องคุลิมาล

วันที่ 14 พค. พ.ศ.2567

140567b.01.jpg
 

องคุลิมาล
๖ สิงหาคม ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

     

 

                ต่อจากนี้ เราจะได้นั่งหลับตาเจริญสมาธิภาวนากันนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราพอสบาย ๆ หลับพอสบายคล้ายกับว่าเรานอนหลับนะจ๊ะ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับตาสักครึ่งลูกเหมือนปรือๆ ตาน่ะ หลับพอสบาย ๆ คล้ายกับเรานอนหลับ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนว่า เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวด ไม่เมื่อยกันนะจ๊ะ พอรู้สึกว่าร่างกายสบาย อยู่ในอิริยาบถสบาย การทำใจให้หยุดให้นิ่งมันก็ง่าย อันว่าความสบายเป็นหัวใจของการทำใจหยุดใจนิ่งนะจ๊ะ

 

 

                พอเราปรับท่านั่งของเราให้สบายแล้ว ก็ปรับใจของเราให้ปลอดโปร่ง ปลอดกังวลจากภารกิจต่าง ๆ จะเป็นเรื่องการศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว เรื่องธุรกิจการงาน จะเรื่องอะไรก็แล้วแต่เหล่านี้ ทิ้งมันให้หมดเลย ทำใจของเราให้ปลอดโปร่ง ว่างเปล่าจากภารกิจเครื่องกังวลทั้งหลาย คล้าย ๆ กับเราไม่เคยเจอสิ่งเหล่านั้นมาก่อน หรือจะนึกว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่มีภารกิจอะไร ไม่เคยเจอคน เจอสัตว์ เจอสิ่งของ ใจต้องปลอดโปร่งอย่างนี้นะจ๊ะ ต้องปลอดโปร่ง ต้องว่างเปล่า จากภารกิจเครื่องกังวลอะไรต่าง ๆ จึงจะเป็นใจที่เหมาะ ที่จะทําให้ใจหยุดใจนิ่งได้ เข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ง่าย และก็ทำใจให้เบิกบานแช่มชื่น ทำความเลื่อมใส ในพระรัตนตรัยว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ๓ อย่างนี้เท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริงของเรา 

 

 

            เมื่อเราปรับกายและใจ ให้ได้อย่างนี้น่ะ ปลอดโปร่ง ว่างเปล่าจากภารกิจทั้งมวล ทำใจให้เบิกบานแช่มชื่น เลื่อมใสในพระรัตนตรัย จนกระทั่งซึมซาบซึมซับเข้าไป ซึ้งเข้าไปเรื่อย ว่าพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่แท้จริง พระรัตนตรัยเท่านั้น ที่เป็นที่พึ่งที่ระลึก ถ้าได้ ถ้าใจได้อย่างนี้นะจ๊ะ ไม่ช้าใจที่ซัดส่ายไปในเรื่องราวต่าง ๆ ก็จะหยุดนิ่งอยู่ภายในไม่ไปไหนเลย มันจะหยุดจะนิ่ง นิ่งอยู่ภายในอยู่กับเนื้อกับตัวเรา อยู่ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี่แหละ อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ไปติดที่คน ที่สัตว์ ที่สิ่งของ เรื่องราวอะไรต่าง ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นน่ะ เป็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ไม่เป็นประโยชน์อะไรอย่างแท้จริง อาศัยพึ่งไปได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น อย่างนี้แล้วใจก็จะหยุดนิ่งสบาย

 

 

            เพราะฉะนั้น ตอนนี้นะจ๊ะ เราต้องทำตามขั้นตอน ที่หลวงพ่อแนะนำนี่ให้ได้ ให้นึกว่าเรามีบุญลาภจริง ๆ เค้าว่าก็เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นยาก เราก็ได้มาเกิดแล้ว ท่านว่าพบพระพุทธศาสนา หรือได้ยินคำสอนว่ายาก เราก็ได้ยินแล้ว การปฏิบัติธรรมว่ายาก เราก็ได้ลงมือแล้ว สิ่งที่ยาก ๆ ทั้งหลาย เราได้ผ่านขั้นตอนมาหมดแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่อย่างเดียวคือ หยุดกับนิ่ง หยุดนี่แหละเป็นตัวสำเร็จหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านกล่าวเอาไว้ ฝากทิ้งเอาไว้เป็นมรดกโลก ว่าตรงใจนี่ต้องหยุดอย่างเดียว ไม่ต้องทําอะไรเลย ถึงจะเป็นตัวสำเร็จ คือสำเร็จที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายใน จะรู้แจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง ก็อาศัยใจที่หยุดที่นิ่งนี่แหละ คำนี้ท่านไม่ได้พูดลอย ๆ คือนอกจากจะได้จากประสบการณ์ของท่านแล้วน่ะ ประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน ที่ฝึกฝนตนเองมาตลอดชีวิต 

 

 

            จนกระทั่งเข้าถึงธรรมกายแล้วเนี่ย ยังไปพ้องตรงกับคำสอนของบรมศาสดา ที่ให้นัยยะต่อองคุลิมาล ผู้ปรารถนาที่จะเรียนวิชา จนกระทั่งได้รับคำสั่งว่า ให้ไปรวบรวมนิ้วมนุษย์มาให้ได้ ๑,๐๐๐ ถึงจะสอนวิชาให้ และในที่สุดก็พบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ให้ นัยยะว่าสมณะหยุดแล้ว ทั้ง ๆ ที่วิ่ง ทั้ง ๆ ที่เดินอยู่ องคุลิมาลวิ่งตามไม่ทัน สมณะหยุดแล้ว แต่องคุลิมาลตอนในนั้นท่านยังไม่เข้าใจเพราะมุ่งเอานิ้ว ยังไม่เข้าใจคำสอน จนกระทั่งมาฉุกคิดว่า สมณะหยุดแต่ตัวยังเคลื่อนไหวน่ะ มันหมายความว่าอย่างไร เพราะปกติคำว่าหยุดนั้นหมายความว่าต้องอยู่กับที่ ในความเข้าใจของมนุษย์ทั่วไป

 

 

