จิตที่ผ่องใส

วันที่ 28 เมย. พ.ศ.2567

280467b01.jpg
 

จิตที่ผ่องใส
๖ มีนาคม ๒๕๓๗
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)


                ให้นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบายคล้าย ๆ กับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบาย ๆ นะจ๊ะ ทุก ๆ คน ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย สำหรับท่านที่มาใหม่ให้จำท่านั่งนี้เอาไว้ให้ดีนะจ๊ะ เวลาอยู่ที่บ้านหาอาสนะหนุนก้นให้สูงขึ้นกว่าข้างหน้าสักนิดหนึ่ง จะได้ไม่เมื่อย นี่เป็นท่านั่งที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านถอดแบบออกมาจากพระธรรมกายในตัวของท่าน ที่ท่านได้เข้าค้นพบเข้าไปเห็น นี่เป็นแบบมาตรฐานที่ท่านที่มาใหม่จะต้องจำไว้ให้ดีนะจ๊ะ ส่วนในแง่ของการปฏิบัติจริง ๆ เวลาเราอยู่ที่บ้าน นอกจากเราจะนั่งท่านี้แล้วเนี่ยะ เราอาจจะนั่งในท่าที่เรามีความรู้สึกสบายก็ได้ เช่น ขัดสมาธิชั้นเดียว หรือนั่งพับเพียบ หรือนั่งห้อยเท้า จะมีอะไรพิงหลังสักหน่อยก็ได้ ให้ร่างกายมีความรู้สึกว่าเราสบายนะจ๊ะ 

 


                แต่ท่านั่งที่ถูกต้องและทำให้เราถูกส่วนได้ง่ายก็คือ ท่าที่หลวงพ่อแนะนำไปเมื่อสักครู่เนี้ยะ ท่าที่หลวงพ่อวัดปากน้ำถอดแบบมาจากพระธรรมกายในตัวของท่านน่ะ แล้วก็พระธรรมกายในตัวของใครก็ตาม ทุก ๆ คนในโลก ก็จะนั่งอยู่ในท่านี้แหละ ท่าเดียวกับพระประธานที่อยู่ในสภาธรรมกายแห่งนี้เนี้ยะ ลักษณะท่านคล้าย ๆ อย่างนี้ นั่งขัดสมาธิขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ นะจ๊ะ นี่จำท่านี้ไว้ให้ดีนะ 

 


                เมื่อเราปรับร่างกายของเรา ให้มีความรู้สึกว่าสบาย สบายดีแล้วนะจ๊ะ ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องของการปรับใจ ใจที่เหมาะที่จะเข้าถึงพระธรรมกายในตัว ใจนั้นจะต้องปลอดโปร่ง ว่างเปล่า เบาสบาย จะต้องปลอดโปร่ง ว่างเปล่าเบาสบาย ไม่มีปริโพธิ์ความกังวลใจในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น จะเป็นเรื่องของการศึกษาเล่าเรียน เรื่องของธุรกิจการงาน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกจากนี้ที่คั่งค้างอยู่ในใจ ที่ทำให้ใจเราไม่สบาย ขุ่นมัวเนี่ยะ ต้องปลดต้องปล่อย ต้องวาง ให้ใจสบาย ถ้าใจสบายกายสบายเนี่ยะได้ถูกส่วนดีแล้ว ในไม่ช้าก็จะเข้าถึงธรรมได้อย่างง่ายอย่างที่เรานึกไม่ถึงเลย ธรรมะ แม้จะเป็นของลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ยากต่อการเข้าถึงนะจ๊ะ 

 


                เรานึกถึงตอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทรงแสดงธรรม พอจบพระธรรมคำสอนของพระองค์ ก็บรรลุธรรมาพิสมัยกันเป็นแถวเลย คือบรรลุธรรมนะ เข้าถึงธรรมกายกันได้เป็นแถวเลยนะ เยอะแยะทีเดียวเลย นี้ก็เป็นข้อคิดซึ่งถ้าเราลองมาคิดดูว่าทำไมได้ง่ายดายอย่างนั้น คือนอกจากบุญเก่าที่แต่ละคนได้สั่งสมมาแล้วเนี่ยะ ปัจจุบันก็คือ การปรับกายและใจให้เบาสบายแล้วปล่อยใจไปตามกระแสธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเอาไว้อย่างดีแล้วในตอนนั้นนะ ก็สามารถที่จะเข้าถึงธรรมได้ ถ้าหากเราจับหลักตรงนี้ได้เนี้ยะ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เดี๋ยวเราก็จะปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมกายได้ไม่ยากจนเกินไปนะจ๊ะ 

 


                เพราะฉะนั้นตอนนี้อยู่ในช่วงที่เราปรับกายและใจให้สบาย ใจจะสบายได้นั้นนะก็ต้องนึกถึงเรื่องที่ทำให้สบาย อย่างเช่น ในตอนนี้เราได้ผ่านวันมาฆบูชามหาสมาคมกันมาหยก ๆ เหตุการณ์ที่ผ่านไปในวันนั้น ถ้าหากว่าเราเป็นนักสร้างบารมีที่ดี เราก็จะเลือกเก็บเกี่ยวเอาในสิ่งที่จะทำให้เราเกิดความบันเทิงใจ คือนึกถึงแต่ภาพที่เรามีความสุขใจกันแต่เช้าวันนั้นเรื่อยมาเลยว่าเราได้ ตอนเช้าได้ปฏิบัติธรรม ตอนบ่ายก็ได้ถวายผ้าป่า ตอนเย็นก็ได้หล่อรูปเหมือน หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ พระมงคลเทพมุนี ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ตอนเย็นวันนั้นก็ร่วมกันจุดมาฆบูชา มาฆประทีปบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก ๑,๒๕๐ รูปในวันนั้น ให้นึกถึงแต่สิ่งที่ทำให้ใจเราเบิกบาน ส่วนสิ่งที่ทำให้ใจเราขุ่นมัวหรือขลุกขลักในวันนั้นก็ทิ้งไปเถอะ 

