โลกธรรม

วันที่ 28 พค. พ.ศ.2567

250567b01.jpg
 

โลกธรรม
๗ กรกฎาคม ๒๕๓๙
พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

 

                ต่อจากนี้ไปเราจะได้หลับตาเจริญสมาธิภาวนากัน ให้ทุกท่านนั่งขัดสมาสโดยเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ของมือข้างขวา จรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ ทุก ๆ คนนะจ๊ะ ท่านที่มาใหม่ก็ให้ดูคนเก่าที่อยู่ข้างเคียง หลับตาของเราเบา ๆ หลับตาพอสบายคล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกนัยน์ตา หลับพอสบายนะจ๊ะ ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก เราจะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย โดยให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้ผ่อนคลายให้หมด ตั้งแต่กล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ บ่าไหล่ ลำตัว แขนทั้ง ๒ ขาทั้ง ๒ ถึงปลายนิ้วเท้า ทั้งเนื้อทั้งตัวให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายให้หมด ต้องผ่อนคลายนะจ๊ะ 

 


                แล้วก็ทำใจของเราให้เบิกบาน ให้แช่มชื่น ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ ให้ผ่องใส จะได้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับพระรัตนตรัย รองรับบุญใหญ่ที่จะเกิดขึ้น จากการบูชาข้าวพระกันในวันนี้นะจ๊ะ ทำใจให้เบิกบานให้แช่มชื่น สะอาด บริสุทธิ์ผ่องใส สิ่งอะไรที่เป็นเครื่องกังวลใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามให้ปล่อยวางไปชั่วคราว จะเป็นเรื่องธุรกิจการงาน การศึกษาเล่าเรียน เรื่องครอบครัว หรือเรื่องอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ให้ปลด ให้ปล่อย ให้วาง ใจว่างเปล่าชั่วขณะที่เราจะตั้งใจปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ให้ใจเราเหมาะสมที่จะเป็นภาชนะ ที่จะรองรับบุญใหญ่ ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระ 

 


                เดือนหนึ่งก็มีเพียงครั้งเดียว คือวันอาทิตย์ต้นเดือน ซึ่งเราก็ได้ยึดถือกันเป็นประเพณีต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี และการที่จะประกอบพิธีบูชาข้าวพระ ด้วยการนำเอาเครื่องไทยธรรมอันมีดอกไม้ ธูปเทียน อาหารหวานคาวจากบ้านกันมาคนละเล็กละน้อย มาประชุมพร้อมกันที่นี่ เพื่อที่จะประกอบพิธีบูชาข้าวพระ โดยการนำเอาเครื่องไทยธรรม ทั้งหมดเหล่านั้นมารวมกันและก็น้อมนำมาไว้ในกลางพระธรรมกาย ทำความละเอียด ทำความบริสุทธิ์กระทั่งถึงจุด ๆ หนึ่งที่เครื่องไทยธรรมนั้นมีความละเอียด เท่ากับพระธรรมกายในตัวของเรา เมื่อเราทำความละเอียดให้ยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการทำใจหยุดทำใจนิ่งกระทั่งถูกส่วน ความละเอียดก็เพิ่มพูนขึ้น ทั้งพระธรรมกายในตัว และเครื่องไทยธรรมละเอียด จนมีอายตนะความละเอียดเท่ากับอายตนนิพพาน 

 


                อายตนนิพพานนั้นก็จะดึงดูด ให้เราตกศูนย์วูบเข้าไปปรากฏในอายตนนิพพาน ในนั้นเต็มไปด้วยพระธรรมกายของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ท่านดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว ถอดขันธ์ทั้ง ๕ ออกหมด ตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมหยาบ กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียด กระทั่งกายธรรมโคตรภู โสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต เหลือกายธรรมอรหัต ดับขันธ์ไปแล้ว ถอดไปแล้วไปปรากฏอยู่ในอายตนนิพพาน นับพระองค์ไม่ถ้วน มากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งหลายเอามารวมกัน เพราะว่าในอายตนนิพพานนั้น มีมานานแล้ว 

 


                ธรรมธาตุนี้มีมานานแล้ว ยังไปไม่ถึงต้นทางหรือแหล่งกำเนิดว่า บังเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่ามีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว หลุดจากการบังคับครอบงำของพญามาร กิเลสอาสวะทั้งหลาย กะเทาะหลุดร่อนถอดขันธ์ทั้งหลาย เหลือแต่กายธรรมอรหัต หน้าตัก ๒๐ วาสูง ๒๐ วา ไปปรากฏอยู่ตรงนั้นในอายตนนิพพาน สงบนิ่งเข้านิโรธสมาบัติ สงบนิ่งเสวยสุข เสวยวิมุตติสุขเสวยเอกันตบรมสุข สุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลย เป็นความสุขอย่างยิ่ง ประสบความสำเร็จในชีวิตของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ กิเลสอาสวะต่าง ๆ ที่พญามารเค้าทำเอาไว้ บังคับบัญชาไม่ได้ ก็หลุดพ้นเข้าถึงความเป็นนิจจัง เป็นสุขขัง เป็นอัตตา มีมาต่อเนื่องกันยาวนานนับอายุธาตุอายุบารมีไม่ถ้วน 

 