             แต่นี่ตัวท่านเคลื่อนที่แถมบอกว่าหยุด พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยโกหกเลย ไม่มุสา ไม่พูดปด กายเคลื่อนไหวแต่บอกว่าสมณะหยุด นี่เป็นสิ่งที่บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลาย ควรจะได้ฉุกคิดว่าท่านหมายเอาที่ลึกไปกว่าอาการเคลื่อนไหวของกาย หรือการอยู่นิ่ง ๆ ของกาย องคุลิมาลท่านไม่ได้เป็นโจร โดยกำาเนิด ไม่ได้เป็นโจรโดยสันดาน และจริง ๆ ท่านก็ไม่ได้เป็นโจร แต่ท่านต้องการเรียนวิชา ท่านเคารพอาจารย์ เชื่อครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์แนะนำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ให้ไปรวบรวมนิ้วมนุษย์มานี่เพื่อจะสอนวิชาสูงสุดให้ ท่านก็ทำตาม ท่านไม่ได้เป็นโจรไปเอาทรัพย์สินอะไร มุ่งเอานิ้วรวบรวมเอานิ้วมาให้มันครบ ก็แค่นั้นเอง ซึ่งเดี๋ยวนี้เราเข้าใจผิดกันว่าท่านเป็นโจร โจรมันก็ต้องปล้นเอาทรัพย์สิน นี่ท่านมุ่งเรียนวิชา เพราะว่าครูท่านบอกอย่างนั้น ทำอย่างนั้น 

 

 

            ดังนั้นเชื้อสายแห่งบัณฑิตนักปราชญ์ท่านมีอยู่ในใจ ท่านจึงหยุดฟังว่า คำว่า หยุด ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสว่าสมณะหยุดนั้นน่ะ มันจะลึกไปขนาดไหน มันต้องลึกไปกว่านั้นเพราะพูดในขณะที่กายเคลื่อน และก็ได้ยินข่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เคยตรัสคำมุสา พูดมีมารยา หรือโกหกอะไร ในที่สุดก็ได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องการหยุดการวิ่งจากพระพุทธเจ้า และจากจุดนั้นแหละจึงเปลี่ยนจากองคุลิมาลมาเป็นพระองคุลิมาล เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่บรรลุมรรคผลนิพพาน เพราะเข้าใจลึกซึ้งถึงคำว่าหยุดนิ่ง แม้แต่พวกเราก็เช่นเดียวกัน บางทีนี่คำว่าหยุดนี่ยังไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเราเจอหยุดแบบที่ท่านองคุลิมาลท่านเจอ เราเจอแต่หยุดว่า ถ้าหยุดแล้วต้องหมายความว่า ต้องอยู่กับที่ไม่ไปไหน แต่นี่ไม่อย่างนั้น หยุดที่ลึกซึ่งนั่นก็คือ ใจที่ซัดส่ายไปมาในเรื่องราวต่าง ๆ มาหยุดอยู่ในกลางกายตรงฐานที่ ๗ ให้อยู่กับเนื้อกับตัวของเราให้อยู่ในกลางกาย 

 

 

            สิ่งที่ตั้งอยู่อย่างมั่นคงนั้น จะต้องอยู่ในกลางของทุก ๆ สิ่งนะ กลางโต๊ะ กลางโลก กลางจักรวาล กลางกายก็เช่นเดียวกัน เป็นจุดที่ใจเมื่อมาตั้งแล้ว จะมั่นคงอยู่กับที่ตรงนั้นนะ ท่านก็เอาใจของท่านมาหยุดนิ่งอยู่ในกลางกาย อยู่กับเนื้อตัวท่าน นั่งตรงกลางฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมติว่าเรามีเส้นด้าย ๒ เส้น เรานำมาขึงให้ตึง จากสะดือทะลุไปข้างหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็ม เหนือจากจุดตัดนี้ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๗ เป็นตำแหน่งที่สำคัญที่สุดเลย เป็นจุดที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเริ่มต้นจากตรงนี้ แล้วก็หยุดนิ่งอย่างนั้นเรื่อยไปเลย ท่านจะทำใจของท่านให้หยุดให้นิ่ง ไม่คิดเรื่องอะไรเลย หยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ ใจไม่ผูกพันกับอะไรทั้งสิ้น นิ่งอย่างนั้นอย่างเดียว หยุดให้นิ่งอย่างสบาย พอใจสบาย ๆ ถูกส่วนเข้า ถูกส่วนนะจ๊ะ 

 

 

                ถูกส่วนก็คืออารมณ์มันพอดี มีความรู้สึกพึงพอใจกับอารมณ์ชนิดนี้เนี่ย แม้ไม่เห็นอะไรก็ตามรู้สึกชอบ เพราะไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อนเลย ไม่เคยเจอความรู้สึกอย่างนี้มาก่อนว่าการทำใจหยุดนิ่งเฉย ๆ นี่มันดีอย่างนี้ ทุกที่คุ้นกับการเอาใจไปคิดโน่นคิดนี่สารพัดหมด แต่พอมาทำใจหยุดนิ่งเฉย ๆ รู้สึกพอใจ รู้สึกชอบความพึงพอใจในอารมณ์อันนี้แหละ คือความพอดี และเมื่อความพอดีนั้นต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ถูกส่วนเข้าถูกส่วนเองเลยนะจ๊ะ ท่านก็เข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้น บังเกิดขึ้นในกลางนั้นน่ะ เกิดขึ้นเอง ในตอนนั้นน่ะใจมันหลุดจากกายหยาบแล้ว กายมนุษย์หยาบแต่เป็นทางผ่านน่ะ มันลืมไปเลยว่ามีกายมนุษย์หยาบ มีความรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน เพราะ ร่างกายมันเริ่มโล่ง เริ่มโปร่ง เริ่มเบา สบาย นี่เวลาถูกส่วนมันจะเป็นอย่างนี้นะ โล่ง โปร่ง เบาสบาย ใจขยายไปเรื่อย ๆ เรื่องร่างกายนี่ไม่ได้สนใจเลย ตอนนี้แหละก็จะเข้าถึงดวงธรรมเบื้องต้น 

 

 