 


                เนื่องจากวันนั้นเป็นวันบุญใหญ่ วันที่จะหล่อรูปเหมือนหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ เป็นทองคำ เป็นสิ่งที่มันเกิดได้ยากในโลก และโดยเฉพาะในยุคนี้ที่จะหล่อด้วยทองคำหนัก ๑ ตัน นี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏกันมาก่อน เมื่อสาธุชนทั้งหลายได้รับทราบข่าวทั่วประเทศ ทั้งภายในและต่างประเทศ ก็เดินทางมา เพื่อหวังที่จะได้รับมหากุศล ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากในคราวนี้เนี้ยะ ก็หลั่งไหลกันมามากทีเดียว เมื่อมามากเจ้าหน้าที่ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสกและอุบาสิกาของวัดซึ่งได้เตรียมงานมาก่อนหน้านี้หลายวัน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันอย่างเต็มที่ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากัน แต่ก็หัวใจนั้นชุ่มไปด้วยบุญมีความปิติ ก็เตรียมการต้อนรับ พยายามจะต้อนรับให้ดีที่สุดเลยเนี้ยะ ทุกท่านเลยนี้ ไม่ว่าจะเป็นประธานรอง ประธานทอง ประธานกอง หรือ สาธุชนทั้งหลายเนี่ยะ พยายาม พยายามอย่างเต็มที่ 

 


                แต่วันนั้นก็เกิดเหตุสิ่งที่เรานึกไม่ถึงกันคือ ไฟบังเอิญมามีอารมณ์ไหม้วันนั้นอีกที่เมอรี่คิง ทั้ง ๆ ที่เจ้าของก็มีกุศลศรัทธาจนเดินทางมาเอาบุญในวันนั้นเหมือนกัน เป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน รถราก็ติดกันขลุกขลักกันเรื่อยมา ทำให้การต้อนรับต่าง ๆ มันผิดคิวหมด รับกันได้อย่างไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นอากาศมันก็ร้อนด้วย บางท่านก็อาจจะขุ่นมัวบ้างหลวงพ่อวันนั้นนะ เห็นการต้อนรับของสาธุชนเนี่ยะดูแล้วไม่ค่อยได้ดั่งใจที่นึกไว้  รู้สึกรำคาญใจ แต่ไม่ขุ่นมัว คือมันมีความใสสว่างเป็นสุขอยู่ภายใน แต่รำคาญใจเนี่ยะว่าทำไมถึงต้อนรับประธานรอง ประธานทอง ประธานกองหรือสาธุชนทั้งหลายอย่างไม่เต็มที่ มันขลุกขลักกันไป แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ทำความเข้าใจกัน มักจะเข้าใจกันว่างานใหญ่อย่างนี้ การขลุกขลักอย่างนี้ถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็พลอยทำให้หลวงพ่อเบาใจได้

 


                อันที่จริงหลวงพ่อวันนั้นนะเป็นลมเลยเนี่ยะ เป็นลมจริง ๆ เกิดมาไม่เคยเป็นลม พึ่งมาเป็นตอนแก่เนี้ยะ ตอนอายุ ๕๐ เนี้ยะ แต่ก็ใจนั้นชุ่มอยากจะได้บุญวันนั้นเต็มที่ ก็ฝืนสังขารที่จะทำภารกิจ ตามที่ตัวมีหน้าที่ที่จะทำในวันนั้นอย่างเต็มที่ ก็ได้เท่าที่เห็นอย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นผู้ฉลาด นักสร้างบารมีก็เลือกจะเก็บเกี่ยวเอาอารมณ์ที่ดี ๆ เอาไว้เป็นเครื่องสนับสนุน ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการสั่งสมบารมีของเราให้เต็มที่ เพราะหลักมันมีอยู่ว่า ถ้าใจผ่องใสไม่เศร้าหมอง ในการบำเพ็ญบุญกุศลทุกครั้งไป จะเป็นการให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา จิตที่ผ่องใสตลอดเวลา จะทำให้กระแสทานแห่งบุญไหลผ่านกระแสใจของเราตลอดทุก ๆ กาย เนื่องมาถึงกายเนื้อ และจะมีผลส่งไปทุกภพทุกชาติจนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพานนะ 

 


