ญาณทัศนะ

วันที่ 15 พค. พ.ศ.2567

150567b01.jpg
ญาณทัศนะ
๓ กันยายน ๒๕๓๘
พระธรรมเทศนา เพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ต่อจากนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจให้แน่แน่ว มุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพาน นั่งขัดสมาธิโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ นะจ๊ะ หลับตาของเราเบา ๆ หลับตาพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา ให้หลับพอสบายนะจ๊ะ ทุก ๆ คน ตั้งใจให้ดี ทำใจให้หยุดให้นิ่ง การที่จะเข้าถึงพระธรรมกายภายใน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีเดียว คือต้องทำใจให้หยุดให้นิ่ง ถ้าใจไม่หยุดไม่นิ่งจะไม่มีวันที่จะเข้าถึงได้อย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้นต้องทำใจให้หยุดนะจ๊ะ ใจจะหยุดได้จะต้องมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวของเราน่ะ 

 


                ใจจะต้องมีสติ มีอารมณ์สบายอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องไม่ขาดตอนเลยน่ะ ถ้าได้อย่างนี้ไม่ช้าเดี๋ยวใจก็จะหยุดนิ่ง พอใจหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า เดี๋ยวอารมณ์ปลอดโปร่งภายในที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้น ใจก็จะโล่งขยาย เหมือนอยู่ในที่โล่ง ๆ ที่ไม่มีวัตถุสิ่งของ คล้ายในอวกาศโล่ง ๆ ที่โปร่งสบาย ร่างกายของเราจะหายไปเหมือนไม่มีตัวตน มันจะหายกลืนไปกับบรรยากาศ กลืนไปกับสิ่งแวดล้อมมันหายไปเลย จนกระทั่งเราลืมว่าเรามีร่างกาย มีแต่ความรู้สึกที่หยุดนิ่งอยู่ที่เดียว คือหยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ เมื่อเรารักษาอารมณ์นี้ให้ต่อเนื่องไป อารมณ์ที่หยุดนิ่งให้ต่อเนื่อง 

 


                ให้หยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวแสงสว่างก็เกิดขึ้นเอง เป็นแสงที่นวลเย็นตาเย็นใจเกิดขึ้นมา เหมือนดวงอาทิตย์ที่ผุดขึ้นมาจากขอบฟ้า ขจัดความมืดทำให้อากาศสว่าง ตั้งแต่ความสว่างเหมือนฟ้าสาง ๆ แล้วก็สว่างเพิ่มขึ้น เหมือนดวงอาทิตย์ตอน ๖ โมงเช้า แสงจากดวงอาทิตย์ตอน ๖ โมงเช้าน่ะ ๗ โมง ๘ โมง สว่างค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยไป ยิ่งใจเราหยุดนิ่งได้นาน หยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ ต่อไปโดยไม่ต้องคิดอะไร ความสว่างก็จะเพิ่มพูน จนกระทั่งไปถึงดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ความสว่างเหมือนกลางวันอย่างนี้น่ะ ยิ่งเราทำใจให้หยุดให้นิ่ง ให้เฉย ๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่คิดอะไรน่ะ ทำนิ่งเฉย ๆ เดี๋ยวความสว่างก็จะยิ่งไปกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าตอนเที่ยงวัน เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับการหยุดการนิ่ง

 


                เมื่อเราหยุดนิ่งต่อไปอย่างสบาย ๆ ในกลางความสว่างนั้นน่ะ เดี๋ยวเราจะเห็นจุดสว่างเล็ก ๆ เล็กเหมือนดวงดาวในอากาศ ที่เราเคยมองเห็นในตอนกลางคืน จะเห็นริบ ๆ ไกล ๆ เล็ก ๆ เล็กเหมือนปลายเข็ม เป็นจุดสว่างถ้าเรานิ่งเฉย ๆ เบา ๆ สบาย ๆ โดยไม่ไปบังคับ ที่จะให้มันชัดเจนเพิ่มขึ้น เหมือนเราลืมตาดูบนท้องฟ้าในยามราตรีน่ะ ตอนกลางคืน เราก็มองดูดวงดาวเฉย ๆ ไม่มีความคิดว่าจะให้ดวงดาวเข้ามาใกล้เรา ไม่มีความคิดว่าให้ดวงดาวใหญ่กว่านั้น ไม่มีความคิดว่าให้ดวงดาวสว่างกว่านั้น เราเป็นแต่เพียงมองดูดวงดาวบนท้องฟ้า ด้วยใจที่ปกติธรรมดา ดูเฉย ๆ จุดสว่างในกลางกายก็เช่นเดียวกัน ที่จุดเล็กเหมือนปลายเข็ม คล้ายกับดวงดาวในอากาศ พอเรามองไปอย่างธรรมดา สบาย ๆ เนี่ย ไม่นึกไม่คิดอะไร ในทำนองเดียวกันกับที่ดูดวงดาวบนท้องฟ้า จุดสว่างนั้นก็จะค่อย ๆ ขยายเพิ่มขึ้นเอง เข้ามาใกล้เรา  จนกระทั่งเราดูว่าโตขึ้น และก็โตขึ้นไปเรื่อย ๆ โตขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ เมื่อเรายิ่งนิ่งหนักเข้าก็โตเหมือนดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน 

 


                ดวงนี้แหละเรียกว่าดวงธรรมเบื้องต้น หรือบางครั้งเรียกว่าดวงปฐมมรรค ดวงเดียวกัน แปลว่าจุดเบื้องต้นที่จะไปสู่อายตนนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเสด็จไปสู่อายตนนิพพาน โดยอาศัยผ่านเข้ากลางดวงธรรมดวงนี้เนี่ย เพราะฉะนั้นดวงธรรมดวงนี้เนี่ยมาพร้อมกับความสุข มาพร้อมกับความบริสุทธิ์ เราจะมีความรู้สึกว่าใจของเรานี่เกลี้ยง เกลี้ยงเกลาสะอาด เมื่อเรามองดูเฉย ๆ มองด้วยใจที่เป็นปกติ คล้ายกับมองดูดวงจันทร์วันเพ็ญ บนท้องฟ้าน่ะ ดวงธรรมนั้นก็จะขยายกว้างออกไป ขยายกว้าง เราดูเหมือนจะถูกดูด จะรู้สึกถูกดูดเข้าไปข้างใน กลืนกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดวงธรรมนั้น ความสุขก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมา ความบริสุทธิ์ก็เพิ่ม พลังใจที่จะสร้างความดีเนี่ยมันก็เพิ่มพูนขึ้น แต่เดิมพอจะทำความดีเนี่ยมีความรู้สึกกังวล กังวลว่ากลัวจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จกลัวว่าจะเสียคำพูด เสียสัจจะอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นน่ะ 