                เข้าถึงธรรมเบื้องต้น ที่เรียกว่ามันเป็นดวง ที่เรียกว่าดวงธรรม เพราะว่ามันเป็นดวงกลมเหมือนดวงแก้วอย่างนี้แหละ กลมรอบตัว กลมเหมือนดวงแก้ว และก็ใสบริสุทธิ์ ใสเหมือนน้ำ ใสเหมือนกระจก ใสเหมือนน้ำแข็งใส ๆ เพลินเพลินหนักเข้า นิ่งหยุดนิ่งหนักเข้าน่ะ ใสเหมือนเพชร เพชรที่ไม่มีขนแมว ไม่มีขีด ไม่มีข่วนคล้ายขนแมวเลย ใสบริสุทธิ์ อย่างเล็กก็ขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ก็ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน บังเกิดขึ้นเมื่อใจหยุดนิ่ง พอละเอียดเท่ากันแล้วก็จะดูดเข้าหากัน พอดูดทีนี้ก็สว่างเห็นชัดทีเดียว เห็นดวงใส ใจก็ใส สบาย สบาย ตอนนี้ ใจมีความสบายมีความสุข เกิดมาไม่เคยเจอ ความสุขที่เรายอมรับว่า เป็นความสุขเหมือนอย่างนี้เลยนะ อย่างนี้ยอมรับว่าเออ ที่เราแสวงหามานี่ อารมณ์อย่างเงี้ย แต่เราก็พูดไม่ถูก เรียกไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอ นี่อยากได้อย่างนี้หรือ จากเมื่อเข้าถึงดวงธรรมใส บริสุทธิ์ สว่าง อยู่ในกลางนั้นน่ะ ท่านก็หยุดของท่านอย่างนี้เรื่อยไปเลย คืออารมณ์ที่มีความสุข 

 

 

                สิ่งที่ได้เห็นนั้นใสและสวยงามกว่าสิ่งที่เคยเห็น มันทำให้ตื่นตา ตื่นใจ จนกระทั่งไม่อยากได้อะไร อยากจะหยุดนิ่งอยู่กับตรงนั้นนาน ๆ ทีเดียว ทีนี้เมื่อความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น ใจก็เคลื่อนเข้าไปข้างใน ใจเคลื่อนเข้าไปเรื่อยเลย ใจก็หยุดในหยุด หยุดในหยุด หยุดในหยุด เคลื่อนเข้าไปเรื่อย หยุดอย่างเดียว หยุดอยู่กับที่ หยุดโดยไม่ได้ท่องว่า หยุดในหยุด คือมันหยุดเข้าไปเรื่อย ๆ หยุดที่นิ่งแน่นเข้าไปเรื่อย ๆ นิ่งลงไปนิ่งลงไป ใจก็ขยายเข้าไปเรื่อย ก็จะพบเห็นในสิ่งที่ตัวไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่เคยรู้จักมาก่อน เพราะไม่เคยมีใครพูดให้ฟัง ถึงใครพูดให้ฟังก็ไม่เชื่อ เพราะไม่เคยเห็น แต่นี่เราเห็นแล้ว นี่ท่านเข้าถึง เห็นดวงธรรมผุดซ้อน ซ้อน ซ้อน เข้าไปทีละดวงทีละดวงเป็นชุดทีเดียว ชุดละ ๖ ดวง แต่ละดวงน่ะกลมเหมือนกัน แต่ใสไม่เหมือนกัน สว่างไม่เหมือนกัน ขนาดเหมือนกันอ่ะ ขนาดก็ไม่เหมือนกันและท่านก็นิ่งเข้าไปเรื่อย ก็ใสสว่าง มีสุขจังเลยเนี่ย 

 

 

                ท่านก็หยุดนิ่งสุขในสุขดื่มด่ำไปเรื่อย ใจหยุดนิ่งเรื่อยไปเลย ไม่ไปไหนแล้ว เพราะเคยไปมาซะทั่วไปอเมริกาก็ไม่สุข ไปยุโรปก็ไม่สุข ไปแอฟริกา ออสเตรเลีย เขาว่าที่ไหนสุขไม่สุขซะที ไปเที่ยวบาร์เที่ยวคลับ ชายทะเล น้ำตก อะไรไม่สุขเลย กลับมาเหนื่อยเกือบตาย แถมยังลืมเสียอีกด้วย จำไม่ได้แล้วตึกมันรูปร่างอะไร คนเป็นยังไง ทิวทัศน์ ทำไมมันขี้ลืมอย่างนี้ก็ไม่รู้ อารมณ์ว่าจะเอากลับมามันกลับเอาไม่ได้ กลับมาก็เหนื่อย เหนื่อยแล้วก็เจอเรื่องเหนื่อยต่อไป แต่พอใจนิ่งดิ่งลงไปในกลาง ดื่มด่ำเข้าไปเรื่อย เห็นดวงธรรมผุดเกิดขึ้นซ้อน ซ้อน ซ้อน ใจท่านก็มีสุขเรื่อย เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำหยุดกับนิ่งอย่างเดียว ในที่สุดท่านก็เข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด นี่พูดย่อ ๆ ไปนะจ๊ะ 

 

 

                เห็นกายมนุษย์ละเอียดแล้วก็พบดวงธรรมไปเรื่อย ชุดละ ๖ ดวง ก็พบอีกกาย เข้าถึงกายทิพย์ เอ้าสลับกับดวงธรรมอีกชุดนึงถึงกายรูปพรหม สลับไปอีกชุดหนึ่ง ๖ ดวง ก็ถึงกายอรูปพรหม สลับอีกชุดหนึ่งนี่ เข้าไปอีก ๖ ดวง ก็เข้าถึงกายธรรมเข้าไปเรื่อย ๆ ถึงกายธรรมในกายธรรม กายธรรมในกายธรรมจนกระทั่ง กายธรรมพระโสดาบันเปล่งอุทานออกมาเลย พอเข้าถึงมัน ชื่นใจน่ะ มันเบิกบาน บอกไม่ถูก เปล่งอุทานออกมาเลย ว่าธรรมทั้งหลายบังเกิดขึ้นกับพราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ความสงสัยของพราหมณ์นั้นหมดไปเลย หายสงสัย สงสัยเรื่องอะไรก็หายหมด เมื่อธรรมนั้นมาบังเกิดขึ้นในกลางนั้นน่ะ 

 

 

                เข้าถึงกายธรรมพระโสดาบัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รู้จักรัตนะ พุทธรัตนะเป็นครั้งแรก ถึงกายธรรมพระโสดาบัน หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา ใสบริสุทธิ์ ว่าอะโห พุทโธ รำพึงขึ้นมาเลย เนี่ย อะโหพุทโธ โอนี่แหละ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วเป็นอย่างนี้แหล่ะ เปล่งอุทานแล้ว อะโห พุทโธ พอเข้ากลาง หยุดนิ่งในกลางกายธรรมพระโสดาบัน เห็นดวงธรรมใสแจ่มทีเดียวนะ อยู่ในกลางนั้น อะโห ธัมโม แหมพระธรรมเป็นอย่างนี้เอง พอหยุดเข้าไปแล้วเห็น กายละเอียดของกายธรรมพระโสดาบัน อะโห สังโฆ แหมร้องอะโหทั้งนั้นแหล่ะ ถ้าเข้าถึงแล้ว อะโห พุทโธ อะโห ธัมโม อะโห สังโฆ โอ้ ๓ อย่างนี้ดีจริง เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง อ๋อสิ่งที่เราหานะเป็นอย่างนี้ อุทานออกมาเลย หายสงสัย ธรรมบังเกิดขึ้น   