                พระพุทธเจ้าพระ อรหันต์ทั้งหลายมีอยู่เต็มในอายตนนิพพาน เป็นผู้พ้นแล้วจากกิเลสอาสวะทั้งปวงเป็นผู้รู้แจ้งในสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นจากกิเลสแล้ว มีความเบิกบานเนืองนิจ เป็นอมตะเป็นนิจจังคงที่ เป็นตัวตนที่แท้จริงที่ไม่มีอะไร มาครอบงำได้ เป็นตัวของตัวเองล้วน ๆ  ปรารถนาจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เป็นอัตตาที่แท้จริง พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย มีความสุขไม่มีที่สิ้นสุด ในอายตนนิพพาน เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญบารมีรัศมี กำลังฤทธิ์ อำนาจสิทธิทั้งหลาย เต็มไปหมด เป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐ แหล่งกำเนิดของบุญบารมีทั้งหลาย ที่เราจะได้ไปตักตวงกันในวันนี้เนี่ย โดยการนำเครื่องไทยธรรมดังกล่าวแล้ว ไปถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มีพระธรรมกายปรากฏในอายตนนิพพาน เป็นการบูชาข้าวพระแบบเข้าถึง คือเข้าถึงพระพุทธเจ้า ถึงตัวจริงเข้าถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันตเจ้าทั้งหลาย ที่มีพระธรรมกายปรากฏอยู่

 


                การบูชาข้าวพระนี้มีมายาวนาน ต่อเนื่องกันมาเป็นพันปีทีเดียว แต่ว่าบูชากันแบบขอถึง เมื่อสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เสด็จทรงบิณฑบาต พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสได้ใส่บาตร หลังจากท่านได้ดับขันธปรินิพพานนานมาแล้ว มีความระลึกนึกถึงพระองค์ท่าน ก็สร้างพุทธปฏิมากรเป็นตัวแทน เป็นเครื่องระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า โดยพุทธปฏิมากรนั้นมีลักษณะคล้ายกับ พระธรรมกายในตัวของพระองค์ท่านคือ มีเกตุดอกบัวตูมเหมือนกับพระธรรมกายของพระองค์ท่าน ตั้งไว้บนโต๊ะหมู่บูชาด้วยความระลึกนึกถึงท่าน แม้ไม่ได้ใส่บาตร ในสมัยที่ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่ก็จะขอถึงท่านถวายภัตตาหารเป็นพุทธบูชา แบบขอถึงโดยการจัดสำรับ ใช้ภาชนะเล็ก ๆ มีอาหารอย่างละเล็กละน้อย พร้อมทั้งดอกไม้ธูปเทียน 

 


                กล่าวคำบูชาข้าวพระ ขอถึงหวังบุญที่จิตเป็นกุศลระลึกนึกถึงพระองค์ เป็นพุทธานุสสตินั้น หล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจให้เป็นกุศล ส่งเสริมความสุขความเจริญ ความสำเร็จในชีวิต ทั้งเป็นปุถุชนจนกระทั่งถึงเป็นพระอริยเจ้า เพราะการระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เจริญพุทธานุสสติ  อานิสงส์จะปิดประตูอบายภูมิ นรกเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไม่ไปประตูสวรรค์เปิดขึ้นเป็นบันไดขั้นแรก ที่จะก้าวไปสู่เทวโลก ได้สืบทอดกันอย่างนี้กันเรื่อยมายาวนาน ต่อมาเมื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ได้ค้นพบวิชชาธรรมกาย ค้นพบการเข้าถึงไตรสรณคมน์ถึงพระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ที่มีอยู่แล้วในตัวของมนุษย์ 

 


                แต่ความรู้ชนิดนี้เนี่ยได้เลือนหายไป หลังจากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าดับขันธปรินิพพานแล้วได้ ๕๐๐ ปี เหลือแต่คำว่าธรรมกายปรากฏอยู่ตามคัมภีร์ต่าง ๆ ท่านได้ค้นพบด้วยวิธีการทำใจหยุดนิ่ง ในแหล่งที่ตั้งของพระรัตนตรัย คือศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้ค้นคว้าศึกษาเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าไปสู่ภูมิอันละเอียด ถึงอายตนนิพพาน พบพระธรรมกายพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ปรากฏเต็มอยู่ในอายตนนิพพานนั้น มีพระธรรมกายเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับพระธรรมกายในตัวของมนุษย์ทั้งหลาย หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ จึงได้เปิดเผยความรู้ชนิดนี้ ความรู้ที่จะเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนหรือยิ่งกว่า อยู่ในกายมนุษย์นี้ต่อเนื่องกันมา กระทั่งบัดนี้ศิษยานุศิษย์นั้นก็สืบทอดกันมาเรื่อยเลย 

 