 


                เมื่อเข้าถึงดวงธรรมดวงนี้แล้ว ความหวั่นไหวนั้นก็หมดไป ศรัทธาที่มีอยู่แล้วก็จะตั้งมั่นเป็นอจลศรัทธา ศรัทธาที่มั่นคง เมื่อใจได้สัมผัสดวงธรรมภายใน ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพลังแห่งความดี ใจของเราก็จะเข้มแข็ง คำว่าไม่สำเร็จจะไม่เกิดขึ้น คำว่าทำไม่ได้จะไม่มี มีแต่ความสุขสดชื่น เบ่งบานอยู่กลางดวงธรรมนั้น ถ้าหากว่าเราหยุดให้สนิทไปกว่านั้นอีก ก็คือทำวิธีเดิม วิธีเดียวคือหยุดนิ่งเฉย ๆ อย่างสบาย ๆ ในกลางนั้นน่ะ ต่อไปเราก็จะค้นพบไปเรื่อย ๆ ว่าในกลางดวงธรรมดวงนั้น ที่ว่าดีแล้ว ปราณีตแล้วยังมีดวงธรรมที่ปราณีตกว่านั้นอีก เป็นชั้น ๆ เข้าไปทีเดียวถึง ๖ ชั้น เป็นดวงธรรมที่ใสบริสุทธิ์สว่างยิ่งขึ้น มีอานุภาพเพิ่มขึ้น เมื่อเราผ่านเข้าไปในกลางดวงธรรมทั้ง ๖ นั้น ใจจะถูกกลั่นให้บริสุทธิ์ เหมือนน้ำที่ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์นั้น ปราศจากมลทินขึ้นไปเรื่อย ๆ ให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น ๆ ๆ ความสุขก็เพิ่มขึ้น ความมีสติมีความรอบรู้ก็ดี พลังแห่งการทำความดี ความเกลี้ยงเกลาของใจก็เพิ่มขึ้น เพิ่มพูนไปเรื่อย ๆ เป็นทับทวีเข้าไป 

 


                เมื่อใจเข้าไปถึงดวงธรรมทั้ง ๖ ดวง เมื่อเราทำวิธีเดียวกันน่ะ คือทำใจให้หยุดนิ่ง วิธีเดียวกัน วิธีเดิม หยุดนิ่งเฉย ๆ ไม่ช้า ในกลางดวงที่ ๖ เราก็จะพบกายมนุษย์ละเอียด เราจะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด จะรู้จักตัวของเราเองที่แท้จริง ตัวเราเองซึ่งเราไม่เคยรู้จักมาเลย เราไม่เคยเห็นภาพที่แท้จริงของตัวเรา แม้เราจะยืนส่องกระจกก็ตาม ภาพที่เราเห็นในกระจกนั้นมันก็กลับข้างกัน มันก็ยังไม่ใช่ภาพที่ออกจากตัวของเรา แต่ว่าเมื่อเราเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ที่อยู่กลางดวงธรรมดวงที่ ๖ เราจะพบว่ากายมนุษย์ละเอียดนี่แหละ คือตัวของเราในระดับหนึ่ง ที่แตกต่างจากที่เราเป็นอยู่ เป็นชีวิตอีกระดับหนึ่ง ที่มีความปราณีต มีความละเอียดอ่อน มีเพาเวอร์ มีความบริสุทธิ์ ได้เพิ่มขึ้นทีเดียว พอใจเราหยุดเข้าไปในกลางกายมนุษย์ละเอียด หยุดเข้าไปเรื่อย ๆ 

 


                หยุดในกลางนั้นเข้าไป ก็จะเข้าถึงดวงธรรมที่อยู่ในกลางกายมนุษย์ละเอียด ซ้อนกันอยู่อย่างนั้น ๖ ดวงน่ะ เป็นชุด ๆ ชุดละ ๖ ดวง แต่ละดวงก็มีชื่อเรียกกันไป ตั้งแต่ดวงปฐมมรรค ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อเข้าถึงแล้วเราก็จะรู้จักชื่อนี้เอง ถ้าเข้าถึงกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป และในกลางดวงที่ ๖ คือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เราก็จะเข้าถึงอีกกายหนึ่งที่สวยงามกว่าเดิม ปราณีตกว่า คำว่าปราณีตกว่า เราก็ดูกายที่หยาบกว่า กายที่หยาบกว่านั้น ถ้าดูหยาบ ๆ มันจะเห็นปุ่มปมของข้อกระดูกอะไรต่าง ๆ ที่โผล่ออกมา รูปร่างดูแล้วมันยังไม่สวยงาม แค่พอดูได้นะ เมื่อเทียบกับกายทิพย์ที่งามกว่าเดิม เป็นกายที่ไม่เห็นปุ่มไม่เห็นข้อ เหมือนเอาลูกโปร่งเป่าอย่างนั้นน่ะ แถมมีเครื่องประดับอีก สวยงามหนักยิ่งขึ้น ความรู้แจ้งก็เพิ่มขึ้น ความบริสุทธิ์ก็เพิ่มขึ้นไปอีก ความเกลี้ยงเกลาของใจเราเพิ่มพูนขึ้นไป ความมีสติ พลังแห่งความดีก็เพิ่มขึ้นไปอีก 

 