 

 

                นี่ท่านก็หยุดอย่างนี้เรื่อยไปเลย หยุดเรื่อยไปตลอด จนกระทั่งถึงเช้า เล่นกันทั้งคืนทีเดียว นั่งเพลินทีเดียว หยุดอย่างเดียว ไม่ได้ไปทำอะไรเลยไม่ได้ไปพิจารณาอะไรเลย หยุดนิ่งไปเรื่อย จนกระทั่งถึงกายธรรมอรหัต เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า กิเลสที่บังคับ ที่กายมนุษย์ กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมโคตรภู โสดา พระสกิทา พระอนาคา หลุดร่อนออกไปเลย สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เศษไม่มีเหลือเลย วูบไปเลย เหมือนกดสวิตช์ไฟฟ้าในห้อง ความสว่างเกิดขึ้นความมืดก็หายไป อันนี้วูบหายไปเลย สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรม กายธรรมก็สว่างใส นี่คืนแรกบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็เสวยวิมุตติสุข ทำยังไงเสวยวิมุตติสุข ๗ วัน ไม่ถอนถอยไม่ต้องฉันอะไรเลย 

 

 

                ก็หยุดต่อไปอีกอย่างนี้แหละ โอ้โหหยุดกันเข้าไปใหญ่เลย หยุดกันอยู่ในกลางกายธรรมอย่างนั้น แหละ หยุด เข้าไป เสวยสุขก็เข้ากายธรรมในกายธรรม กายธรรมในกายธรรม จากองค์หนึ่งไปถึงอีกองค์หนึ่งใหญ่โตหนักขึ้นไปเรื่อย สว่างขึ้นบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปเลย ๗ วัน ไม่ถอนถอยออกมาเลย เสวยวิมุตติสุข สุขจริงอยู่ในนั้นเป็น เอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียวในกายธรรม สุขล้วน ๆ เลยเนี่ย ๗ วัน แล้วมายืนรำพึงอีก มองไปที่ต้นโพธิ์ ยืนรำพึงว่า โอ้ ต้นนี้นี่ เราได้อาศัยพึ่งปฏิบัติธรรมหยุดนิ่ง เข้าถึง ยืนอยู่ตรงนั้น ๗ วันเนี่ย ถ้าหากว่าไม่หยุดนิ่งอยู่ในกลางธรรมกาย ตลอดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ฉันอะไรเลยนี่ยืนไม่ไหว ก็หยุดนิ่งมองดูปลื้มอกปลื้มใจน่ะ ดูไปด้วยแล้วกับปล่อยใจเข้าไปสู่ในกลางนั้นนะ เปลี่ยนอิริยาบถนั่งมายืน เป็นช่วงรอยต่อระหว่าง นั่งกับเดิน คือยืนอยู่ตรงนั้นน่ะ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นเดิน เปลี่ยนอิริยาบถเดิน 

 

 

                ตอนนี่แหละอาศัยธรรมกาย ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นคว้ากันแล้วตอนนี้ ว่าธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เป็นอย่างไร ศึกษาค้นคว้ากันไป ไปเรื่อยเลย จนกระทั่งมานั่งใต้ต้นอชปาลนิโคร นั่งหยุด นิ่งดิ่งเข้าไปเรื่อย ค้นคว้าไปเรื่อยเลย ว่าธรรมทั้งหลายมี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ตรงกับพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ตรงกันเลย กี่พระองค์ที่ตรัสรู้เข้าถึงธรรมกาย ก็มีความรู้เห็นตรงกันว่า เหมือนกันไปหมดเลย จึงปฏิญาณตนเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนที่ใต้ต้นอัชปาลนิโคร ตอนนี้แหละรู้จักพญามารแล้ว มารตัวจริงมาแล้ว นี่เรื่องราว มันลึกลับกันอย่างนี้โดยอาศัยการหยุดนิ่ง อย่างนี้นะจ๊ะ

 

 

                หยุดนิ่งนี่เข้าไปอย่างนี้ ของเราก็เช่นเดียวกัน จะต้องหยุดจะต้องนิ่ง พอนิ่งก็จะวิ่งเข้ากลางไปเรื่อย เดี๋ยวก็จะพบดวงธรรม เอ้าพบความโล่งก่อน โปร่งเบาสบาย พบดวงธรรมพบกายภายใน กายในกาย เวทนาในเวทนา สุขจังเลย สุขขึ้นไปเรื่อย ๆ จิตในจิต ก็สุขใส ธรรมในธรรมเปลี่ยนแปลงเข้าไปเรื่อย ๆ พบกายเวทนา จิตธรรมที่ลึกซึ้ง ดื่มด่ำไปเรื่อยเลย อาศัยการหยุดการนิ่งนี่แหละเป็นตัวสําเร็จ หยุดเป็นตัวสำเร็จ แล้วก็ฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ปล่อยใจนิ่งตรงกลางกายเราอย่างสบาย ๆ เวลามันดิ่งลงไปจริง ๆ นี่นะจ๊ะ กายมันจะทิ้ง มันจะทิ้งกายหยาบไปเลย มันก็หยุดเข้าไปข้างใน ไปเรื่อยตัวเบาขยายสบาย กลืนไปกับบรรยากาศเข้าไปเลย สว่างสุกใสเข้าไปเรื่อย ถ้าหากว่าใคร เอาใจวางไว้ตรงกลางกายฐานที่ ๗ แล้วรู้สึกสบาย ไม่ปวดศีรษะไม่บีบขมับ ไม่บีบหัวคิ้ว หัวตา แล้วก็ทำอย่างนั้นน่ะ

 

 