                เราจะได้สมบัติอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นโลกียทรัพย์อริยทรัพย์ภายใน หรือก็โลกียทรัพย์ภายนอก เราจะได้อย่างเย็น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ อย่างเต็มเปี่ยมไม่มีหกไม่มีหล่น แถมเกินควร เกินคาดเสียอีก จะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขหรือมรรคผล นิพพาน ก็จะได้อย่างง่าย ๆ ทีเดียว ได้อย่างง่ายดายเลย อย่างโลกียทรัพย์ พอเกิดมาเนียะ ทรัพย์ทุกอย่างก็จะมารอคอยเราอยู่ ไม่ต้องทำมาหากิน ทรัพย์ทุกอย่างเนี้ยะมาบังเกิดขึ้นเลย เรื่องนี้มีอยู่นะจ๊ะ เป็นเรื่องจริง ๆ นะ 

 


                อย่างเรื่องมหาอุบาสิกาวิสาขาเนี้ยะ พอเกิดขึ้นมาทรัพย์สมบัติก็มาคอยท่า สมบัติตั้งแต่ เมณฑกะเศรษฐี พ่อธนัญชัยเศรษฐีตกมาเป็นสมบัติของลูก ของมหาอุบาสิกาวิสาขา เกิดมาสมบัติมาคอยอยู่ เอาไว้ให้สร้างบารมีอย่างสะดวกสบาย และแถมยังได้บรรลุธรรม มีอริยะทรัพย์ภายในตั้งแต่ ๗ ขวบ นี่ก็เป็นเพราะว่าทุกครั้งที่ ภพก่อน ๆ ของท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา เวลาท่านจะให้ทาน รักษาศีล หรือจะเจริญภาวนา ท่านทำด้วยหัวใจที่ผ่องใส เบิกบานอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็รักษาใจให้ผ่องใส ไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ท่านจะไม่ให้อารมณ์เหล่านั้นนะ เข้ามาแทรกในดวงใจของท่านได้ จะให้ใจเนี่ยเต็มเปี่ยมไปด้วยบุญ ด้วยกุศลด้วยคุณงามความดีอยู่ตลอดเวลาเลย เพราะฉะนั้นสมบัติเวลาเกิดกับท่านก็เกิดขึ้นได้อย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายอย่างดาย อย่างบริสุทธิ์ อย่างเยือกเย็นและก็เต็มเปี่ยม ไม่มีหกหล่นเลยแม้แต่นิดเดียว 

 


                หรือแม้แต่พระสิวลีเนี้ยะ พระอรหันต์เถระ ท่านเป็นผู้มากไปด้วยลาภ มีสมบัติมาก หนทางทุรกันดารแค่ไหนก็ตามเนี้ยะ เวลาพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านจะเสด็จไปที่ไหน ท่านก็จะถามว่าที่นั่น ทุรกันดารไหม ถ้าทุรกันดารก็ให้นำเอาพระสิวลีท่านไปด้วย และถิ่นทุรกันดารต่าง ๆ เนี่ยะ ด้วยอานุภาพแห่งบุญของท่าน ที่ทำด้วยใจเนี่ยะใจที่เบิกบาน ปิติสุข อยู่ตลอดเวลา ทำให้ถิ่นทุรกันดารนั้นน่ะ   เปลี่ยนไปเป็นถิ่นแห่งความอุดมสมบูรณ์ ตลอดทุกครั้งไปเลย หรือแม้แต่การบรรลุธรรมของพระสิวลีท่านก็ง่ายดาย ไม่ต้องมานั่งลำบากเหมือนพวกเรามานั่งกันอยู่อย่างนี้นะจ๊ะ แค่มีดโกนจรดปรอยผมของท่านเนี้ยะ ปลงผมไปได้หนึ่งในสี่ส่วนก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ครึ่งศีรษะก็ได้เป็นพระสกิทาคามีบุคคล ค่อนศีรษะสามในสี่ส่วนก็เป็นพระอนาคามี พอหมดศีรษะก็เป็นพระอรหันต์เลย เห็นมั้ยจ๊ะง่ายเหลือเกินสำหรับท่าน แต่ง่ายในวันนั้นสำหรับท่านก็เพราะวันก่อน ๆ ชาติก่อน ๆ นู้น เวลาท่านให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ท่านจะรักษาใจของท่านให้ผ่องใสตลอดเวลา ท่านนึกถึงเป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคเป็นรอง นึกถึงความบริสุทธิ์ของการสร้างบารมี ไม่สนใจอุปสรรคเลย อากาศจะร้อนอบอ้าวแค่ไหน ได้รับการต้อนรับไม่เต็มที่ หรือจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพียงใดก็ตาม ดูเหมือนท่านไม่ได้สนใจในสิ่งเหล่านี้ สนใจเรื่องบุญเป็นใหญ่

 


                เพราะฉะนั้นลูก ๆ ชายหญิงที่รักทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ควรจะนึกถึงสิ่งที่จะทำความบันเทิงใจนะจ๊ะ นึกถึงความสุขใจในวันนั้นให้ปลื้มปิติเถอะ ว่าภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นในงานมาฆบูชานั้นน่ะ เป็นภาพของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ภาพของวัดพระธรรมกายอย่างเดียวนะจ๊ะ เป็นภาพของพระพุทธศาสนา ซึ่งตอนนี้เกิดวิกฤตศรัทธากันไปทั่วประเทศ และต่างประเทศ ภาพพระพุทธศาสนาในวันนั้นจะยกย่องเชิดชูให้สูงขึ้นมา ภาพที่ออกไปทั่วประเทศและต่างประเทศในวันนั้น ลูก ๆ ทุกคนที่มาในวันนี้หรือไม่ได้มาก็ตามนะจ๊ะ มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ สำคัญทีเดียว ที่ทำให้ภาพพระพุทธศาสนาในวันนั้นบังเกิดขึ้น อันเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ ท่านมีกุศลศรัทธาเต็มที่มาร่วมกัน ที่จะช่วยยกพระรัตนตรัยให้สูงขึ้น 