            เมื่อเราเอาใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางกายทิพย์ต่อไปน่ะ พอถูกส่วนเข้าก็พบดวงธรรมอีก ๖ ดวง อีกชุดหนึ่งชื่อเดียวกันน่ะ ใจของเราก็ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไป กลางดวงที่ ๖ ของกายทิพย์ที่เรียกว่าวิมุตติญาณทัสสนะ เราก็จะเข้าถึงกายรูปพรหม กายรูปพรหมนั่นสวยงามกว่ากายทิพย์ กายนั้นตั้งตรง เครื่องประดับก็งามกว่าปราณีตกว่า เราดูที่เครื่องประดับนะของกายทิพย์กับกายพรหมน่ะจะแตกต่างกันน่ะ ถ้าหากว่าเป็นของมนุษย์ที่มีระดับที่แตกต่างกันน่ะ ที่หยาบกว่าก็ไม่ได้แกะสลักอะไร ที่ละเอียดเพิ่มเข้าไปเค้าก็เพิ่มการแกะสลัก ของกายพรหมเนี่ยก็เช่นเดียวกัน เครื่องประดับน่ะมันแตกต่างจากกายทิพย์ ปราณีตเพิ่มขึ้นไปน่ะ ในกลางกายพรหมนั้น เมื่อใจหยุดนิ่งถูกส่วนอย่างสบาย ๆ เราก็จะเข้าถึงธรรมอีก ๖ ดวง อีก ๑ ชุด ชื่อเดียวกัน  

 


                ดวงสุดท้ายคือดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นน่ะ เราจะเข้าถึงกายอรูปพรหม ซึ่งเป็นกายที่สวยงามหนักยิ่งขึ้น เป็นกายที่ใกล้ ๆ กับลักษณะมหาบุรุษมาก เครื่องประดับยังมีอยู่ แต่ปราณีตกว่ากายรูปพรหม ปราณีตเข้าไปเรื่อย ๆ ซับซ้อนเข้าไป มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นมากกว่ากายรูปพรหม รัศมีก็สว่างกว่า เมื่อใจเราหยุดนิ่งอยู่ในกลางกายอรูปพรหมต่อไปอีก ในกลางนั้นเราก็จะเข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง อีกชุดหนึ่ง ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ คือดวงที่ ๖ ของกายอรูปพรหม เราจะเข้าถึงกายธรรมโคตรภู กายธรรมนี่แหละเป็นกายมาตรฐาน ได้ลักษณะมหาบุรุษ เกตุดอกบัวตูม เกตุดอกบัวตูมนั่งขัดสมาส ขาขวาทับเท้าซ้าย มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้มือขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักติดตัวเลย แนบตัว นิ้วสัมผัสตัว กายตั้งตรง ตรงที่เดียว ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปน่ะ เป็นกายที่สวยงาม 

 


                พระพุทธรูปหรือพุทธปฏิมากรที่จำลองมาจากธรรมกายในตัวนี่แหละ ถ้าผู้ที่มีความรู้แจ้งก็จะจำลองมาได้ใกล้เคียง ที่ไม่รู้แจ้งก็ไปดัดแปลงเปลี่ยนแปลงกันไป จากเกตุดอกบัวตูมก็ทำเป็นเกตุเปลวเพลิง แทนสัญลักษณ์แห่งปัญญาก็มี เพราะฉะนั้นกายข้างในคือกายธรรมนั้นจะมีลักษณะสวยงามมาก ที่เรียกว่าลักษณะมหาบุรุษ เป็นลักษณะมาตรฐาน ถ้าเราจะดูว่าใครสวยหรืองามเนี่ย ต้องนำมาเทียบกับกายมาตรฐาน ถ้านำมาเทียบกับกายธรรมที่สวยงามแล้วนะ กายต่าง ๆ นั้น ได้ชื่อว่าพิการน่ะ แต่พอดูได้ พอดูได้เท่านั้นเอง พอมีอารมณ์ให้ดูไปได้ ถ้าหากเราเข้าถึงกายธรรม ถึงกายมาตรฐาน ถึงจะเห็นว่ากายต่าง ๆ ในภพทั้ง ๓ กายอรูปพรหมก็ดี กายรูปพรหมก็ดี กายทิพย์ กายมนุษย์ละเอียด หรือกายมนุษย์หยาบ เราจะเห็นว่าความงดงามมันแตกต่างกันลงไปเลย 

 


                เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าอะไรงามหรือไม่งาม สวยหรือไม่สวย ต้องนำมาเทียบกับกายมาตรฐาน ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรา ต้องเข้าถึงกายธรรมให้ได้เหมือนอย่างพระพุทธเจ้า  ท่านนำพระนันทะพระอนุชา ซึ่งกำลังจะแต่งงานอยู่แล้วน่ะ ไปเที่ยวสวรรค์ในระหว่างทางเจอลิง นางลิงนะนั่งอยู่ ท่านก็พาไปเรื่อย ๆ และท่านก็บอกให้จำไว้นะ จำคู่หมั้นเอาไว้ แล้วก็ดู จำลิงตัวนี้ไว้ให้ดี ท่านก็พอผ่านตั้งแต่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชเรื่อยไปเลยนะ สวรรค์ชั้นที่ ๑ ไปชั้นดาวดึงส์ พบเทพธิดาขนาดยังไม่ได้กายมาตรฐานเลย แต่ว่างามนักทีเดียว ไม่มีข้อไม่มีปุ่ม ไม่มีปมเลย กระดูกกระเดี้ยวไม่โผล่ เกลี้ยงเกลาสวยงาม กลมกลึงไปหมดเลย มีเครื่องประดับประดา มีรัศมี มีเสียงที่ไพเราะ มีกลิ่นหอม มีอริยาบถที่งาม มีความสดชื่นอยู่ตลอดเวลา 

 