                เอาใจนิ่งตรงนั้น แต่ถ้าหากรู้สึกว่ามันจะกด เราก็นึกว่าอยู่กลางท้องแล้วก็ปล่อยสบาย ๆ ตรงที่สบายนั่นแหละคือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้จำตรงนี้ไปก่อน แล้วก็ทำใจให้หยุดให้นิ่ง นิ่งอย่างเบา ๆ สบายเนี่ย ทำเบา ๆ ให้นุ่มละมุนละไม เหมือนค่อย ๆ ประคองสำลี วางไว้บนผิวน้ำ ค่อย ๆ ประคอง ให้มันเบา ให้มันสบาย แล้วก็ทำใจเย็น ๆ ทำใจเย็นนะ หยุดนั้นมันต้องคู่กับเย็น ยั๊วะมันคู่กับหยาบ ยิ่งหยาบยิ่งยั้วะ เลยไม่หยุดเลย แต่ถ้ายิ่งเย็นก็จะยิ่งหยุดใจต้องเย็น ๆ นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม สบาย ถ้าใครทำตรงนี้ได้นะจ๊ะ เดี๋ยวสนุกทีเดียว จะมีความรู้สึก เออนั่งทำสมาธิไม่เห็นมันจะยากตรงไหน เออมันก็เป็นของง่าย ๆ เราก็สามารถทำได้นะ นี่ถ้าทำเป็นนะจ๊ะจะเกิดความรู้สึกอย่างนั้น และความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แค่เราทำใจให้นิ่ง ๆ ว่าง ๆ เบา ๆ สบาย หรือถ้าหากว่ากลัวจะฟุ้ง เราก็นึกถึงดวงแก้ว ดวงไหนก็ได้ ดวงแก้วใส ๆ หรืออาจจะนึกถึงน้ำค้างปลายยอดหญ้าก็ได้ หรือน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบบัวอะไรก็ได้ทั้งนั้น จะนึกเป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว หรือองค์พระแก้วใส ๆ ก็ได้

 

 

                ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกว่า ใจเราชอบคิดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้เนี่ย ห้ามก็ไม่ได้ยิ่งห้ามยิ่งปวดหัว ห้ามไม่ให้ฟุ้งยิ่งฟุ้งใหญ่ แถมปวดหัวอีก เราก็นึกเรื่องเดียวน่ะ นึกถึงดวงแก้วใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ นึกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าเกิดโชคดีบุญมากเห็นทีเดียว ๒ อย่าง เห็นทั้งองค์พระด้วย เห็นทั้งดวงแก้วด้วย ก็ดูทีเดียวไป ๒ อย่างเลย ดูทั้งดวงแก้ว ดูทั้งองค์พระ หรือมีอะไรให้ดูที่กลางหยุดกลางนิ่งได้ จะเป็นอะไรมีให้ดู เราก็ดูไปเรื่อย ๆ ดูไปอย่างสบาย ๆ ทำใจเย็น ๆ ไม่ต้องคิดอะไรเลย มีหน้าที่ดูอย่างเดียว เป็นผู้ดูที่ดี อย่าเป็นผู้กำกับที่แย่ ให้เป็นผู้ดูที่ดี คือดูว่าอะไรเกิดขึ้น เราก็ดูไปอย่างนั้นน่ะ อย่างสบาย ๆ ถ้าใจเราสบายจริง ๆ ดูไปเรื่อยๆ จริง ๆ ไม่ช้าสิ่งนั้นก็จะเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตอนสุดท้ายจะเป็นดวงแก้วใส ๆ ดวงธรรมใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ ไปเอง เป็นไปในภายหลัง เห็นมั้ยจ๊ะไม่ได้ยากอะไรเลย ความยากอยู่ที่ว่า เราขี้เกียจนั่ง ถ้าขยันนั่งแล้วก็ไม่ยากเลย นี่ทำอย่างนี้ นั่งให้สบาย ลองดูนะจ๊ะ ทำเดี๋ยวนี้เลยนะจ๊ะ 

 

 

                ให้สบาย วางเบา ๆ ทำใจให้ SOFT ให้นุ่มนวล ให้ละมุนละไม นิ่ง ๆ แม้ยังไม่เห็นอะไรก็ตาม ให้นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม ไปเรื่อย ๆ เลย เชื่อไหมจ๊ะ จากการทำ ที่เราทำนิ่ง ๆ นุ่ม ๆ อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เริ่มต้นไม่เห็นอะไร ถ้าทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวสนุกกันใหญ่เลย เดี๋ยวแสงสว่างจะเกิดขึ้นเอง เป็นแสงภายใน แสงที่แตกต่างจากแสงภายนอก มันนุ่มนวล มันเย็นตาสว่างขึ้นมาในกลางหยุดนิ่ง คล้าย ๆ กับ แสงสว่างที่บังเกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ผุดเกิดขึ้นมา แสง ในยามเช้าน่ะ ๖ โมงเช้า ๗ โมงเช้า ๘ โมง ๙ โมง เรื่อยไปเลยแล้วจนกระทั่งถึงเที่ยงวัน โดยไม่มีใครไปเร่งเลยว่า ขอให้ดวงอาทิตย์พอผุดขึ้นมา ก็ขอให้สว่างเหมือนตอนเที่ยงวันเลย ขบวนการธรรมชาติก็มีวิธีการขจัดความมืด และเปิดเผยความสว่างของมันไปเอง คือ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป แสงสว่างภายใน ก็เหมือนกันนะจ๊ะ เมื่อเราวางใจให้หยุดให้นิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม สบาย เอาอารมณ์สบายเป็นหลัก เดี๋ยวความสว่าง ก็เกิดขึ้นคล้าย ๆ อย่างนั้น

 

 

                เราจะไปเร่งมันก็ไม่ได้ ยิ่งเร่งยิ่งรี่ แสงลงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าหากเรานิ่ง ๆ นุ่ม ๆ ละมุนละไม ใช้วิธีหยุดเป็นตัวสำเร็จอย่างเดียว หยุดนิ่งเฉย ๆ มีอะไรให้ดูเราก็ดูไปสบาย ๆ เดี๋ยวสว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างจนกระทั่งเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ตอนนี้แหละเราจะเห็นดวงธรรมหล่ะ เห็นจุดใส ๆ เห็นดวงใส ๆ เกิดขึ้นมาเองเลย นั่นเราเข้าถึงแล้ว ตอนแรกก็เห็นห่าง ๆ ก่อน เหมือนเรานอนหงายมองดูท้องฟ้า เห็นดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใหม่ ๆ ก็จะเห็นคล้าย ๆ อย่างนั้นน่ะ แต่ว่าเมื่อเราหยุด นิ่งเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ไปเรื่อย ๆ นะจ๊ะ เดี๋ยวก็ใกล้เข้ามา ดูดเข้าหากันเลย ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา จนกระทั่งเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงธรรมนั้น ตอนนี้แหละมีความสุขมาก ตอนเห็นห่าง ๆ ยังไม่ค่อยมีความสุข 