                จนกระทั่งได้นำวิธีการบูชาข้าวพระแบบขอถึง ได้ปรับวิธีให้ละเอียดจนกระทั่งเข้าถึงการบูชาข้าวพระเป็นพุทธบูชาในอายตนนิพพาน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานแม้ท่านจะไม่ได้เสวยอาหารแบบพระภิกษุสงฆ์ขบฉันก็ตาม แต่การถวายที่เป็นพุทธบูชาแบบการเข้าถึงนี้ก็มีอานิสงส์ใหญ่ เป็นบุญใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีประมาณ จะนับจะประมาณมิได้ กระแสธารแห่งบุญนี้หลั่งไหลต่อเนื่องจากทุก ๆ พระองค์มาจรดที่ศูนย์กลางกายของผู้ที่เป็นเจ้าของบุญ  เป็นเจ้าภาพผู้มีกุศลศรัทธา บังเกิดเป็นดวงบุญใสสว่างในกลางกายฐานที่ ๗ ของทุก ๆ คน บางคนก็ดวงบุญโต บางคนก็ดวงบุญเล็ก ขึ้นอยู่กับใจหยุดนิ่งและกำลังกุศลศรัทธาที่มีมากน้อยแค่ไหน 

 


                มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมาก ดวงบุญนั้นก็โตใหญ่ ถ้าหากเลื่อมใสปานกลางดวงบุญก็เล็กย่อหย่อนลงมาตามลำดับ ยิ่งเลื่อมใสมากใจก็จะยิ่งหยุดนิ่งมาก หยุดนิ่งจนกระทั่งถูกส่วนเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว เพราะฉะนั้นบุญนี้เมื่อบังเกิดขึ้นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็จะเป็นแหล่งกำเนิด หรือบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จ ในชีวิตตั้งแต่บัดนี้เรื่อยไปเลย กระทั่งหมดอายุขัยบังเกิดใหม่ด้วยกายทิพย์ เข้าเป็นสหายแห่งชาวสวรรค์ ของเทวดา มีความสุขอยู่ในสุคติภพ มีรูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ สัมผัสทิพย์ อารมณ์ที่เป็นทิพย์ และก็มีสมบัติอันเป็นทิพย์ อาหารที่เป็นทิพย์ สิ่งแวดล้อมที่เป็นทิพย์ทั้งหมด มีความสุข บันเทิงในสุคติโลกสวรรค์ 

 


                หมดกำลังบุญจากสุคติโลกสวรรค์ มาบังเกิดในโลกมนุษย์ ก็จะสมบูรณ์ไปด้วยสมบัติทั้ง ๓ ความอดอยากยากจนจะไม่พบเห็น จะพบแต่ความสมบูรณ์ ในสิ่งที่หว่านพืชอย่างไรก็ได้อย่างนั้น จะเป็นเสบียงติดตัวอย่างนี้ เป็นกำลังสนับสนุนอย่างนี้แหละ เรื่อยไปทุกภพทุกชาติ ทำให้เราได้สร้างบารมีอย่างสะดวก กระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม เพราะฉะนั้นบุญที่จะบังเกิดขึ้นจากการบูชาข้าวพระนี้ ไม่ใช่บุญเล็กบุญน้อย เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ที่ไม่มีประมาณ จะได้เฉพาะผู้มีบุญเท่านั้น เป็นอสาธารณะไม่ทั่วไปแก่ชนทั้งหลาย ผู้มีบุญที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว มีโอกาสมาได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับเรื่องธรรมกาย มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึง และได้ฟังได้ยินได้ฟัง ได้เข้าถึง เป็นผู้มีบุญอย่างนี้ 

 


                ดังนั้นก่อนที่เราจะได้ประกอบพิธีบูชาข้าวพระ ควรทำความรู้จักกับพระรัตนตรัยในตัวของเราให้ดี สำหรับท่านที่เคยได้ยินได้ฟังแล้ว ก็พยายามทำใจของเราให้หยุดให้นิ่ง ให้ได้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ส่วนท่านที่มาใหม่ก็ต้องทำความรู้จักว่า ที่พึ่งที่ระลึกอันแท้จริงของมนุษย์นั้นน่ะเป็นอะไร ที่พึ่งที่แท้จริงของมนุษย์เทวดาหรือสรรพสัตว์ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในภพ ๓ นี้ มีเพียง ๓ อย่างเท่านั้นคือพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะสังฆรัตนะ พุทธรัตนะนั้นเป็นพระแก้วใส ๆ  ธรรมกายใส ๆ นั่งขัดสมาสอยู่ในกลางกายของเราน่ะ เกตุดอกบัวตูมใสเป็นแก้วงามไม่มีที่ติ ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษ มีความสมบูรณ์ไปด้วยภูมิปัญญา เป็นผู้รู้แจ้งแทงตลอดด้วยญาณทัสสนะ เห็นแจ้งด้วยธรรมจักขุ เป็นผู้ตื่นแล้วมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง หลุดร่อนจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานมีความสุข นี่คือพุทธรัตนะ 

 


             ธรรมรัตนะก็สิงสถิตอยู่ในกลางพุทธรัตนะนั่นเอง เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรู้อันบริสุทธิ์ ความรู้ที่แท้จริง สังฆรัตนะก็อยู่ในกลางธรรมรัตนะคอยหล่อเลี้ยงทรงจำรักษาเอาไว้ซึ่งธรรมรัตนะ ๓ อย่างนี้ ถ้าว่ากันโดยวัตถุก็แยกกันคนละอย่างกันคือ พุทธรัตนะอย่างหนึ่ง ธรรมรัตนะอย่างหนึ่ง สังฆรัตนะอย่างหนึ่ง เรียกแตกต่างแต่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน พรากออกจากกันไม่ได้ นี่แหละคือที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดของเรา ที่พึ่งก็หมายความว่าชีวิตที่เวียนว่ายตายเกิดนี้เนี่ย โดยเฉพาะโลกใบนี้ที่มีธรรม ๘ ประการครอบครองอยู่ ครอบงำอยู่ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ นินทา มีสุขมีทุกข์ ๘ อย่างนี้ทำให้ใจของเรานี่กระเพื่อม ใจของสรรพสัตว์กระเพื่อม เดี๋ยวยินดีเดี๋ยวยินร้ายน่ะ มีทุกข์ทรมานกันอยู่ตลอดเวลา