                เมื่อพระนันทะได้เห็นได้เปรียบเทียบดู ท่านก็ถามว่าเป็นไง ความแตกต่างระหว่างมนุษย์ ลิง และก็เทพธิดานี่น่ะ แต่ท่านพูดว่าระหว่างเทพธิดากับคู่หมั้นน่ะ ว่ารู้สึกยังไง มันต่างกันยังไง พระนันทะอนุชา พระอนุชาของพระพุทธเจ้าท่านก็พูดมาตรง ๆ เลย ท่านบอกว่าคู่หมั้นของท่านน่ะก็เหมือนนางลิงอย่างนั้นแหละ เหมือนลิงงั้น คือท่านไม่ได้มีไปมีเจตนาจะไปว่าคู่มอะไร แต่ว่าเปรียบเทียบให้ดูว่า ถ้าจะเอาไปเทียบกับเทพธิดาแล้วล่ะก็จะเหมือนอย่างนั้นแหละ ดูแล้วก็ไม่ได้งามอะไร ก็พอทนดูได้กัน เพราะฉะนั้นกายมาตรฐานจริง ๆ ก็คือกายธรรมที่สวยงามกว่ากายใด ๆ ทั้งหมดในภพทั้ง ๓ 

 


                เราจะทราบได้อย่างไร ทราบได้เมื่อเราเข้าถึง ผ่านมาตามขั้นตอน ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม และก็กายธรรม ถ้าเข้าถึงตลอดหมดทุกกายอย่างนี้ จะเห็นความแตกต่างกันได้อย่างชัดเจนทีเดียว ความงามก็ดี ความรู้แจ้งหรือความฉลาดก็ดีนะ ภูมิธรรมก็ดี กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม หรือกายธรรมน่ะ กายธรรมนี้จะเป็นผู้รู้ที่แท้จริง รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดและก็เป็นความรู้ที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยเจอ อย่างมนุษย์นั้นกว่าจะรู้ต้องใช้ความคิด คิดตั้งนานทีเดียว ต้องใช้การอ่าน ต้องใช้การฟัง 

 


                ต้องฟังต้องอ่านต้องคิดถึงจะรู้ และก็เป็นความรู้ที่ไม่สมบูรณ์ บางทีก็ถูก บางทีก็ผิด ยุคนี้ว่าถูก เปลี่ยนแปลงไปอีกยุคผิดอีกแล้วน่ะ และเป็นความรู้ที่มีขอบเขตจำกัด แคบ ต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้เรื่องราวอะไรต่าง ๆ ต้องอ่านหนังสือนาน ต้องฟังกันนาน ต้องดูอะไรกันนาน ๆ ต้องดมนาน ๆ ลิ้มรสนาน ๆ สัมผัสนาน ๆ คิดกันนาน ๆ ทีเดียวกว่าจะได้รู้เรื่อง บางคนแค่เรื่องบุหรี่เรื่องเดียวเนี่ย สูบกันทั้งชาติยังไม่รู้รสเลย มันเป็นยังไง นี่ยังไม่รู้แจ้งเลยว่ามันเป็นโทษ หรือว่ามันเป็นคุณ มันรสชาติอย่างไรน่ะ ทดลองสูบกันทุกวัน สูบประเดี๋ยวเดียวลืมอีกแล้ว ลืมอีกแล้วก็มาสูบใหม่ เพราะว่าความรู้ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อเข้าไปถึงกายธรรมแล้ว ที่เรียกว่าท่านเป็นผู้รู้ 

 


                เพราะว่าท่านเห็นน่ะ ท่านคิดนิดเดียว กระดิกจิตนิดเดียว อยากรู้อะไรก็รู้เลย รู้เพราะเห็น เห็นแจ้ง เห็นเพราะสว่าง ความสว่างบังเกิดขึ้นไปที่ไหน ความเห็นแจ้งก็บังเกิดขึ้นด้วยธรรมจักขุ ความรู้แจ้งด้วยญาณทัสสนะก็เกิดขึ้น เห็นได้รอบตัว แตกต่างจากการเห็นของกายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์หยาบเห็นได้ด้านเดียว และก็เห็นมีระยะช่วงสั้น จะเห็นข้างหน้าก็มองไปข้างหน้า เห็นไปได้อย่างมากก็สุดสายตา และที่ไกล ๆ ก็เห็นไม่ค่อยชัดเจน ส่วนกายธรรมนั้นจะใกล้จะไกลแค่ไหน ชัดเจนหมด นอกจากนั้นไกลไปถึงในอดีต ที่ผ่าน ๆ มาแล้วเนี่ย จนกระทั่งไปถึงในอนาคตอีก ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน ทั้งอนาคต รู้แจ้งแทงตลอดหมด นี่แหละคือกายธรรม

 


                เพราะฉะนั้นกายธรรมนี้จึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกของพวกเราทั้งหลาย ให้ทุกคนทำใจให้หยุดนิ่งอย่างสบาย ๆ ให้เข้าถึงดวงธรรมภายใน ถึงกายภายใน ถึงพระธรรมกายให้ได้กันนะจ๊ะ เราทำใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้ใส ให้บริสุทธิ์ ใจของเราก็จะเป็นประดุจภาชนะอันบริสุทธิ์ที่กว้างใหญ่ไพศาลที่จะรองรับบุญใหญ่ซึ่งเกิดจากการบูชาข้าวพระกัน เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจทำใจให้หยุดให้นิ่งให้ดีนะจ๊ะ วิธีการทำให้หยุดนั้นน่ะ เค้าให้ทำอย่างสบาย ๆ น่ะ เอาใจหยุดนิ่งไปที่กลางกาย กลางกายเหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือโดยประมาณ สมมติเราขึงเส้นด้ายจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ให้ตัดกันเป็นกากบาท เหนือจุดตัดนั้นขึ้นมา ๒ นิ้วมือ นั่นแหละเป็นที่ตั้งของใจเรา เรียกว่าฐานที่ ๗ จำง่าย ๆ ก็คือกลางท้องนั่นเองนะจ๊ะ 

 