 

 

                เพราะฉะนั้นบางคนน่ะเห็นห่าง ๆ เห็นดวง บอกหลวงพ่อเจ้าขาทำไมลูกเวลานั่ง ก็เห็นดวงนะ เห็นองค์พระ แต่ไม่เห็นมีความสุขเลย แต่มันก็ไม่ทุกข์นะ มันเฉย ๆ ก็เพราะว่าเรายังเข้าไม่ถึง ยังแค่เห็นห่าง ๆ ยังหยุดไม่สนิทหรอกนะลูกนะ ถ้าหยุดสนิทล่ะก็มันดูดเข้าหากัน วูบลงไปเลย เป็นอันหนึ่งอันเดียว กะดวงธรรม กะองค์พระ ตอนนี้แหล่ะ ความสุขทะลักพลั่งพรูออกมาเลย ทำอย่างนี้นะ ตอนนี้ลูก ๆ ทุกคนทำใจให้หยุดให้นิ่ง หยุดนิ่งให้สบาย สบาย นิ่งให้ดีนะจ๊ะ ใครนิ่งดีแล้วก็ให้นิ่งอยู่อย่างนั้นน่ะ ให้นิ่ง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ นิ่งในนิ่ง นิ่งไป นิ่ง นุ่ม ๆ เบา ๆ สบาย ๆ กันทุกทุกคนนะจ๊ะ อย่าไปซีเรียส อย่าไปจริงจัง อย่าไปบังคับ อย่าไปเค้นภาพ ไม่ถูกวิธี นิ่งเดี๋ยวเห็นเอง เดี๋ยวเข้าถึงเอง อย่าไปกลัวว่าจะไม่เห็น อย่ากลัวเห็นช้า อย่ากลัวจะไม่ทันพี่น้องวงธรรมะ เดี๋ยวกัน เดี๋ยวก็เห็น เพราะพวกที่เขาเห็นวันนี้คือ ผู้ไม่เห็นมาก่อน เหมือนเราในตอนนี้นั่นแหละ

 


              เพราะฉะนั้นตอนนี้เราตักตวงเอาความสุขก่อนนะ เอาความสบาย ความสบายจากการปฏิบัติธรรมรอบนี้ จะได้เป็นกำลังใจให้เรามีอารมณ์อยากทำในรอบต่อ ๆ ไป ตักตวงความสบายกันเถอะนะจ๊ะ นั่งทุกรอบจะได้มีความสุข ไม่ฝืน ไม่พยายามนั่งกัน ใจเย็น ๆ หลับตาเบา ๆ แล้วก็เอาใจหยุด นิ่งไปที่ศูนย์กลางกาย ที่เดียว แล้วก็ที่เดิมนะจ๊ะ ใจหยุดนิ่งตรงกลางกาย ใครเข้าถึงดวงธรรมที่ให้ใจหยุด ไปที่กลางดวงธรรม ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็ให้เอาใจหยุดเข้าไปที่กลาง กายมนุษย์ละเอียด ใครเข้ากายทิพย์ก็เอาใจหยุดไปกลางกายทิพย์ ใครเข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปกลางกายรูปพรหม ใครเข้าถึงกายอรูปพรหม ก็เอาใจหยุดไปกลางกายอรูปพรหม ใครเข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายธรรม หยุดในหยุด หยุดในหยุด นิ่งอย่างสบาย ๆ นะจ๊ะ 

 

 

                การบูชาข้าวพระก็คือการนำเอาเครื่องไทยธรรมอันมี ดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวานคาว กันมาคนละเล็กละน้อย น้อมมากลั่นให้ละเอียดให้บริสุทธิ์ เท่ากับพระธรรมกายภายใน แล้วก็น้อมไปถวาย แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าการบูชาข้าวพระ อันนี้เป็นบุญใหญ่ นะจ๊ะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่พระพุทธเจ้าน่ะ ไม่ได้เสวยอาหารทิพย์อย่างพระสงฆ์ขบฉันนะจ๊ะ เพราะท่านพ้นภาวะอันนั้นไปแล้ว เป็นสุขอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีความจำเป็น ด้วยอาหารเหมือนมนุษย์ แต่ว่านี่เราไปถวายเป็นพุทธบูชา เพื่อต้องการบุญกุศลที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย ให้ถึงแก่ตัวเรา เราจะเอาบุญอันนี้แหละ เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะการไปถึงที่สุดแห่งธรรมไม่ใช่เป็นของง่าย เป็นของยาก

 

 

              ถ้าหากยังไปไม่ถึงที่สุดแห่งธรรม มนุษย์ก็ยังจะรบราฆ่าฟันกันอยู่อย่างนี้แหละ เดี๋ยวรบใหญ่ เดี๋ยวก็รบย่อย เดี๋ยวก็รบกันทุกวันน่ะตั้งแต่ตัวเองรบกับตัวเองก่อน หงุดหงิดตัวเองบ้าง รำคาญตัวเอง ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเอง รบกับสมาชิกภายในครอบครัวรบกันไปเรื่อย โตใหญ่กันไปเรื่อย จนกระทั่งรบกันด้วยศาตราอาวุธ ใหญ่โตขึ้นไปอีกหน่อย จากสมาชิกครอบครัว ไปยังเพื่อนบ้าน ไปหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั่วโลกไปหมดเลย ทั่วแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล ทั่วธาตุ ทั่วธรรม รบกันหมด มนุษย์จึงเหมือนหุ่น ให้บุญและบาปปะทะกันอยู่ เค้าเชิดกันอยู่ ไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้เมื่อไหร่ล่ะก็ มนุษย์จะเลิกรบราฆ่าฟันกัน เลิกกันไปเองเลย เรื่องซับซ้อนต่าง ๆ มันก็เลิก เหลือแต่เรื่องง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มันต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรม ไปถึงที่ ที่ธรรมะกับอธรรมน่ะ ปะทะกันไปไม่ถึงนู่นต้องลึก ๆ นู่น ต้องเลยเข้าไปนู่น พอไปถึงตรงนั้นก็เลิกรบกันเลย 

 

 

