สำรวจทางเดินของจิต 

วันที่ 14 มิย. พ.ศ.2567

140667b01.jpg
สำรวจทางเดินของจิต 

พระธรรมเทศนาเพื่อการปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย
โดย... พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 

                ต่อจากนี้ตั้งใจให้แน่แน่วมุ่งตรงต่อหนทางของพระนิพพานกันทุก ๆ คนนะจ๊ะ ให้นั่งขัดสมาธิเอาขาขวาทับขาซ้าย ให้มือขวาทับมือซ้าย นิ้วชี้ของมือข้างขวาจรดนิ้วหัวแม่มือข้างซ้าย วางไว้บนหน้าตักพอสบาย ๆ หลับตาของเราเบา ๆ หลับพอสบาย คล้ายกับเรานอนหลับ อย่าไปบีบหัวตาอย่ากดลูกในตา หลับตาซักค่อนลูกคือปิดไม่ถึงกับสนิท เหมือนปรือตายอย่างนั้นนะจ๊ะ คือหลับตาซักค่อนลูกแค่ปิดเบา ๆ สัมผัสเบา ๆ เปลือกตาแตะเหมือนไม่ได้แตะอย่างนั้นน่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันหลับแค่ค่อนลูก กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตาจะได้สบาย อย่าไปบีบเปลือกตาแบบคนทำตาหยีอย่างนั้นไม่เอานะจ๊ะ หลับตาตอนนี้สำคัญแม้ผู้ปฏิบัติมานานแล้วก็ตามถ้าหากว่าทำผิดวิธีมันก็ไม่ได้ผลในการปฏิบัติ ตายหยีจะเกิดขึ้น เมื่อเรามีความตั้งใจมากเกินไป มันอยากจะให้ใจมันหยุดมันนิ่งมันสงบมากเกินไป เลยไม่พอดีเมื่อไม่พอดีก็เลยไม่ค่อยได้ผลดีเท่าไหร่ 

 


                ดังนั้นปิดเปลือกตานี่สำคัญนะ หลับพอสบาย ๆ อย่าไปบีบหัวตา อย่ากดลูกในตา ขยับเนื้อขยับตัวของเราให้ดี กะคะเนให้เลือดลมในตัวของเราเดินได้สะดวก จะได้ไม่ปวดไม่เมื่อย ขยับตัวให้ดีนะ แล้วก็ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน  บริเวณเปลือกตาหน้าผาก ศรีษะ ลำคอ ผ่อนคลายให้หมด กล้ามเนื้อบริเวณบ่า ไหล่ทั้งสอง แขนทั้งสองถึงปลายนิ้วมือก็ให้ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อบริเวณลำตัว ไปขาทั้งสองถึงปลายนิ้วเท้าให้ผ่อนคลายให้หมด ให้ทำความรู้สึกเหมือนเรามานั่งผ่อนคลาย ทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่มานั่งทำสมาธิเหมือนมานั่งพักผ่อนกาย

 


                ร่างกายเราก็ใช้มานาน โดยไม่มีเวลาพักเลย หรือจิตใจที่ใช้ในการนึกคิดมายาวนานบ่อย ๆ ทำให้เกิดความรู้สึกตึงเครียด ก็ให้ผ่อนคลาย ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ใจที่เคยนึกคิดในเรื่องราวต่าง ๆ วันนี้ผ่อนคลายพักผ่อนจิตใจ ด้วยการหยุดนึกคิดในสิ่งที่เรานึกคิดในชีวิตประจำวัน เช่นการศึกษาเล่าเรียนเรื่องธุรกิจการงาน การประกอบสัมมาอาชีวะ เรื่องครอบครัวหรือเรื่องอะไรต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากนี้ เรื่องที่ผ่านมาแล้วในอดีตก็ดี ยังมาไม่ถึงในอนาคตก็ดี ให้ผ่อนคลายพักใจของเรา อยู่ในสภาวะที่ปลอดความคิด ไม่นึกไม่คิดอะไรเลย ทำใจให้มันว่าง ๆ ว่างเปล่าเหมือนภาชนะเปล่า ๆ อย่างนั้นน่ะ ทำใจให้เกลี้ยงไม่ให้โลภ ไม่ให้โกรธ ไม่ให้หลง ให้บริสุทธิ์ผ่องใส คล้ายกับเราอยู่คนเดียวในโลกนะ 