                ตรงนี้คือที่ตั้งของใจเราเรียกว่าฐานที่ ๗ ให้ทำใจให้หยุด ให้นิ่งอย่างเบา ๆ สบาย รักษาอารมณ์เบาสบายให้มันต่อเนื่องกันไป ถ้าหากว่าใจฟุ้ง เราก็นึกถึงสิ่งที่บริสุทธิ์ที่จะทำให้ใจเราหยุดนิ่งง่าย เช่น นึกถึงพระพุทธรูป นึกถึงพระแก้ว หรือนึกถึงดวงแก้วอย่างใดอย่างหนึ่ง นึกถึงพระแก้วที่เราเคารพกราบไหว้บูชา หรือจะเป็นพระโลหะหรือทำด้วยพัสดุอะไรก็แล้วแต่ ที่เราพอจะนึกได้ ให้ท่านนั่งขัดสมาสหันหน้าออกไปทางเดียวกับตัวของเรา ขนาดใหญ่เล็กก็แล้วแต่เราชอบ หรือถ้าไม่ชอบองค์พระจะนึกเป็นดวงแก้วก็ได้ นี่กรณีที่ใจเราจะฟุ้งซ่านนะจ๊ะ จะคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ ก็ให้นึกถึงดวงใส ๆ หรือพระแก้วใส ๆ ยิ่งนึกของใส ๆ เท่าไหร่  ใจก็จะยิ่งใสตาม ดีกว่าของทึบ ๆ แต่ถ้าหากนึกของใส ๆ ไม่ได้ก็นึกของทึบ ๆ แทน คือพระทึบ ๆ หรือดวงแก้วที่ทึบ ทึบคล้าย ๆ กับน้ำแข็งน่ะ ขุ่น ๆ อย่างนั้นก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถ้าเกิดขึ้นมาทีเดียวสองอย่างได้ยิ่งดี เราก็มองไปทีเดียว ในกลางท้องอย่างนั้นนะจ๊ะ

 


                ถ้าหากว่านึกดวงแก้วก็ดี องค์พระก็ดี ยังอดฟุ้งไม่ได้ ก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ควบคู่ไปด้วย คือป้องกันความฟุ้งหลาย ๆ ชั้นนะจ๊ะ จากนึกถึงบริกรรมนิมิต และก็นึกถึงบริกรรมภาวนา องค์พระดวงแก้วและก็ ภาวนาสัมมาอะระหังไปเรื่อย จะกี่สิบกี่ร้อยกี่พัน กี่หมื่น กี่แสนครั้ง เราก็ภาวนาไป ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ นะจ๊ะ อย่างนี้เรียกว่าป้องกันความฟุ้งไว้หลาย ๆ ชั้น คือใจตรึกนึกถึงดวงใส หยุดอยู่กลางดวงใส พร้อมกับภาวนาสัมมาอะระหัง เห็นไม้จ๊ะ ๓ ชั้น คือตรึกนึกถึงดวงใสด้วย แล้วก็หยุดกลางดวงใส นี่ ๒ ชั้นแล้ว แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหัง สามชั้น ทำอย่างนี้ไม่ฟุ้งเลย หรือไม่ชอบดวงแก้วจะนึกถึงองค์พระ ก็นึกถึงภาพองค์พระแก้วใส ๆ หยุดไปกลางองค์พระนี่ชั้นที่สองแล้วก็ภาวนาสัมมาอระหัง นี่ ๓ ชั้นไม่ฟุ้งเลย ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ

 


                ถ้าภาพดวงแก้วหรือองค์พระยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร เมื่อมันยังเป็นขณิกสมาธิ สมาธิยังอ่อน ๆ อยู่ มันก็เห็นตัว ๆ ลาง ๆ คุ่ม ๆ ค่ำ ๆ มันก็ไม่เป็นไร ขอให้นึกเรื่อยไปนะจ๊ะ อย่าไปกลุ้มใจนะอย่าไปยึดฮัดโมโหโทโส ว่าทำไมคนอย่างเรา ถึงนึกดวงแก้วองค์พระไม่ออก หรือนึกออกแล้วทำไมมันถึงไม่ชัดได้ดังใจ เลยพยายามไปเค้นภาพจะให้มันชัด ก็ฮึดฮัดขึ้นมา หงุดหงิดขึ้นมา ถ้าทำอย่างนี้นะจ๊ะ ขืนทำอย่างนี้เนี่ย ไม่ช้าเราจะปวดหัว เราจะเบื่อ เราจะเครียด เพราะฉะนั้นเราตามใจท่านก่อน เดี๋ยวท่านจะตามใจเรา คือเห็นองค์พระหรือดวงแก้ว นี่เราสมมติกำหนดขึ้นมาชัดเจนแค่ไหน เราก็ดูท่านเรื่อยไปอย่างสบาย ๆ รักษาความสงบของใจไว้ ดูไปเล่น ๆ ดูไปเพลิน ๆ สบาย ๆ เหมือนดูดวงดาวบนท้องฟ้า หรือไปกราบไหว้บูชาพระพุทธรูปที่ไหนก็แล้วแต่ 

 


                เมื่อเราอยู่ระยะไกล ๆ ก็เห็นท่านไม่ชัด พอเข้าใกล้ก็ชัดเองเนี่ย ไม่ใช่พอเราอยู่ไกล ๆ เห็นองค์พระไม่ชัด เราจะไปเค้นภาพไปนึกให้ท่านเข้ามาใกล้ มาใหญ่มันก็เป็นไปไม่ได้ ภายในก็เช่นเดียวกันนะจ๊ะ เห็นแค่ไหนดูแค่นั้น ฝึกใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียว พอเราตามใจท่านหนักเข้า หนักเข้า เดี๋ยวท่านก็จะเปลี่ยนแปลงปาฏิหาริย์ไป ถ้าเป็นดวงแก้วก็จากดวงเล็กมาดวงใหญ่ ใสน้อยมาใสมาก ถ้าเป็นพระนะ จากทึบก็มาขาวขุ่น จากขาวขุ่นมาขาวใส หรือเปลี่ยนแปลงเป็นสีสัน หรือจะเคลื่อนไหวหมุนในท้องก็ดีน่ะ จะหกคะเมนตีลังกายังไงก็แล้วแต่ เราดูไปเฉย ๆ นะจ๊ะ ดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ เชื่อหลวงพ่อนะจ๊ะ เนี่ยดูไปเรื่อย ๆ อย่างสบาย ๆ 

 