 


                 รัตนะทั้ง ๓ นี้จะเป็นที่พึ่งได้ เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เมื่อเข้าถึงแล้ว ความทุกข์ทั้งหลายที่มีอยู่ก็ดับไป เหมือนคบเพลิงจุ่มลงไปในน้ำ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นที่ใจจะดับไป แล้วก็ขยายมาที่กายและสิ่งแวดล้อม เพราะฉะนั้นทุกข์จะดับไป เพราะเข้าถึงที่พึ่งภายใน เราจะมีความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย รู้จักคำว่าเพียงพอ ไม่มีความรู้สึกว่าอดอยากยากจน มีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไม่มีความพร่องเหมือนตุ่มก้นรั่วเลย มีใจเยือกเย็นเป็นนิจ มีความสว่างบริสุทธิ์ผ่องใส มองโลกด้วยสายตาของผู้ที่เจนโลก ไม่มีความยินดียินร้ายอะไร ใจเป็นปกติ ตั้งมั่นมีความสุข ปีติเบิกบานอยู่ตลอดเวลา ทันทีที่ได้เข้าถึง เมื่อเข้าถึงแล้วจะเป็นที่พึ่งอย่างนี้เรื่อยไปเลย กระทั่งถึงจุดสุดท้ายของชีวิต ชีวิตที่อยู่บนเตียงคนป่วย ซึ่งในช่วงนั้นไม่มีใครช่วยเราได้ นอกจากไปยืนดูยืนมองดูเท่านั้น ช่วยอะไรเราไม่ได้ 

 


                แต่ในยามที่ทุกขเวทนากล้านั้น พระรัตนตรัยที่พึ่งที่ระลึก ๓ อย่างนี้แหละ จะทำให้ใจเราอบอุ่นปลอดภัย มีความสุขมีปิติอยู่ตลอดเวลา แม้กายหยาบจะทุกข์ทรมานเพียงใด ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แต่ใจนั้นหนักนิ่งแน่นอยู่ในรัตนะทั้ง ๓ มองเห็นที่ที่จะไปอย่างสว่างไสว เพราะฉะนั้นจะไม่หวาดหวั่นในมรณภัยนั้น มีปีติสุขเบิกบานตลอดเวลา ละโลกก็ไปแบบผู้ที่ชนะโลก ไปสู่ภพภูมิอันวิเศษ อันประเสริฐอันเลิศกว่ามนุษย์ คนเราถ้ารู้ว่าละโลกไปอยู่ที่ไหนแล้วเนี่ย ความสะดุ้งหวาดเสียวมันหมดไป ถ้าเห็นว่าไปอยู่ที่สุขที่ประเสริฐด้วยตัวของตัวเองไม่ต้องมีใครมาบอก เห็นได้ด้วยตัวเอง สัมผัสได้ด้วยตัวเอง เข้าถึงด้วยตัวของตัวเอง หายสงสัย ความสะดุ้งหวาดเสียวมันก็หมดไป 

 


                เพราะฉะนั้นสิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งที่ระลึก จะเป็นใครก็ตาม คนสัตว์สิ่งของ ต้นไม้ภูเขาเลากา ไม่ใช่ที่พึ่ง ผู้ไม่รู้เท่านั้นน่ะ จึงพึ่งสิ่งเหล่านั้น เหมือนที่หนังสือพิมพ์ลงพึ่งต้นไผ่ ไผ่ที่มีปรากฏการณ์ออกมาเป็นธรรมชาติของไผ่ คนไม่รู้ก็ดูเป็นโน่นเป็นนี่ เป็นอะไรกันไป ถือเป็นสรณะ นั่นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม ไผ่เหล่านั้นเค้าเอามาตัดทำเป็นกระบอกข้าวหลามก็ได้ เป็นแพก็ได้ จักเป็นตอกก็ได้ สานกระบุงตะกร้าชะลอมได้ทั้งนั้น สิ่งนั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันเกษม แต่ผู้ไม่รู้ก็ยึดถือเป็นที่พึ่ง แสดงอาการออกโดยการยอมรับว่าเป็นสรณะ มีดอกไม้ธูปเทียนเคารพกราบไหว้บูชากัน พึ่งไปอย่างนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์ และก็พึ่งไม่ได้ รัตนะทั้ง ๓ ที่อยู่ในตัวของเรานี่แหละ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด 

 