 


                ลูก ๆ กัลยาณมิตรทั้งชายหญิงทั่วประเทศ สาธุชนทั้งหลาย นำสาธุชนทั้งหลายมานะ มาพร้อม ๆ กัน แล้วก็รวมทั้งเจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดินท่านเสด็จมาร่วมงานในวันนั้นนะ ทรงมีพระราชศรัทธาจะมาบำเพ็ญการกุศล ร่วมกับพสกนิกรของพระองค์ มันเป็นภาพที่หาได้ยากนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นภาพวันนั้นคือภาพของพระพุทธศาสนา กำลังจะเจริญรุ่งเรืองเกิดขึ้นอีกวาระหนึ่ง ให้ดีใจกันเถอะนะ นึกถึงสิ่งนี้แล้วให้ทำความปลื้มใจให้เกิดขึ้นมาในใจ แล้วบอกกันต่อ ๆ กันไป ไปยังประธานรอง ที่ไม่ได้มาในวันนี้ หรือ ประธานทอง ประธานกอง หรือสาธุชนทั้งหลายให้ดีใจเถอะ แม้ว่าวันนั้นนะจะไม่สบอารมณ์หลาย ๆ เรื่องก็ช่างมัน นึกถึงว่าเราได้มาช่วยกันยกย่องพระรัตนตรัย พระพุทธศาสนาของเราให้เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก แก่มวลมนุษย์และเหล่าเทวดาทั้งหลาย

 


                เพราะฉะนั้นนึกถึงสิ่งนี้ แล้วก็ทำใจให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ผ่องใสนะจ๊ะ สำหรับลูก ๆ ที่มาใหม่ ให้นึกถึงภาพที่เราจุดมาฆะประทีปในวันนั้น ดวงประทีปหลายหมื่นดวง ที่ถูกจุดขึ้นโดยภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา สาธุชนทั้งหลายนะ มีความสว่างโพลงเต็มไปทั่วลานธรรม ให้น้อมนำแสงสว่างของมาฆะประทีปนั้นหลาย ๆ หมื่นดวงนั้นนะจ๊ะ รวมกันให้เป็นดวงเดียว รวมกันให้เป็นดวงเดียว แล้วนำมาตั้งไว้ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ถ้าใครยังไม่รู้จักก็ให้นึกตามหลวงพ่อไปนะจ๊ะ คือตำแหน่งที่เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เหนือจากสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ อยู่ในกลางท้องของเรานะจ๊ะ โดยเราสมมติหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น เส้นหนึ่งนำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปข้างหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้ง ๒ ตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม ตรงนี้เรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ให้ยกถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้แหละคือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ

 


                เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าหลวงพ่อพูดถึงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นำแสงสว่างแห่งมาฆประทีปที่จุดในวันมาฆบูชา หลายหมื่นดวงนั้นน่ะ รวมเป็นดวงเดียวกัน ให้มาสว่างที่กลางใจตรงฐานที่ ๗ ตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้นะจ๊ะ นึกด้วยความปิติ ด้วยความเบิกบาน ว่า มาฆประทีปกลางใจนี้ เราจุดให้สว่างกลางใจ เพื่อเป็นพุทธบูชา แต่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้า รวมมาฆะประทีปหลายหมื่นดวงนั้นให้เป็นดวงเดียว เราก็จะเห็นเปลวเทียนที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับดอกบัวตูมนะจ๊ะ เปลวเทียนที่ไม่ได้หวั่นไหวด้วยแรงลมน่ะ ลักษณะมันจะคล้าย ๆ กับดอกบัวเวลานำมารวมกัน เหมือนดอกบัวตูมที่อยู่ที่ปลายเกตุของพระธรรมกาย ใหม่ ๆ ก็จะเห็นคล้าย ๆ กับเปลวประทีปสีเหลืองอมส้ม สว่างสุกใส เป็นรูปปลาย เป็นรูปเหมือนกับดอกบัวคล้าย ๆ ดอกบัวปลายเกตุของพระธรรมกายนะจ๊ะ เหมือนดอกบัวเลยนี่นะ จะมีสีอย่างนั้น

 


                 นิ่งอยู่ที่กลางกายฐานที่ ๗ ตรงปลายแหลมของเปลวประทีปนั้น อยู่ที่จุดกึ่งกลางของฐานที่ ๗ ทีเดียว ถ้าหากเราดูได้อย่างสบาย ๆ นะใจเย็น ๆ สบาย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ เปลวประทีปที่คล้ายกับดอกบัวตูม โดยมีปลายแหลมขึ้นข้างบนนั้นนะ มันจะค่อย ๆ ใสขึ้นและนิ่ง ใสเหมือนกับบัวแก้วทีเดียว เป็นสีทองก่อน แล้วก็เป็นสีใส ใสเหมือนบัวแก้ว ใสเหมือนน้ำแข็งใสเหมือนกระจกเงาที่ส่องเงาหน้า ใสเหมือนกับเพชร มันจะค่อย ๆ ใสขึ้นนะจ๊ะ ใสเหมือนกับเพชรทีเดียวนะ ใส  ดูไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ ดูอย่างสบาย ๆ เนี้ยะ ดูไปเรื่อย ๆ ถ้าใจเราสบาย บัวที่เราเห็นใสเป็นแก้วเดี๋ยวนี้เนี่ย ก็จะค่อยรวมตัวเป็นดวงกลม เป็นดวงกลมไปเองนะจ๊ะ เราดูแล้วมันก็จะเป็นดวง ดวงกลม ๆ กลมเหมือนดวงแก้ว กลมดิ๊กทีเดียว ใสบริสุทธิ์อยู่ในกลางกายตรงฐานที่ ๗ แล้วรักษาดวงนี้เอาไว้ให้ดีนะ 