                เมื่อเราตามใจท่าน ไม่ช้าท่านก็จะตามใจเรา ตามใจคือยังไง ไม่ช้าท่านก็จะหยุดนิ่ง องค์พระหยุดนิ่ง หรือดวงแก้วก็จะหยุดนิ่งเอง หยุดนิ่งแล้วก็ชัดเอง ใสเอง สว่างเอง ตอนนี้เราชนะแล้ว ชนะใจท่านแล้ว ท่านยอมอยู่กับตัวเราแล้ว พอเราก็ดูเรื่อยไป บางครั้งเดียวเห็น บางครั้งเดี๋ยวหาย ก็ช่างท่าน แล้วแต่ท่าน ถ้าใจเราหยุดนิ่งก็เห็นชัด ถ้าใจเราหยาบออกมาก็เห็นไม่ค่อยชัด เราก็พยายามทำใจให้หยุดให้นิ่งให้ใจเย็น ๆ สบาย ๆ เดี๋ยวก็ชัดเจนเพิ่มขึ้นมา แล้วเวลากลับไปบ้านก็ไปทำต่อ ทำมันไปทุกวันทุกคืน ๆ อย่าให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว ทำเล่น ๆ ทำเพลิน ๆ ทำให้มันเป็นกิจวัตร เหมือนเราตื่นมาตอนเช้า เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน เห็นไม้จ๊ะ ไม่ต้องมีใครมาเตือน ไม่ต้องใช้ความพยายามเลย ไม่ต้องฝืน แต่พอตื่นขึ้นมาก็ทำเป็นกิจวัตร 

 


                การนึกถึงดวงแก้วก็ดี องค์พระก็ดีเนี่ย ในกลางท้องเนี่ย ให้นึกให้เป็นกิจวัตรอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะกลุ่ม จะหงุดหงิดใครก็แล้วแต่ โมโหโทโสใครก็แล้วแต่ เราก็มานึกถึงดวงแก้วองค์พระ ถ้านึกถึงองค์พระดีกว่านึกถึงดวงแก้วดีกว่า จะอยู่ในรถ รถติดก็ช่างมันเถอะ อย่าไปกลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องรถติด นึกถึงองค์พระดีกว่า นึกถึงดวงแก้วดีกว่า นึกอย่างนี้แล้วใจก็สบาย พอใจสบายหนักเข้า ๆ ๆ เดี๋ยวองค์พระชัดขึ้นมา ใสแจ่มทีเดียว ดวงแก้วใสแจ่ม พอใสตอนนี้เอาล่ะ เรายิ้มออกแล้ว ชนะในเบื้องต้นแล้ว ต่อไปจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว จะเข้าถึงกลางของกลางเข้าไปเรื่อย ๆ ถึงดวงธรรมภายใน ถึงกายภายใน ถึงพระธรรมกายภายใน อย่างที่หลวงพ่อได้กล่าวเอาไว้เบื้องต้นนะจ๊ะ ทำใจหยุดนิ่งให้ใจใส ใจสบายกันทุก ๆ คน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ อย่าพูดอย่าคุยกันทุก ๆ คน

 


                เราก็เอาใจของเราหยุดนิ่ง ไปที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อย่างสบาย ๆ ตรงกลางกาย ซึ่งเป็นทางไปของ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายน่ะ ไปสู่อายตนนิพพาน ในอายตนนิพพานมีพระพุทธเจ้า มีพระธรรมกายของพระพุทธเจ้านับพระองค์ไม่ถ้วนเลย ที่เข้านิพพานไป ในอดีตที่ผ่านมา มากมายก่ายกองจนกระทั่งนับไม่ไหวทีเดียว การบูชาข้าวพระก็คือ การนำเครื่องไทยธรรมคือดอกไม้ธูปเทียน อาหารหวานคาว ที่เรานำจากบ้านมาคนละเล็กละน้อย มารวมกันและก็น้อมด้วยธรรมกาย กลั่นเครื่องไทยธรรมนั้นให้สะอาดบริสุทธิ์ มีความละเอียดเท่ากับธรรมกาย แล้วก็น้อมผ่านกลางกาย กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม กายธรรมต่าง ๆ จนกระทั่งมีความละเอียดในระดับหนึ่ง จิตก็จะตกศูนย์วูบเข้าไปสู่อายตนนิพพาน แล้วเราก็นำเครื่องไทยธรรมที่เป็นของละเอียดนี้ น้อมไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระธรรมกายของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในอายตนนิพพานเต็มไปหมดเลย 

 


                การบูชาอย่างนี้เรียกว่าการบูชาข้าวพระ มีอานิสงส์มาก จะนับจะประมาณมิได้ เมื่อเราทับทวีไปถวายองค์ไหนถึงไหนก็ตาม พระพุทธเจ้าในอายตนนิพพาน ท่านก็จะสอดละเอียด สอดบุญเข้ามาในกลางกายเรา ถ้าถึงถวายร้อยองค์ พระธรรมกายทั้งร้อยองค์ก็สอดละเอียดเข้ากลางกายเรา ดวงบุญก็ใสสว่างทีเดียว ถ้าถวายถึงพันองค์ก็ทั้งพันองค์น่ะ ก็รวมบุญเข้ามาไว้ที่กลางกายเรา ถ้าถวายหมื่นองค์ ทั้งหมื่นองค์ก็รวมบุญเข้ามาในกลางกายเรา ถ้าถวายแสนองค์ ทั้งแสนองค์ก็รวมบุญมากลางกายเรา ถ้าถวายล้านองค์ ทั้งล้านองค์ก็จะรวมบุญมาในกลางกายเรา ถ้าถวายหลาย ๆ ล้านองค์ หลาย ๆ ล้านองค์นั้นก็จะรวมบุญเข้ามาในกลางกายเรา ถ้าถวายทีเป็นอสงไขยองค์ ก็นับกันไม่ไหวน่ะ ที่ใช้คำว่าอุปมาว่า เมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔ ที่จริงนะ มหาสมุทรทั้ง 4 มันนิดเดียวเท่านั้นเอง 

 