                ใครได้เข้าถึงแล้วจะมีความสุข มีปิติมีความเบิกบาน จะนั่งนอนยืนเดินอยู่ที่ไหนก็มีความสุข เห็นพุทธรัตนะใสแจ่มอยู่ในกลางทีเดียว กายท่านใสบริสุทธิ์ ใสแจ่ม แจ่มกระจ่าง ใสยิ่งกว่าเพชร งามไม่มีที่ติ เป็นความใสที่อัศจรรย์ที่มาพร้อมกับความปีติสุข พร้อมกับความรู้ความบริสุทธิ์ หน้าตักตั้งแต่เล็กกว่าตัวของเรา เท่าตัวเรา ใหญ่กว่าตัวเรากระทั่งใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่อยไปเลย ขยายไปเรื่อย ๆ ใสแจ่มสว่างยิ่งถ้าเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ กับพุทธรัตนะพระองค์นั้นน่ะ ที่อยู่ในกลางตัวได้ ยิ่งมีปีติสุข สุขที่เงินซื้อไม่ได้ หรือสมบัติใด ๆ มาเทียบไม่ได้ มีความอิ่มเอิบเบิกบานทีเดียว 

 


                อยากจะทราบก็ต้องไปถามคนที่เค้าเข้าถึง เค้ามีความสุขมีปีติมีความเบิกบานเห็นพุทธรัตนะ เห็นธรรมรัตนะเป็นดวงกลมใสบริสุทธิ์อยู่กลางพุทธรัตนะ ใสแจ่มกลมดิกทีเดียว คล้ายกับดวงแก้วกายสิทธิ์ กลมใสสว่างบางเบา ความรู้ทั้งหลายอยู่ในนั้นแหละ พอเอาใจจรดหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า วูบเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมรัตนะ ความรู้ทั้งหลายก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ความสุขก็บังเกิดขึ้น มองเข้าไปในนั้นเห็นชัดทีเดียว สังฆรัตนะก็อยู่ในกลางธรรมรัตนะ รักษาหล่อเลี้ยงธรรมรัตนะเอาไว้เป็นธรรมกายละเอียด กายละเอียดของธรรมกายนะอยู่ตรงกลาง ใส สว่างหนักยิ่งขึ้นไปเลย สามอย่างซ้อนกันอยู่สนิท พรากออกจากกันไม่ได้ 

 


                สงบนิ่ง นั่งเห็นก็มีความสุข ยืนเห็นชัดก็มีความสุข นอนชัดก็หลับเป็นสุข เดินเห็นชัดก็เดินเป็นสุข ประกอบธุรกิจการงานอันใดก็แล้วแต่เห็นชัด ๓ อย่างนี้เป็นสุขตลอดเวลา ชัดใสแจ่มทีเดียว จะรู้จักคำว่าที่พึ่งที่ระลึกได้อย่างดี ที่ระลึกก็คือพอถึงตรงนี้แล้วไม่คิดเรื่องอะไรเลย ระลึกนึกถึงท่านตลอดเพราะเห็นว่าระลึกสิ่งอื่นไม่มีประโยชน์ และใจไม่แล่นไปในสิ่งอื่นด้วย ระลึกนึกถึงคิดถึงอยู่ตลอดเวลา ผูกสมัครรักใคร่ท่าน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดเวลาไปเลย ๓  อย่างนี้นะจ๊ะ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันประเสริฐของพวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้นก่อนที่จะบูชาข้าวพระต้องทำความรู้จัก ๓ อย่างนี้ซะก่อน

 


                สำหรับท่านที่มาใหม่ แล้วก็เอาใจของเรานี่นะ หยุดให้นิ่งในตำแหน่งที่ที่ท่านสิงสถิตอยู่ ท่านเป็นกายละเอียดมีมาอยู่ดั้งเดิม ไม่ใช่เราไปปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา แต่เป็นของละเอียด จะเข้าถึงได้จะต้องทำความละเอียดเท่ากับรัตนะทั้ง ๓ นั้น ด้วยวิธีการทำใจให้หยุดให้นิ่ง หยุดนิ่งเป็นสิ่งเดียวเท่านั้น วิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ใจของเราละเอียด ละเอียดจนกระทั่งเท่ากับความละเอียดของท่านที่อยู่ภายในตัวของเรา ต้องหยุดนิ่ง หยุดนิ่งเป็นอย่างไร ใจที่แวบไปแวบมาคิดไปในเรื่องราวต่าง ๆ นำมารวมหยุดเป็นจุดเดียวกัน หยุดให้นิ่ง พอนิ่งหยุดนิ่งถูกส่วนเข้า ต้องถูกส่วนนะ คือไม่หนักเกินไป ไม่เบาเกินไป มันนิ่ง พอถูกส่วน ไม่คิดเรื่องอะไรเลยน่ะ ใจก็จะตกศูนย์วูบเข้าไปน่ะ เข้าถึงดวงธรรม 

 


                เบื้องต้นซึ่งเป็นต้นทางที่จะเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ดวงใสบริสุทธิ์ใสแจ่มกระจ่างทีเดียว อย่างเล็กขนาดดวงดาวในอากาศ อย่างกลางก็ขนาดพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ อย่างใหญ่ขนาดพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวันหรือยิ่งกว่านั้นน่ะ เกิดขึ้นที่กลางกาย ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ เกิดขึ้นตรงนั้นน่ะ สมมติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน แล้วนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้ง ๒ ที่ขึงผ่านจากสะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ตรงนี้แหละเรียกว่าฐานที่ ๗ ถ้าใจหยุดนิ่งนิ่งตรงนี้นะ พอถูกส่วนเดี๋ยวเข้าถึงดวงธรรมเลย พอหยุดถูกส่วนใจจะหลุดร่อนจากกายมนุษย์หยาบ ไม่มีความรู้สึกที่กายเนื้อเนี่ย ใจจะนิ่ง นิ่งแน่น หลุดเข้าไปสู่ภายในเห็นดวงธรรม เข้าถึงดวงธรรมใสบริสุทธิ์