 


                ดวงนี้คือดวงธรรมเบื้องต้น ที่จะเป็นที่พึ่งของเราทีเดียว ดวงนี้นะ ถ้าเราดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ หรือแค่ทำใจหยุด ใจนิ่ง เฉย ๆ อยู่ที่กลางดวงนี้เนี้ยะ พอถูกส่วน ดวงนี้ก็จะขยายส่วนกว้างออกไปเอง ขยายกว้างออกไป เหมือนเราเป่าฟองแชมพู ให้เป็นลูกโป่ง เป็นฟอง บางเบา ใส ขยายกว้างออกไป แล้วก็มีดวงธรรมดวงใหม่บังเกิดขึ้นเป็นดวงใส สะอาดบริสุทธิ์กว่าเดิม สุกใสทีเดียว พอใจเราหยุด เฉย ๆ นิ่ง ๆ อยู่ที่กลางดวงนี้เนี้ยะ ดวงใหม่ก็จะขยายออกไปอีกขยายออกไปเอง แล้วขยายออกไปอีก ขยายกว้าง ให้ใจเราอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นะจ๊ะ ไม่ไปอยู่ที่ขอบ ๆ หรือเส้นรอบวงอันนั้นนะ อยู่ตรงกลางนิ่ง ๆ เฉย ๆ ทำใจหยุด ใจนิ่ง เดี๋ยวก็เห็นอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นมานะ ดวงธรรมดวงใหม่ก็เกิดขึ้น

 


                การที่เราเห็นดวงธรรมดวงใหม่เกิดขึ้นความจริงนั้นคือ การเข้าถึงนั่นเอง ดวงธรรมดวงใหม่เป็นของละเอียด และละเอียดกว่าดวงธรรมดวงเดิม เมื่อใจของเราละเอียดเท่ากับดวงธรรมดวงใหม่นี้ มันก็จะดูดเข้าหากัน ความรู้สึกของเราเหมือนเราถูกดูดเข้าไปข้างใน แล้วก็มีดวงธรรมดวงใหม่ลอยขึ้นมา นั่นคือการเข้าถึงดวงธรรมอีกดวงหนึ่ง จะเป็นอย่างนี้นะจ๊ะ ถ้าหากเราทำใจหยุดนิ่ง เฉย ๆต่อไป เราก็จะเห็นปรากฏการณ์ เกิดขึ้นอย่างนี้น่ะ ซ้ำอีก จนกระทั่งครบ ๖ ดวง พอครบ ๖ ดวงก็จะเข้ากายภายใน เห็นตัวเองนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา นี่เป็นสิ่งที่แปลกนะจ๊ะ ว่าเราไม่เคย คิดนึกหรือสร้างกายมนุษย์ละเอียด ที่มีลักษณะเหมือนตัวเราขึ้นมาก่อนเลย 

 


                เราเป็นเพียง แค่เพียงทำใจให้หยุดให้นิ่งอยู่ที่ตรงกลางดวงธรรมนั้น อย่างเบาสบายเป็นสุขใจนิ่ง ๆ แล้วในที่สุดเราก็เข้าไปพบ กายมนุษย์ละเอียดที่กำลังนั่งขัดสมาธิ หันหน้าออกไปทางเดียวกันกับตัวของเรานะ เราเข้าไปถึงตรงนี้เนี้ยะ เราจำได้เพราะกายนี้เหมือนตัวเราเลย เหมือนเวลาเราส่องกระจกไปนั้นนะ เห็นเงาของเราอยู่ในกระจกเงา แต่นี้เราจะเห็นในลักษณะที่มองจากด้านบนลงไป ตั้งแต่ศีรษะเรื่อยไป เราก็เห็นทั้งตัว เราจำได้ว่าเป็นกายของเรา เพราะเหมือนตัวเรา ท่านหญิงก็เหมือนท่านหญิง ท่านชายก็เหมือนกับท่านชาย เห็นชัดใสแจ่มทีเดียว ถ้าเราหยุดได้สนิท นิ่ง เบา ๆ สบาย ๆ ทำแค่นี้นะจ๊ะ ถ้าเราทำเพียงแค่นี้ เดี๋ยวก็จะเห็นชัดขึ้นมาเลยเห็นชัด ชัดเหมือนเราลืมตา เห็นวัตถุภายนอกเห็นชัดทีเดียว ตอนแรกก็เห็นจากเศียรลงไป ศีรษะลงไปพอถูกส่วน นิ่ง ๆ พอถูกส่วนมันก็จะวูบเข้าไปเลย เห็นทั้งตัวเลย นอกจากเห็นทั้งตัวแล้ว ยังมีความรู้สึกเราเป็นกายนั้นไปเลย 