               ตอนนี้ให้มีสัญญากันแค่ไหน มีสัตยาบันกันแค่ไหน เดี๋ยวก็ฉีกกัน เดี๋ยวก็เลิกกัน เลิกล้มกันไปเนี่ย ประเทศต่อประเทศเดี๋ยวก็เลิกกันไป ไม่จริงไม่จังกันไป หลอกกันไปชั่วครั้งชั่วคราว ก็รบกันอยู่เรื่อย ๆ จะเลิกได้ต้องไปถึงที่สุดแห่งธรรมอย่างเดียว ต้องให้มวลมนุษยชาติเข้าถึงธรรมทั้งหมด ต้องให้รู้จักตัวเอง ให้มนุษย์รู้จักตัวเอง เกิดมาทำไม มาจากไหน อะไรคือเป้าหมายชีวิต และก็ต่างคนต่างก็ค้น หยุดนิ่งเข้าไปภายใน ค้นที่สุดของตัวเข้าไป ไปถึงที่สุดแห่งธรรมเมื่อไหร่เมื่อนั้นเลิกรบกัน เลิกเบียดเบียนกัน มนุษย์จะมีความสุข เหมือนอย่างเทวดาเหมือนอย่างพระนิพพาน เทวดาไม่ต้องทำมาหากิน เป็นอยู่ได้ด้วยบุญกุศลที่ทำเอาไว้ มีผู้เลี้ยงผู้รักษาดูแล 

 


                พระนิพพานก็เหมือนกัน อยู่ด้วยบุญ มีผู้เลี้ยงผู้รักษาดูแล เต็มไปหมดเลย เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ต้องเห็นได้ด้วยธรรมจักษุของธรรมกายมีจารึกไว้ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ หรือพระเจ้าจักรพรรดิก่อน ๆ บังเกิดขึ้นมาในโลกมีรัตนะ ๗ เกิดขึ้น มีจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ดวงแก้ว นางแก้ว ขุนพล ขุนคลังแก้ว ๗ อย่างบังเกิดขึ้นมา มนุษย์ไม่ต้องทำมาหากินกัน พระเจ้าจักรพรรดิ อ้อเป็นอยู่ได้ด้วยรัตนะ ๗ ดวงแก้วดลบันดาลสมบัติเกิดขึ้น พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกโดยธรรม สอนให้มนุษย์ทั้งหลายมีศีล ๕ เป็นปกติ นี่มีมาแล้วในอดีต ไม่ใช่องค์เดียว พระเจ้าจักรพรรดิมีอยู่นับไม่ถ้วน บังเกิดขึ้นมาก็สอนกันอย่างนี้ เป็นอยู่กันอย่างนี้ แต่ก็ได้ชั่วครั้งชั่วคราวกันไป

 

 

                เมื่อไหร่ไปถึงที่สุดแห่งธรรมแล้ว หมดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล เลิกรบราฆ่าฟันกัน จะมีสุขไปหมด จะรู้จักตัวของตัวเอง รู้เรื่องราวของการบังเกิดขึ้นของตัว ของสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะตอนนั้นไม่มีอะไรกำบัง อวิชชาหรือสิ่งที่ยังไม่ให้รู้ถูกเก็บละลายหายสูญสิ้นเชื้อไม่เหลือเศษแล้ว วิชชาบังเกิดขึ้นวิชชา ๓ วิชชา ๘ อภิญญา ๖ จตุปฏิสัมภิธาญาณ บังเกิดขึ้น รู้แจ้ง เห็นแจ้ง แทงตลอด มีมาแล้วในอดีต แต่ว่ายังอยู่ในขอบเขตจำกัด ถ้าไปถึงที่สุดแห่งธรรมแล้วขอบเขตไม่จำกัดเลย  

 

 

                ดังนั้นบุญกุศลที่เรา ทับทวีเครื่องไทยธรรมถวายเป็นพุทธบูชา แด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานนี่แหละ จะทำให้เรามีบุญใหญ่ เป็นเครื่องสนับสนุนให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรมนั้น แล้วบุญที่เรากำลังทำอยู่ทุกอย่างน่ะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อันนั้น อย่างเช่น ธรรมกายเจดีย์ เจดีย์แห่งพระรัตนตรัย เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของมนุษย์ทั่วโลก จะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ทำให้มนุษย์รู้จักพระรัตนตรัย เข้าถึงพระรัตนตรัย รู้แจ้งแทงตลอด ในธรรมทั้งปวง ในชีวิตของตัว สรรพสัตว์ สรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะฉะนั้นถ้าบังเกิดขึ้นในโลกได้เมื่อไหร่ นั่นคือสัญญาณแห่งสันติสุขที่แท้จริงได้บังเกิดขึ้น เหมือนยุค จะใช้คำว่ายุครุ่งอรุณแห่งสันติสุขที่แท้จริง ที่ชนทุก ๆ รุ่นปรารถนา ที่กัปป์ตั้ง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมสลาย มาหลาย กัลป์นับกันไม่ถ้วน ปรารถนาจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ จะไปถึงจุดตรงนั้นเลย 

 

 

                 ดังนั้นใครช่วยทำกันให้สำเร็จ ผู้นั้นก็เป็นเจ้าของบุญใหญ่ติดตัวไปในภพเบื้องหน้า ให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรม ไปพร้อม ๆ กัน ในระหว่างเดินทางไปถึงที่สุดแห่งธรรมจะเกิดกี่ภพชาติ ก็สมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้ง ๓ รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติต่าง ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อะไรต่าง ๆ มรรคผลนิพพานไปพร้อมกันหมดทีเดียว ให้ได้สร้างบารมีกันอย่างสะดวกสบายกว่าชาตินี้ ไม่ต้องมาลำบาก ยากเข็ญเหมือนชาตินี้ กว่าจะรวมสมบัติได้ก็หืดขึ้นคอทีเดียว ภพชาติต่อไปนี้สมบัติเกิดขึ้นเอง เหมือนอย่างเศรษฐีในสมัยโบราณ สมัยพุทธกาลที่มีบุญมาก ท่านเมณฑกเศรษฐี โชติกเศรษฐีเนี่ย เมื่อเราศึกษาประวัติย้อนหลังจากญาณทัสสนะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเนี่ย เราก็จะพบว่า กว่าจะมาเป็นเศรษฐีอย่างนี้ได้ ท่านก็เป็นเหมือนอย่างเราอย่างนี่แหละ ที่ยังเป็นนักบุญที่ขัดสนคือใจเป็นบุญน่ะ แต่ว่าขัดสน จนทรัพย์แต่หัวใจท่านใหญ่ กว้างขวาง 

 

 