 


                 เมื่อใจหยุดต่อไปอีกคือหยุดไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย พอถูกส่วนเดี๋ยวก็เห็นดวงธรรมดวงถัด ๆ ไปน่ะ มี ๖ ดวง ผุดซ้อนกันเกิดขึ้นมา ผ่านมาในกลางนั้นน่ะ ผุดไปทีละดวง ๆ เรื่อยไปเลย พอสุดดวงที่ ๖ ก็จะเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด หน้าตาคล้ายกับตัวของเรานี่แหละ แต่สวยงามกว่า ดูอ่อนละมุนละไมทีเดียว กายมนุษย์ละเอียดเห็นชัดเจนแจ่มใส น่าอัศจรรย์จริง เห็นกายมนุษย์ละเอียดอยู่ภายในเห็นตัวเราเอง รู้จักตัวเราเอง ลักษณะเป็นอย่างนี้เนี่ย เวลาหลับก็ออกไปทำหน้าที่ฝัน ตื่นแล้วก็มาอยู่ตรงนี้ นี่เห็นทั้งตื่น ๆ ไม่ได้ฝันเลย เห็นชัดใส ใสแจ่มคล้ายกายมนุษย์หยาบของเราน่ะ เห็นแล้วเราจะปลื้มปีติที่เราเข้าไปถึงกายมนุษย์ละเอียด 

 


                รู้จักกายมนุษย์ละเอียดและก็รู้ไปถึงว่า กายมนุษย์หยาบแต่เหมือนเสื้อผ้าที่อาศัยชั่วคราว เหมือนที่อยู่ที่อาศัยของกายมนุษย์ละเอียดชั่วคราวนะ ใจก็จะค่อย ๆ ร่อน ไอ้ที่เคยติดเรื่องอะไรของหยาบ กายมนุษย์หยาบก็ร่อนไปติดอยู่ที่กายมนุษย์ละเอียด มีความสุขไปอีกชั้นหนึ่งที่ปราณีตกว่าของกายมนุษย์หยาบเมื่อใจนิ่งแน่นหนักขึ้นไป หยุดนิ่งถูกส่วนในกลางกายมนุษย์ละเอียด เดี๋ยวก็เข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวงผุดมาทีละดวง กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ กลมดิกเลย ใสบริสุทธิ์โปร่งบางเบา ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงกายทิพย์ กายทิพย์เป็นกายที่สวยงามแตกต่างจากกายมนุษย์ละเอียดโดยสิ้นเชิงทีเดียว ไม่มีข้อ ไม่มีปุ่ม ไม่มีปม ไม่เห็นกระดูก กลมเหมือนเอาลูกโป่งเป่าอย่างนั้นน่ะ กลมสวย นั่งขัดสมาสทำสมาธิสงบนิ่ง มีเครื่องประดับประดาติดตัวของกายทิพย์ กายมนุษย์ละเอียดไม่มี กายมนุษย์หยาบถึงมีก็พะรุงพะรัง แต่กายทิพย์นี้ไม่พะรุงพะรังเลย ดูแล้วแนบเนียนละมุนละไมติดอยู่ที่กายทิพย์ ใจก็มีความสุขเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นสุขที่ละเอียดอ่อนที่ปราณีตทีเดียว 

 


                เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายทิพย์ได้นะ ด้วยการหยุดนิ่งก็จะเกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นไปอีกว่า กายมนุษย์ละเอียดเมื่อสักครู่นี้เนี่ย ดูเหมือนจะเป็นตัวตนของเรา แต่ปรากฏพอเข้าไปถึงกายทิพย์ กายมนุษย์ละเอียดเหมือนเสื้อผ้าอีกแล้ว นี่ถอดกันไปเป็นชั้น ๆ อย่างนี้นะจ๊ะ พอใจเราหยุดต่อไปในกลางกายทิพย์ให้แนบแน่นไปเรื่อย ให้นิ่ง พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรม ๖ ดวงเช่นเดียวกัน ผุดขึ้นมาทีละดวง โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น ถูกส่วนก็เข้าถึงกายรูปพรหม อันนี้พูดลัดไปเลยนะจ๊ะ ถึงกายรูปพรหม กายรูปพรหมคล้ายกายทิพย์แต่สวยกว่า เครื่องประดับก็ละเอียดกว่าปราณีตกว่า ซับซ้อนกว่า โปร่งบางเบากว่า รัศมีสว่างกว่า กายโตใหญ่กว่าหนักยิ่งขึ้น ถ้านิ่งแน่นถูกส่วนจะชัดใสแจ่มยิ่งกว่าลืมตาเห็น ความเข้าใจบังเกิดขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว เมื่อสักครู่เข้าใจว่ากายทิพย์นั้นเป็นตัวตนที่แท้จริง พอเข้าไปถึงกายรูปพรหมเข้าใจอีกชั้นหนึ่งแล้ว กายทิพย์เหมือนเสื้อผ้า กายพรหมอาศัยอยู่ในกลางละเอียดสงบนิ่ง ปราณีตเป็นชั้นเข้าไป ใจถูกกลั่นให้ละเอียดเป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไปเรื่อย ถึงกายรูปพรหม  