 


                เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับกายมนุษย์ละเอียด พอเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ ความรู้สึกของเราก็เป็นอีกแบบหนึ่งแล้ว เป็นความรู้สึกของกายมนุษย์ละเอียด รู้สึกมันฟ่องเบา เบา นุ่มเนียน มีความสุขเพิ่มมากขึ้นกว่าตอนที่เรารู้จักแค่กายมนุษย์หยาบ เป็นความสุขใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และเป็นความสุขที่เราเริ่มยอมรับว่าอย่างเนี้ยะ เรียกว่าความสุข ซึ่งเป็นความสุขที่แตกต่างจากที่เราเคยเห็นเคยได้ยิน เคยได้ดม เคยได้ลิ้มรส สัมผัสอะไรอย่างนั้นนะ มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง รู้สึกละเอียดกว่า ปราณีตกว่า นี่แหละกายมนุษย์ละเอียดล่ะ เวลาเราหลับ ก็ทำหน้าที่ออกไปฝัน เวลาตื่น ก็มาอยู่ตรงเนี้ยะ ถ้าเราถึงกายมนุษย์ละเอียดนี่นะจ๊ะ ทำให้คล่องให้ชำนาญ ก็สามารถถอดกายมนุษย์ละเอียดเนี้ยะ ออกไปท่องเที่ยวในภพภูมิของกายมนุษย์ละเอียด คือละเอียดกว่ากายมนุษย์หยาบไปอีกขั้นหนึ่งทีเดียว นี่คือกายมนุษย์ละเอียด 

 


                แต่สิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปเนี้ยะ คือทำหยุด ทำนิ่ง ที่กลางกายมนุษย์ละเอียด หยุดอย่างนี้เรื่อยไปเลย หยุดในกลางกายมนุษย์ละเอียดต่อไป ตอนนี้เราจะมีความรู้สึกว่าเราได้ใช้ใจของกายมนุษย์ละเอียด ในการหยุดเข้าไปกลางกายมนุษย์ละเอียด  คำมันซ้ำ ๆ กันหน่อยนะจ๊ะ แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างเงี้ยะ คือใจของกายมนุษย์ละเอียด หยุดอยู่ในกลางกายฐานที่ ๗ ของกายมนุษย์ละเอียด และตอนนี้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วนี้ มันจะรู้สึกอย่างนั้นเลย ไม่ได้ใช้ความรู้สึกของกายหยาบเลย มันหยุดอยู่ตรงนั้น พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงธรรม บังเกิดขึ้นในกลางกายมนุษย์ละเอียด และใจของเรารู้สึกจะพลาดจากกายมนุษย์ละเอียดไปเอง ตอนนี้เริ่มแล้วนะจ๊ะเหมือนรถหลาย ๆ ผลัดที่ส่งต่อ ๆ กันไปเลยนะ จากกรุงเทพนั่ง ๒ ล้อมา พอลงจาก ๒ ล้อมาก็ขึ้นตุ๊ก ๆ พอลงจากตุ๊ก ๆ ขึ้นรถเมล์อะไรอย่างนั้นนะเป็นผลัด ๆ ความรู้สึกของเราตอนนี้เป็นอย่างนั้นเลย เรากำลังจะเริ่มพรากเริ่มผละออกจากกายมนุษย์ละเอียดเข้าสู่กลางดวงธรรมในกายนั้นนะ 

 


                ถ้าหากเราแค่ทำใจหยุด ใจนิ่ง เฉย ๆ อย่างสบาย ๆ ที่ศูนย์กลางกายของสิ่งนี้เนี้ยะ ซึ่งถ้าเราหยุดได้สนิทจริง ๆ เราจะเห็นว่ามันมีช่องอยู่ตรงกลาง ช่องเดียวนะช่องเดียวตรงนี้เนี้ยะ ซึ่งถ้าหากเราเคยได้ยิน ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ท่านว่าทางแห่งความบริสุทธิ์ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มีหนทางเดียว หนึ่งไม่มีสอง ที่เรียกว่า เอกายนมรรค ทางเอกสายเดียวนะ มันตรงนี้จริง ๆ เลย มันเป็นช่องอยู่ช่องเดียว มีอยู่แล้วถ้าหยุดได้ละเอียดจึงจะเห็นช่องทางนี้นะ เอกายนมรรค หนทางเอกสายเดียวหนทางเอกสายเดียวที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสรรพสัตว์ทั้งหลายที่เราเรียกว่า "วิสุทธิมรรค" ทางแห่งความบริสุทธิ์ 

 