                ถ้าใช้คำว่าอสงไขยคือนับกันไม่ถ้วนนี่ คือมันมากมายก่ายกองมากทีเดียว วิธีนับโดยใช้คำว่าอสงไขยมีเฉพาะในพระพุทธศาสนา ใช้นับสิ่งที่ประมาณไม่ได้ ซึ่งจะนับได้ด้วยธรรมกาย ญาณทัสสนะของพระธรรมกาย ไป คำนวณทีเดียวก็นับได้ ถ้านับอสงไขยไม่ถ้วน คือสิ่งที่นับไม่ถ้วนน่ะ ทับทวีต่อไปจนนับไม่ถ้วนอีก บุญก็ทับทวีเข้ามา เห็นไม๊จ๊ะว่าการบูชาข้าวพระนี้ไม่ใช่ของเล็กน้อยเลย ไม่ใช่ของพอดีพอร้าย การจะหาพระอริยเจ้าสักองค์ พระพุทธเจ้าซักองค์นึง เพื่อที่เราจะได้ถวายทาน ทำบุญกับท่านทำทานกับท่าน คือถวายท่านแล้วบุญเกิดขึ้นกับเราน่ะ ไม่ใช่ง่าย กัปป์หนึ่งจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นเนี่ย อย่างมากที่ ๕ พระองค์เหมือนอย่างกัปป์นี้ ถือว่ามากที่สุดแล้ว มากที่สุดในอดีตทีเดียวที่ผ่านมา เรียกว่าภัทรกัปป์ บางกัปป์ไม่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นเลย บางกัปป์ก็มีหนึ่งองค์ สององค์ สามองค์ แต่กัปป์ของเรานี้โชคดี มีถึง ๕ องค์เรียกว่า ภัทรกัปป์ กัปป์ที่เจริญ 

 


                การเป็นพระพุทธเจ้าเค้าดูกันตรงนี้ ตรงที่ท่านเข้าถึงธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมดกิเลสคือหลุดพ้นจากกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสต่าง ๆ สังโยชน์เบื้องต่ำเบื้องสูงอะไรต่าง ๆ ทั้งหมด ที่บังคับท่านให้เวียนว่ายตายเกิด ท่านเอาชนะได้ คือหลุดพ้นได้ คือท่านละเอียดกว่า ละเอียดกว่าสิ่งที่บังคับ สิ่งที่บังคับนั้นหยาบกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อท่านละเอียดกว่า ท่านก็หลุดพ้นจากที่เค้าบังคับเอาไว้ หลุดออกมาเป็นพระธรรมกายอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หลุดพ้นหมดเลย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ธรรมกายนั่นแหละคือตัวพระพุทธเจ้า กายเนื้อแค่เป็นฐานรองรับ เพราะฉะนั้น กัปป์ ภัทรกัปป์นี้ มี ๕ พระองค์ แต่นี่ด้วยวิชชาธรรมกาย ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญท่านค้นพบ สืบเนื่องกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ปัจจุบันมาทำต่อกันไปเนี่ย จึงเข้าถึงพระธรรมกายของพระพุทธเจ้าที่นับไม่ถ้วนทีเดียว 

 


                พวกเรามีบุญติดตามสร้างบารมีกันมาตลอดในเส้นทางสายนี้ สายที่จะไปถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นบุญเล็กน้อยเนี่ย ไม่มีโอกาสที่จะส่งให้ไปถึงที่สุดแห่งธรรมได้ ต้องเป็นบุญใหญ่ คือทำทั้งทีแล้วได้บุญใหญ่ จึงจะมีกำลังส่งไปถึงที่สุดแห่งธรรม ดังนั้นการบูชาข้าวพระที่ทับทวีไปถวายพระพุทธเจ้ากันนับพระองค์ไม่ถ้วนเนี่ย นี่เป็นบุญใหญ่ทีเดียว ก็ในเมื่อภัทรกัปป์นี่บังเกิดขึ้นแค่ ๕ องค์ แต่ธรรมกายของพระพุทธเจ้า ในอายตนนิพพาน นับอสงไขยพระองค์ไม่ถ้วน มากมายก่ายกองทีเดียว เพราะฉะนั้นบุญที่บังเกิดขึ้นก็นับกันไม่ไหว พวกเราจึงเป็นผู้ที่มีบุญในเส้นทางสร้างบารมีถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องตั้งใจนะจ๊ะ

 


                ส่วนการที่เราบูชาข้าวพระ ก็ไม่ได้หมายถึงว่าพระพุทธเจ้า พระธรรมกายพระพุทธเจ้า ท่านจะต้องเสวยอาหาร แบบพระสงฆ์ขบฉัน เพราะท่านหมดความจำเป็นแล้ว แต่นี่เป็นพุทธบูชาที่เราไปถวาย ถวายท่าน เพราะฉะนั้นบุญนี้จึงบังเกิดขึ้น นับกันไม่ไหวทีเดียว ดังนั้นตอนนี้ตั้งใจให้ดี ใครใจหยุดได้แค่ไหน ถึงระดับไหนก็หยุดไปตรงนั้น แต่กลางกายที่เดียวกันนะจ๊ะ ตรงกลาง เป็นแต่เพียงความละเอียดแตกต่างกัน ถ้าหยุดนะจุดเดียวกันตรงกลางกาย บุญก็เกิดขึ้น สว่างจ้าเต็มไปหมดเลย รวมมาเป็นจุดเดียวที่กลางกายเรา หยุดอยู่ในกลาง บุญก็เกิดขึ้นและก็มีสายสมบัติ และก็มีผังสำเร็จ ของสายสมบัติคือสร้างมหาทานบารมี แล้วก็จะมีโภคทรัพย์สมบัติบังเกิดขึ้นมีรูปสมบัติ มีทรัพย์สมบัติ มีคุณสมบัติมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข บรรลุมรรคผลนิพพาน แทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ก็อยู่ในกลาง อยู่ในกลางดวงบุญนั่นน่ะ ที่ซ้อน ๆ ๆ ๆ ๆ เข้ามาในกลางเราน่ะ เต็มไปหมดเลย ต่อเนื่องกันไปเลย จนกระทั่งถึงที่สุดปลายทางน่ะ ก็หมายความว่า บุญนี้ก็จะส่งผลให้เราได้มาเกิดสร้างบารมี กันอย่างสะดวกสบาย อย่างง่ายอย่างดาย 