 


                เมื่อใจเราแนบนิ่งสนิทกับกายรูปพรหมถูกส่วนเข้า รู้ทั่วถึงในกายรูปพรหมนั้น พอถูกส่วนก็เข้าถึงดวงธรรมอีก ๖ ดวง ซ้อนอยู่ในกลางกายรูปพรหม ดวงธรรมนั้นก็กลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์เช่นเดียวกัน โตใหญ่หนักยิ่งขึ้น ชัดใสแจ่ม พอถูกส่วนก็เข้าถึงกายอรูปพรหม เป็นกายที่สุดของภพ ๓ สวยงามหนักยิ่งขึ้นงามอย่างไรที่ว่างามหนักยิ่งขึ้น ถ้าเอามาเทียบกันแล้วละก็ ระหว่างกายพรหมกับอรูปพรหม ความงามนั้นมันจะห่างกัน เหมือนเพชรกับควอสอย่างนั้นน่ะ มันห่างกันทีเดียว อันนี้จะสวยงามหนักยิ่งขึ้นไปเลย ชัดใสแจ่ม ความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น เมื่อสักครู่เข้าใจว่ารูปพรหมนั้นเป็นตัวตนที่แท้จริง พอเข้าถึงกายอรูปพรหม กายรูปพรหมนั้นก็เหมือนเสื้อผ้า นี่มันจะหลุดกันไปอย่างนี้นะจ๊ะ เป็นชั้น ๆ ๆ เข้าไปกระทั่งถึงกายธรรม กายธรรมน่ะร่อนจากกายอรูปพรหมก็เข้าถึงกายธรรมในทำนองเดียวกันน่ะ

 


                กายธรรมนี่แหละคือพุทธรัตนะ มีเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ตั้งแต่พุทธรัตนะยังอยู่ในกรอบวิชชาเค้าอยู่ ในสังโยชน์เบื้องต่ำ เรื่อยไปเลยจนกระทั่งกายธรรมที่หลุดพ้นจากสังโยชน์เครื่องผูกเค้า ที่ละเอียดเข้าไปเนี่ย เค้าดักเราเป็นชั้น ๆ ทีเดียว เอากิเลสหยาบดักหยาบ เอากิเลสปานกลางดักปานกลาง เอากิเลสละเอียดดักละเอียด ๆ ละเอียดไปอย่างนี้แหละ กว่าจะร่อนหลุดได้โน่นต้องหยุดเข้าไปถึงกายธรรมอรหัต หน้าตัก ๒๐ วา สูง ๒๐ วา นั่นแหละร่อนจริงเลย เนื้อกับเปลือกไม่ติดกันเลย ใจเนี่ยใสแจ่มไม่ติดอะไรเลย เป็นพระที่สมบูรณ์ทีเดียว เป็นพระที่เป็นพระจริง ๆ สมบูรณ์จริง ๆ สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ สมบูรณ์หมด วิชชา ๓ ก็สมบูรณ์ จรณะ ๑๕ ก็สมบูรณ์ เข้าถึงความเต็มเปี่ยมของชีวิตต้องเข้าถึงกายธรรมอรหัตอย่างนี้แหละ 

 


                ในอายตนนิพพานก็จะมีกายธรรม ที่โตใหญ่อย่างน้อย ๒๐ วา สูง ๒๐ วาและที่เข้านิพพานไปเก่า ๆ แก่ ๆ โน้นก็โตใหญ่หนักยิ่งขึ้นไปเรื่อยไปเลยเนี่ย จนกระทั่งถึงผู้ปกครองนิพพานไปโน่นเลย ละเอียดเข้าไปเป็นชั้น ๆ การเข้าถึงอย่างนี้เข้าถึงได้ด้วย วิธีการหยุดกับนิ่งอย่างเดียว หยุดกับนิ่งนี้เป็นวิธีที่ประเสริฐที่สุด ถ้าใครเกิดกันมาชาตินี้ หยุดนิ่งไม่ได้ หรือไม่ยอมหยุดนิ่ง หรือไม่รู้จักเรื่องการหยุดนิ่ง เกิดมาก็เสียชาติเกิด เสียเวลาเกิด แต่ถ้าหยุดนิ่งได้ รู้จักรัตนะทั้ง ๓ ที่อยู่ภายในตัวของตัวเอง ติดตามตัวเราไปตลอดรู้จักท่าน เข้าถึงท่านได้ เกิดมาชาตินี้ จึงสมกับที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คุ้มค่ากับการที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเป็นชาวพุทธ ไม่รู้จักรัตนะทั้ง ๓ ก็ยังไม่ใช่ชาวพุทธที่สมบูรณ์ ยังพุทธปนอะไรก็ไม่รู้ มนต์ปนธรรมกันอยู่อย่างนั้นแหละ พุทธปนอะไรก็ไม่รู้ คือพุทธในนาม 