                วิสุทธิมรรคทางแห่งความบริสุทธิ์ ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จะเห็นเป็นช่องไปเลยเนี่ยะ ถ้าเราหยุดไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวเราก็เห็นดวงธรรมต่าง ๆ ผุดเกิดขึ้นมาแล้วก็เห็นกายต่าง ๆ กายถัดไปนะ เราจะเห็นกายที่สวยงามไปกว่าเดิม ลักษณะสวยงามกว่าเดิมทีเดียว ที่เราเรียกว่า กายทิพย์นะ เพราะมันละเอียดกว่าปราณีตกว่า ลักษณะกายก็เริ่มเปลี่ยนแปลง จากกายมนุษย์ละเอียดที่มีข้อมีปมอะไรต่าง ๆ ตามข้อมือ กระดูก ปุ่มปม ค่อย ๆ หมดไปอ่ะ ตาตุ่มต่าง ๆ อะไรค่อย ๆ หายไปนะจ๊ะ และก็มีเครื่องประดับเกิดขึ้น เห็นตั้งแต่เศียรลงไปก่อน ศีรษะของกายทิพย์ เห็นชัดทีเดียวกายโตขึ้นไปเรื่อย ๆ เลย ดวงธรรมก็โตขึ้นถ้าหยุดได้สนิทเราจะเข้าไปได้สนิทในกายทิพย์นี้นะ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย และความรู้สึกก็เป็นกายทิพย์ ใครอยากจะรู้จักว่าอารมณ์ของกายทิพย์ อารมณ์ของชาวสวรรค์ เวลาละโลกแล้วไปสู่สวรรค์ ไปสู่สุขคติ จะมีความรู้สึกอย่างไร ก็ให้ทำใจหยุดให้เข้าถึงกายทิพย์นี้นะ แล้วจะรู้สึกถึงอารมณ์นี้ทีเดียว 

 


                อารมณ์ของกายทิพย์ อารมณ์ของชาวสวรรค์ จะเป็นเทพบุตร หรือเทพธิดาก็ตามก็มีอารมณ์เท่านี้แหละ ไม่มากไปกว่านี้ปราณีตกว่า สุข กว้างขวางกว่า กายมนุษย์ละเอียด นั้นก็หมายถึงว่าสุขกว้างขวางกว่ากายมนุษย์หยาบมากทีเดียว เมื่อเข้าไปถึงตรงนี้นะจ๊ะ เป็นสุขนิ่งอยู่ภายใน ถ้าเราทำใจหยุดต่อไปอีกในกลางเอกายนมรรคหรือ กลางวิสุทธิมรรค หนทางแห่งความบริสุทธิ์ ต่อไปอีกในที่สุดก็จะเห็นปรากฏการณ์ทำนองเดียวกัน เป็นดวงธรรมต่าง ๆ ผุดเกิดขึ้นมาทีเดียวผุดขึ้นมาแล้วก็ขยาย ผุดขึ้นมาแล้วก็ขยายกว้างออกไปนะ ในที่สุดเราก็จะเข้าไปถึงกายรูปพรหม ในกายรูปพรหมสวยงาม ปราณีต กว่ากายทิพย์มากทีเดียว เป็นกายที่สวยงามทีเดียวละ แล้วอารมณ์ก็เป็นสุขนิ่ง เป็นสุขอยู่ภายใน กว้างขวางกว่าเดิมกว้างมาก 

 


                ใครน่ะอยากจะเข้าถึงพรหม อยากรู้จักพรหม ที่แท้จริงอยากจะรู้ว่ามีอารมณ์อย่างไรสุขอย่างไรเนี้ยะ ก็ให้ทำใจอย่างนี้นะจ๊ะ เข้าไปถึงกายพรหมภายในจะเห็นว่า พรหมที่เราเข้าถึงนี้แตกต่างจากพรหมที่เราได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง โดยสิ้นเชิงทีเดียว พรหมจินตนาการกับพรหมที่มีอยู่จริงนี่แตกต่างกันมาก พรหมที่ประกอบไปด้วยพรหมวิหารธรรมเนี้ยะ กายที่ประกอบไปด้วยอย่างพรหมธรรมอันนี้น่ะ มีความรู้สึกอย่างไร อารมณ์อย่างไร ปราณีตละเอียดอ่อนอย่างไรนะ ต้องหยุดอย่างนี้อย่างเดียวนะจ๊ะ จึงจะเข้าถึงแล้วเราจะเป็นสุขอยู่อย่างนี้เลย สุขอยู่ในพรหม เป็นสุขนานด้วย ทำไมพรหมถึงอายุยืนเชียวในพระไตรปิฎก กล่าวไว้เนี้ยะ ยืนเป็นกัปทีเดียว ๔,๘๐๐ กัป มั่ง ๘๔,๐๐๐ กัปมั่ง เพราะไปอยู่ตรงนี้แล้วมันไม่ต้องการอะไรเลย มันนิ่งสงบ สบาย ในกายรูปพรหมนะจ๊ะ กายก็สวยงามขึ้นกว่าเดิม พอใจหยุดต่อไปอีก เข้าเส้นทางเอกานยมรรคหรือทางวิสุทธิมรรค บางครั้งเรียกว่าอริยมรรคทางของอริยเจ้า บางครั้งก็เรียกว่า วิสุทธิมรรค บางครั้งเรียกว่า เอกานยมรรค มันทางเดียวกันน่ะ ชื่อเดียวกันเป็นวัยพจน์กันนะ อันหนึ่งอันเดียวกันเลย 

 