                ในยุคทุกภิกภัย ที่ข้าวยากหมากแพง ใครก็จะต้องคิดถึงชีวิตตัวเองเป็นหลัก แต่ท่านไม่อย่างนั้น เอาดีไปในภพเบื้องหน้า ลำบากชาตินี้ แผล็บเดียวก็หมดเวลาแล้ว ภพเบื้องหน้าต้องดี ให้ดีกว่านี้เนี่ย ท่านขวนขวายอย่างนั้น กระหายกระตือรือร้นอยากจะได้ การทำบุญใหญ่ของท่านก็บังเกิดเรื่อยมา ในที่สุดท่านก็ได้สมปรารถนา เป็นมหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ไม่มีใครเทียบได้เลย จนกระทั่งปัจจุบันนี้ในโลก ยังไม่มีใครมีสมบัติเท่ากับท่านทั้ง ๒ เพราะสมบัติของท่านตักแล้วมันไม่พร่อง สมบัติเศรษฐีทั่วโลก เอามารวมกันทั่วโลก ไม่เท่าท่านเพราะตักแล้วพร่อง ไม่พร่องเลย เพราะฉะนั้นเราก็จะเป็นเช่นท่าน คือจะมีสมบัติมากเหมือนท่านอย่างนั้นแหละ และเราก็จะเป็นแบบท่านอนาถบิณฑิกะเศรษฐี และมหาอุบาสิกาวิสาขา เพราะว่าท่านมีทรัพย์แล้ว ท่านได้ใช้ทรัพย์นั้น ให้เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ขยายคำสอนเผยแพร่ความรู้อันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ไปยังทั่วโลก เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ

 

 

                เพราะฉะนั้นลูก ๆ ทุก ๆ คนต้องหมั่นตักตวงบุญให้เต็มที่ ใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ไม่หวั่นไหว สร้างบารมีเรื่อยไป เมื่อหลายปีก่อนโน้น เราอยู่ในยุคเป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคเป็นรอง อุปสรรคมีเอาไว้ให้ข้ามนั้นคือเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้เราได้ข้ามยุคนั้นมาแล้ว มาถึงยุคเป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคไม่มี ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรค สำหรับนักสร้างบารมีอย่างพวกเรา เจอใครก็ยิ้มแย้ม แจ่มใส ชวนสร้างธรรมกายประจำตัวสร้างธรรมกายเจดีย์ไปให้หมด เค้าจะพูดอย่างไร ยิ้มอย่างเดียว ชวนอย่างเดียว ชวนเรื่อยไปเลย เป้าหมายแรก ๑๐๐,๐๐๐ องค์นี้ เรากำลังบรรลุเป้าหมายในวันนี้แล้ว เพราะฉะนั้นเป้าหมายถัดไปนั้น เป็นเรื่องง่ายของเราเพราะเราได้ผ่านยุค เป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคเป็นรองมาแล้ว ก้าวเข้าสู่ เป้าหมายเป็นหลัก อุปสรรคไม่มี เรามาอยู่ยุคนี้แล้ว 

 

 

                เพราะฉะนั้น ตอนนี้ให้นึกถึงบุญที่เกิดขึ้น จากการบูชาข้าวพระ ที่คุณยายท่านกำลัง ทับทวีไปถวายไปเรื่อยเลย หลวงพ่อเทศน์ไปพูดไป ท่านก็ทับทวีของท่านไปเรื่อย ธรรมกายของพระพุทธเจ้าก็ทับทวีออกมามากมายก่ายกองทีเดียว บุญเกิดขึ้น มาจรดที่ศูนย์กลางกายทุกคนไปหมดเลย สว่างไสว เต็มไปหมดเลย สว่างมาก เป็นบุญที่จะทำให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจอธิษฐานจิตของเราให้ดีนะจ๊ะ อธิษฐานให้ดีทีเดียว อธิษฐานว่าเราจะไปถึงที่สุดแห่งธรรมพร้อมกัน ให้เรามีสมบัติมาก ๆ สร้างบารมีไม่รู้จักหมดจักสิ้น ให้เราได้แทงตลอดในวิชาธรรมกาย ให้แข็งแรง อายุ วรรณะ สุขะ พละ ต่าง ๆ ให้พร้อมให้หมด อธิษฐานดี ๆ นะ อธิษฐานดี ๆ อุปสรรคต่าง ๆ นานา ที่เรามีอยู่ในปัจจุบันให้ละลายหายสูญ เพราะถึงยุคเป้าหมายเป็นหลักอุปสรรคไม่มีแล้ว อธิษฐานกันให้ดีนะจ๊ะ

 

 

                แล้วก็รวมใจ นึกถึงบุญถวายพระราชกุศล แด่สมเด็จย่า ผู้เป็นที่รักของเรา ซึ่งบัดนี้ท่านไปมีเสวยสุขอยู่ในสุขคติโลกสวรรค์แล้ว ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ท่านเกิดมา สร้างบารมี และท่านได้สร้างอย่างเต็มที่แล้ว เหมือนอ้อยที่หีบเอาความหวานออก ทิ้งแต่ชานเอาไว้ ความหวานนั้นนั่นหอบเอาไปแล้ว ความดีท่านสั่งสมมาก ยากต่อใคร ๆ ที่จะทำได้อย่างท่าน ทำมาจนกระทั่งพระชนมายุได้ ๙๐ กว่าพรรษา ยากที่ใครจะทำได้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราระลึกนึกถึงท่าน รักท่าน ก็ให้เอาใจหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกาย รวมใจ รวมบุญ ถวายพระราชกุศลให้ท่านมีสุขแล้วในสุขคติโลกสวรรค์ ก็ขอให้มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป นึกถวายพระราชกุศลกันอย่างนี้นะจ๊ะ พูด นึก ธรรมดา ภาษาชาวบ้านของเรานี้แหละ ว่าขอถวายพระราชกุศลให้กับสมเด็จย่า มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปเนี่ยเป็นภาษาชาวบ้านของเราเนี่ย อย่างสบาย ๆ ใจเย็น ๆ นึกถวายอย่างนี้นะจ๊ะ วันสมาธิโลกก็ขอให้สันติสุขที่แท้จริง บังเกิดขึ้นแก่โลก และสำหรับพวกเรา ก็ขอให้มีพลังบุญพิเศษไปทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตร ชักชวนชาวโลกผู้เป็นเจ้าของบุญพระธรรมกายประจำตัว ให้สำเร็จทุกรายเป็นอัศจรรย์ นึกอธิษฐานจิตอย่างนี้ ด้วยใจที่เป็นสุขอย่างเบาสบาย ทุกๆ คนเลยนะจ๊ะ 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.031651866436005 Mins