 


                ทำความรู้สึกเหมือนเราอยู่คนเดียวในโลก ไม่เคยเจอคน เจอสัตว์เจอสิ่งของ เจอเรื่องราวต่าง ๆ ไม่เคยเจอมาก่อนเลยเนี่ยทำใจอย่างนั้น แล้วก็ลืมสิ่งแวดล้อมในขณะนี้เนี่ย ว่ารอบข้างของเราเป็นอย่างไร เราก็ลืมไว้ก่อนชั่วคราวไม่สนใจ จะทำใจให้ปลอดโปร่งว่างเปล่าจากความรู้สึกนึกคิดทุกชนิด พร้อมกับผ่อนคลายระบบประสาทกล้ามเนื้อในตัวของเราทุกส่วนนิ่ง ๆ อย่างนี้เนี่ยสัก ๑ หรือ  ๒ นาทีลองดูนะจ๊ะ ให้นิ่ง ๆ อย่างนี้สัก ๑ หรือ  ๒ นาที เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัวเตรียมใจศึกษาวิชชาธรรมกายในเวลาธรรมกาย ไปพร้อม ๆ กัน เพราะวิชชาธรรมกายนี้เป็นวิชชาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

 


                หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญค้นพบขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีจริง และเป็นสิ่งที่ดีจริง มีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะมีเชื้อชาติศาสนาและเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวของทุก ๆ คนเป็นสิ่งที่ดีจริงและมีความสำคัญอย่างมากทีเดียว เรื่องอื่นยังเป็นเรื่องที่รองลงมา เพราะฉะนั้นเรื่องวิชชาธรรมกายเป็นเรื่องที่สำคัญ ถ้าหากเราไม่ได้ศึกษาไม่ได้เรียนรู้ ชีวิตต่อจากนี้ไปก็ไม่ปลอดภัย ภัยในอบายภูมิภัยในสังสารวัฏซึ่งเป็นภัยที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ  

 


                แต่ผู้รู้ผู้มีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ ผู้บริสุทธิ์ปราศจากศัพกิเลสทั้งหลายคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งปวง ท่านใดไปรู้ไปเห็นชีวิตหลังจากตายแล้ว เป็นชีวิตที่ยาวนานทีเดียว ยาวนานกว่าชีวิตที่มีกายมนุษย์หยาบอยู่ ถ้าหากว่าดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง มีกายวาจาใจใสสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสในขณะที่เป็นกายมนุษย์ละโลกแล้ว ก็จะต้องไปเสวยผลแห่งความดี ความบริสุทธิ์นั้นตามภพภูมิต่าง ๆ อย่างยาวนานทีเดียว ยาวนานจนเราไม่เชื่อว่ามันจะยาวนานขนาดนั้น ยาวนานเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านปี เป็นกัปปีเป็นมหากัป

 


                ถ้าดำเนินชีวิตไม่ถูกต้องจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ชีวิตหลังจากตายแล้วก็จะไปเสวยทุกข์ ในภพภูมิอันเป็นทุกข์คือ ภูมิของสัตว์นรก เปรต อสุรกายและสัตว์เดรัจฉาน นอกจากนั้นภายในสังสารวัฏ สังสารวัฏถ้าหากว่ายังมีเชื้อแห่งการเกิดอยู่ เหมือนเมล็ดผลไม้ที่ยังมีเชื้อแห่งการเกิด ไปปลูกไปฝังยังไงมันก็จะมี มีราก มีต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก ผลเจริญเติบโตขึ้นไปอีก แต่เชื้อของการเกิดยังไม่สิ้นสุด ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก ถ้าสิ่งที่ตัวทำถูกต้องบริสุทธิ์บริบูรณ์ การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏก็เป็นไปในทางที่ดี ให้ความสุขและความสำเร็จในชีวิตอันยาวนาน 

 