                หยุดต่อไปอีกก็จะเข้าถึงประสบการณ์เดิม คล้าย ๆ เดิมนะมีดวงธรรมผุดเกิดขึ้นมา ซ้อน ๆ ๆ ๆ ใส บริสุทธิ์ กว้างออกไปในทำนองเดียวกันไปเรื่อย ๆ เลย ความรู้สึกเราตอนนี้กว้างไปเลยนะจ๊ะ เพราะตอนนี้ไม่มีร่างกายแล้ว ไม่มีขอบเขต เหมือนฟ้าที่ไม่มีฟ้าครอบนะ กว้างออกไป ถึงอีกกายหนึ่งแล้ว ในกายอรูปพรหม อรูปพรหม เราจะได้ยินนะ อรูปพรหม อรูปฌาน อรูปภพ อรูปพรหมก็คือกาย อรูปฌานก็คือความละเอียดของใจท่าน อรูปภพก็คือที่อยู่ของท่าน อรูปภพ อรูปพรหม อรูปฌาน อรูปพรหมกาย อรูปฌานอารมณ์ของท่านนะ อยู่ในกลางกายของอรูปฌาน อรูปสมาบัติคือการเข้าถึงอย่างเต็มเปี่ยม อรูปพรหม อรูปฌาน อรูปภพคือที่อยู่ของอรูปพรหม เป็นสุขจริง ๆ เลย กว้างขวางกว่าเดิมหนักเข้าไปอีก กายสวยงามใกล้เคียงกับกายขององค์พระทีเดียวน่ะ เกตุคล้าย ๆ จะเป็นดอกบัวตูม แต่ยังไม่เป็น เครื่องประดับ ละเอียด ปราณีต แนบเนื้อติด ใส สว่างเป็นสุขทีเดียว หยุดต่อไปอีกในกลางนั้นในทำนองเดียวกัน โดยความรู้สึกตอนนี้นะจ๊ะ ความรู้สึกของเราจะเป็นกายอรูปพรหม มีความสุขมาก เบิกบานมาก หยุดในกลางเอกายนมรรค ตรงฐานที่ ๗ หรือวิสุทธิมรรค หรืออริยมรรค ผ่านไปตอนนี้เข้าถึงกายธรรมเลย 

 


                กายธรรมโคตรภู หลุดพ้นจากภาวะปุถุชน อยู่กึ่งทางระหว่างโลกียกับโลกุตระแล้ว เกตุดอกบัวตูม ตอนนี้ความรู้ ความเห็น กว้างออกไป เหมือนออกทะเลลึกเลยเนี่ยะ กว้างออกไปไม่มีขอบเขต เห็นพระธรรมกายใสแจ่ม เกตุดอกบัวตูม ไม่มีปลายแหลมเลย ไม่มีเกตุเปลวเพลิงเลย เป็นดอกบัวตูมใส บริสุทธิ์ สว่าง สุกใส นี่แหละกายธรรมเป็นตัวพระรัตนตรัยอ่ะ ตัวพระศาสนา ร่างกายของท่านเหมือนเอาลูกโป่งเป่า เป็นลักษณะ มหาบุรุษสวยงามทุกสัดส่วน งามไม่มีที่ติ นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือด้านซ้ายวางแนบตัวเลย ตอนนี้กายท่านตั้งตรง กายตรงมาตลอดเลย ตั้งแต่กายรูปพรหม ตั้งตรงมาตลอดเลย มือแนบตัวใส บริสุทธิ์ สว่าง ใจท่านอยู่ตรงกลางติดแน่นอยู่ตรงกลางเลยไม่ง่อนแง่นไม่คลอนแคลนเลย ไม่แวบไปที่ไหนเลย

 


                เมื่อเรามาถึงตรงนี้แล้ว เราจะได้เห็นว่า วิชชาธรรมกาย กับ วิสุทธิมรรค เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเลย วิสุทธิมรรคคือ วิชชาธรรมกาย วิชชาธรรมกายคือวิสุทธิมรรค อริยมรรคก็เช่นเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หนทางของพระอริยเจ้า เดินอย่างนี้ หยุดไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งถึงกายธรรมต่าง ๆ กายพระโสดา สกิทาคา อนาคา  อรหัต หยุดเข้าใจจนว่าหลุดพ้นไปตามลำดับ อาศัยหยุดนิ่งนี้ล่ะ ไปตามลำดับไปเรื่อย ๆ เลย จนกระทั่งหยุดนิ่งสนิทอย่างนี้ กายธรรมอรหัตคือเป้าหมายชีวิตของมวลมนุษย์ชาตินะจ๊ะ เป้าหมายชีวิตของมวลมนุษย์ชาติ ตั้งแต่กายธรรมนี้เป็นต้นไป นี่คือหลักของพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเริ่มต้นจากกายธรรมนี้เป็นต้นไปเลย คำว่าอุบาสก อุบาสิกา แปลว่า ผู้เข้ามานั่งใกล้พระรัตนตรัย หมายเอาตั้งแต่นั่งใกล้สมมุติสงฆ์เรื่อยมาจนถึงกายธรรมภายใน เห็นกายธรรมภายใน ใสแจ่มนั่นแหละ เริ่มเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่สมบูรณ์คือเข้าถึงพระธรรมกายภายใน เพราะฉะนั้นลูก ๆ ชายหญิงทุกคน ทั้งที่มาเก่ามาใหม่ มาเก่าฟังแล้วก็ทบทวนของเก่าไป มาใหม่ก็พยายามทำความเข้าใจ แล้วจำตรงนี้เอาไว้ให้ได้นะจ๊ะ ว่าธรรมกายอรหัตคือเป้าหมายชีวิตของเรา ที่อยู่ภายในเนี้ยะ โดยเริ่มจากการทำใจหยุด ใจนิ่ง อย่างนี้นะ 


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.027669016520182 Mins