่อข้าพเจ้ามองให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่า หลวงพ่อท่านยังนั่งเข้าที่อยู่ ส่วนที่เห็นนั้นเป็นกายอีกกายหนึ่งของท่าน กายที่ซ่อนตัวท่านอยู่ยังลอยอยู่เช่นนั้นจนเห็นชัดเป็นขอบระหว่างกายสองกาย ข้าพเจ้ารู้สึกอัศจรรย์ใจและไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองมีบุญได้เห็นปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อจึงหลับตา เพราะถ้าข้าพเจ้าตาฝาดเมื่อลืมตาขึ้นใหม่ก็จะไม่เห็นอะไรเลยแต่เมื่อลืมตาข้าพเจ้าถึงกับตกตะลึงและอัศจรรย์ใจยิ่งขึ้น และเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอนเพราะข้าพเจ้าเห็นกายหลวงพ่อที่ลอยอยู่นั้นลุกขึ้นยืนหันหน้ามาทางอุบาสิกาและก้าวเท้าลงจากที่ท่านยืนอยู่ลักษณะการเดินของท่านเบาๆ ลอยๆ แต่เดินเร็วจนข้าพเจ้าตกใจจึงหลับตาเพราะนึกถึงคำสั่งของท่านระหว่างนั่งเข้าที่ท่านสั่งให้หลับตาอย่าลืมตาแต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้ลืมตาก็จะไม่มีโอกาสเห็นสิ่งมหัศจรรย์และปาฏิหาริย์เหล่านี้
แม้ว่าวันมาฆบูชาจะล่วงเลยมาแล้ว แต่ภาพเหล่านั้นยังติดตาติดใจข้าพเจ้าอยู่ ทำให้ข้าพเจ้ามีกำลังใจและเพิ่มความเพียรในการปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะให้เข้าถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นหนทางถูกต้องสายเดียวที่จะบรรลุถึงเป้าหมายของชีวิต
กุลชรินทร์ เลิศศรีนภาพร,
สมุห์บัญชี
บริษัท อุตสาหกรรมกรุงเทพพิมพ์ย้อม จำกัด