 


                เมื่อผู้มีบุญมารวมกันน่ะในยุคเดียวกัน มนุษย์ในยุคนั้นไม่ต้องทำมาหากิน ทุกอย่างบังเกิดขึ้นด้วยอานุภาพแห่งบุญ ให้เราได้นั่งหยุดกับนิ่งอย่างเดียวเนี่ย จนกระทั่งไปถึงที่สุดแห่งธรรม เรื่องที่ไม่ต้องทำมาหากินนี้ มีมาแล้วในอดีต ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลาย ๆ ยุค ในยุคที่พระเจ้าจักรพรรดิมาเกิด ปกครองโลก โดยธรรม สั่งสอนให้ชาวโลกมีศีล ๕ เป็นปกติ มนุษย์ในยุคนั้นไม่ต้องทำมาหากินเลย เป็นอยู่ได้ด้วยอานุภาพแห่งบุญของบรมจักรพรรดิ มนุษย์ก็รักษาศีลบำเพ็ญภาวนาอย่างเดียว แล้วก็ไปสู่สุคติภูมิโลกสวรรค์กัน มีความสุข ไม่มีการเบียดเบียนกันเลย เป็นผู้มีโรคน้อย มีอายุยืนยาว โรคภัยไข้เจ็บมีอาการคล้าย ๆ กับง่วง คล้าย ๆ กับคนนอนหลับ ง่วง หาว เรออะไรอย่างนั้น ส่วนโรคร้ายแรงอย่างปัจจุบันที่มีอยู่ สมัยนั้นไม่มีเลย อย่างนี้มีมาแล้วในอดีตเพราะว่าบุญที่สั่งสมกันมา ก็ปรุงแต่งให้เกิดรูปสมบัติที่งาม แข็งแรง อายุยืน ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็เฉลียวฉลาด รวมทั้งปรับปรุงสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง ให้พอเหมาะพอดี มีความสุข เป็นรองก็แค่บนสวรรค์เท่านั้นเอง มีมาแล้วในอดีต หลาย ๆ ครั้งทีเดียว 

 


                เพราะฉะนั้นพวกเราผู้มีบุญทั้งหลาย ถ้าสั่งสมบุญอย่างนี้ซึ่งเป็นบุญใหญ่ จะส่งผลให้เราไปถึงที่สุดแห่งธรรม เมื่อเรามาเกิดเจอกันอีก เราจะสร้างบารมีง่ายกว่าชาตินี้ สะดวกทีเดียว ได้ดังใจเลย อย่างชาตินี้เรามีศรัทธาอยากสร้างธรรมกายเจดีย์ แต่เป็นนักบุญที่ขัดสน มีความตั้งใจ บางคนขัดสนทุนทรัพย์ บางคนขัดสนเพราะตระหนี่ แต่ความตระหนี่ในตัวพวกเรามีน้อย มีเหมือนกันแต่น้อย มักจะมีความกังวลห่วงชีวิต ห่วงอนาคต กลัวจะอดอยากยากจน ไม่ใจเด็ดเดี่ยวเหมือนท่านเมณฑกเศรษฐี หรือท่านโชติกเศรษฐี ที่เกิดในยุคทุกขภิกภัยข้าวยากหมากแพง เหลืออาหารอยู่มือเดียว ยังแบ่งปันอาหารมื้อนั้นถวายกับพระอรหันต์ 

 


                จนกระทั่งอานุภาพแห่งบุญส่งผลให้มาเป็นมหาเศรษฐีของโลกที่ไม่มีใครเสมอเหมือนกระทั่งปัจจุบันนี้ เพราะใจเด็ดเดี่ยวทีเดียว ข้าว ๑ ทัพพีในยุคทุกขภิกภัยหมายถึงชีวิต สัตว์โลกทุกคนก็รักชีวิต ท่านเมณฑก ท่านก็รักชีวิต ในภพนั้นน่ะ แต่ท่านรักการสร้างบารมีมากกว่า ไม่วิตกไม่กังวล แต่พวกเรายังมีกังวล มีเกี่ยง เพราะฉะนั้นนี่เราสร้างบารมีกันไม่ได้สะดวก แต่ถ้าหากกำลังบุญเราเต็มที่แล้ว ไม่มีการตระหนี่ ไม่เกี่ยง ไม่กังวล ไม่วิตกอะไรเลย เมื่อตั้งใจสร้างธรรมกายเจดีย์ต้องสร้างให้สำเร็จให้ได้ เพราะเราจะเอาบุญใหญ่ ให้ทุกคนตั้งใจกันให้ดีนะจ๊ะ

 


                อธิษฐานจิตขอให้อานุภาพแห่งบุญนี้ ดลบันดาลให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เอาชนะความตระหนี่ให้ได้ ให้มีหัวใจที่เบิกบานแช่มชื่น เหมือนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีและมหาอุบาสิกาวิสาขา ให้ได้เป็นเจ้าของบุญให้ได้สําเร็จเป็นอัศจรรย์เลย ให้มีสายสมบัติเชื่อมโยงมา ให้ได้สำเร็จอย่างที่คาดไม่ถึง อย่างง่าย อย่างดาย อย่างสะดวกอย่างสบาย และขอบุญนี้ให้ทุก ๆ คน มีความสุข มีความเจริญ ให้เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ คุณยายคุมบุญให้ดีทีเดียว เป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ มีสมบัติมาก ๆ อุปสรรคต่าง ๆ นานา ก็ให้ละลายหายสูญไปให้หมด และให้รู้แจ้งแทงตลอดในวิชชาธรรมกาย ให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้น คิดอะไรให้สมความปรารถนา คุณยายขอบุญบารมีจากพระนิพพาน ลงซ้อนให้เต็มให้หมดเลย พวกเราเจ้าของบุญ ก็อธิษฐานจิตกันตามใจชอบกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ


 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.022872833410899 Mins