 


                แต่ยังไม่รู้จักว่ารัตนะทั้ง ๓ ที่เราเปล่งวาจาขอถึงรัตนะทั้ง ๓ จริง ๆ น่ะ มันคืออะไรเนี่ย ได้แต่พูดกันตาม ๆ มา รู้แต่เพียงเลาๆ แค่เปลือกเท่านั้น แต่แก่นของรัตนะทั้ง ๓ นั้นไม่รู้จัก เพราะฉะนั้นก่อนที่เราจะบูชาข้าวพระ ต้องรู้จักรัตนะทั้ง ๓ อย่างนี้นะจ๊ะ เข้าถึงแล้วปิดประตูอบายภูมิ มีความสุขเป็นที่ไป เราจะรู้ได้ยังว่าปิดประตูอบายภูมิ เข้าไปถึงแล้วก็เห็นแล้วน่ะ รู้ด้วยตัวของตัวเองจริง ๆ ว่าปิดจริง ๆ เลย ปิดประตูอบายไม่ต้องไปน่ะ ไปสุคติภูมิเลือกเอาเลยจะอยู่ชั้นไหนก็แล้วแต่เรา ถ้าเข้าถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะได้ มี ๓ อย่างนี้นะจ๊ะ ไม่ใช่มี ๔ มี ๕ มี ๖ หรือยิ่งกว่านั้น รัตนะที่พึ่งที่ระลึกมีแค่เพียง ๓ อย่าง สรณะมี ๓ อย่างเท่านั้นนะ อย่างน้อยวันนี้ท่านที่มาใหม่จำไว้แค่นี้แหละ ที่ได้ยินได้ฟังกันมาบ่อย ๆ แต่ที่ยังเข้าไม่ถึงน่ะยังไม่รู้จักหรอกนะ วันนี้ต้องเข้าให้ถึง เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก่อนที่จะบูชาข้าวพระ ทำใจให้เข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ กันก่อนนะจ๊ะ ทุก ๆ คน เอาใจหยุดให้นิ่งอย่างสบาย ๆ

 


                วิธีเข้าถึงรัตนะนี้ต้องใจสบาย ทำอย่างลำบาก ๆ แบบปวดหัวน่ะ ทำล้านปีก็เข้าไม่ถึง ต้องทำอย่างสบายคล้ายเป็นงานอดิเรกแต่ว่าทำจริง คือทำสบาย ๆ เพลิน ๆ ให้ใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางกาย ให้หยุดนิ่ง ถ้าใจไม่หยุดก็ให้ภาวนาสัมมาอะระหังเรื่อยไป สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ให้เสียงดังออกมาจากในกลางท้องเลยนะจ๊ะ ถ้าไม่รู้จักที่หมายว่าฐานที่ ๗ อยู่ที่ไหน ก็ให้กำหนดบริกรรมนิมิต กำหนดเครื่องหมายว่าฐานที่ตั้งของใจอยู่ตรงนี้ ในกลางท้องน่ะ เหนือสะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ประดุจเพชรลูก นึกถึงเพชรลูกก็แล้วกัน ประดุจเพชรลูก ใครไม่เคยเห็นเพชรก็นึกเอาของใส ๆ น้ำใส ๆ กลิ้งบนใบบัว น้ำค้างปลายยอดหญ้าอย่างนั้นก็ได้ หรือจะนึกถึงข้ามขั้นไปเลยก็ได้

 


                นึกถึงองค์พระที่เราเคารพกราบไหว้บูชา จะทำด้วยอะไรก็แล้วแต่อิฐ หิน ปูน ทราย โลหะ แก้ว รัตนะต่าง ๆ เอาที่ชอบนะจ๊ะ ชอบองค์ไหนก็เอาองค์นั้น ให้เป็นปางสมาธินะ ท่านขัดสมาธิขัดสมาสทำสมาธิอยู่ นิ่ง เพื่อให้เป็นที่หยุดของใจ ที่ยึดที่เกาะที่หมายว่าฐานที่ ๗ อยู่ตรงนี้ นึกนิ่ง ชอบอย่างไหนก็เอาอย่างนั้นนะ แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ ๆ อย่างนี้เรื่อยไปเลย ถ้าเข้าถึงรัตนะทั้ง ๓ ได้ บุญบูชาข้าวพระนี้จะได้นับไม่ถ้วนทีเดียว มากกว่าคนที่เข้าไม่ถึง หรือเข้าถึงอย่างลัว ๆ ลาง ๆ จะได้มากกว่าคนยังเข้าไม่ถึง จะเป็นชั้น ๆ เข้าไปอย่างนี้นะ ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะ สัมมาอะระหังเรื่อยไปเลย อย่างสบาย ๆ ให้ใจหยุดนิ่ง ใจชอบดวงแก้วก็นึกดวงแก้วเป็นบริกรรมนิมิต ใจชอบพระแก้วใส ๆ ก็นึกพระแก้วใส ๆ เป็นบริกรรมนิมิต ทำกันไปอย่างนี้ ต่างคนต่างทำกันไป จนกว่าจะถึงเวลาอันควร ตอนนี้ทำเงียบ ๆ ไปนะให้นิ่ง 

 

 

 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.032047915458679 Mins