                ถ้าหากดำเนินชีวิตผิดพลาด ชีวิตในสังสารวัฏก็จะมีแต่ความทุกข์ทรมาน อันยาวนานทีเดียว เพราะฉะนั้นภายในอบายภูมิภายในสังสารวัฏ จึงเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว ที่ผู้รู้ผู้เห็นผู้บริสุทธิ์เห็นด้วยธรรมจักขุ รู้ได้ด้วยญาณทัสสนะของพระธรรมกาย ที่ท่านเข้าถึงนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกายนั้น เป็นสิ่งที่เราทั้งหลายจะต้องให้ความเอาใจใส่ เมื่อท่านผู้รู้ผู้เห็นนั้นน่ะไปรู้เห็นอย่างนี้มา แม้ว่าเราจะยังไม่มีธรรมจักขุ ญาณทัสสนะเหมือนท่านก็ตาม เมื่อผู้บริสุทธิ์ได้บอกได้  ชี้หนทางอย่างนั้นน่ะ เราก็ควรมีความมั่นใจ มีศรัทธามีความเชื่อมั่นในผู้รู้ผู้เห็น ผู้บริสุทธิ์นั้น 

 


                เพราะฉะนั้นชีวิตไม่ใช่สิ้นสุดที่เชิงตะกอนอย่างเดียว ตายแล้วศูนย์อะไรอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้อง ศึกษาวิชชาธรรมกายให้ได้รู้แจ้งเห็นจริงเข้าถึง ชีวิตจึงจะปลอดภัยนะจ๊ะ คำว่าธรรมกายเป็นเนมิตตกนาม บังเกิดขึ้นจากกายที่ประกอบไปด้วยธรรมล้วน ๆ บริสุทธิ์ มีลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ คล้าย ๆ กับลักษณะของพุทธปฏิมากรเหมือนพระพุทธรูปอย่างนี้แหละ แต่ว่างามกว่านี้ งามไม่มีที่ติ เกตุดอกบัวตูมคือบนพระเศียรท่านจะมีดอกบัวตูม ๆ คล้ายดอกบัวสัตตบงกช ที่เอาไปเปรียบกับพุทธปฏิมากร เพราะว่าพุทธรูปมักจะมีเกตุเป็นรูปดอกบัว หรือเป็นรูปเปลวเพลิง 

 


                แต่พระธรรมกายท่านเป็นรูปลักษณะเกตุดอกบัวและงามไม่มีที่ติ ไม่เหมือนพระพุทธรูปที่เขาทำกัน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่จินตนาการตามลักษณะมหาบุรุษที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่ได้ถอดแบบมาจากการได้เข้าถึงด้วยตัวเอง แต่ก็พอเทียบเคียงได้ว่าพระธรรมกายนั้นน่ะ มีลักษณะที่สวยงามเกตุดอกบัวตูม ใสบริสุทธิ์เป็นแก้วจึงเรียกว่าพุทธรัตนน่ะใสบริสุทธิ์ อยู่ในกลางกายของทุก ๆ คน อยู่ในกลางกายของมนุษย์ทุก ๆ คน ไม่ว่าเขาจะเป็นเชื้อชาติศาสนาและเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม สิ่งนี้ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม หรือจะมีความเชื่ออันใดก็ตาม สิ่งนี้ก็มีอยู่แล้วในตัวของเรา อยู่ในกลางกายตรงฐานที่ ๗ ในตัวของเราทีเดียวนะจ๊ะ

 


           เป็นกายที่สะอาดบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ขึ้นไปตามลำดับ บริสุทธิ์ที่สุดคือกายธรรมอรหัต  บริสุทธิ์ถัดลงมาก็กายธรรมพระอนาคามี  บริสุทธิ์ถัดลงมาอีกคือกายธรรมพระสกิทาคามี บริสุทธิ์ถัดลงมาอีกก็คือกายธรรมพระโสดาบัน ถัดลงมาอีกก็คือกายธรรมโคตรภู ซ้อนกันอยู่ภายในอยู่ในกลางกายของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษาวิชาธรรมกาย เข้าไปให้ถึงท่านให้ได้ เมื่อเข้าถึงท่านแล้วชีวิตจึงจะปลอดภัย เพราะว่ากายธรรมนั้นเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งและที่ระลึกอันสูงสุดของพวกเราทั้งหลาย ช่วยให้เราพ้นจากภัยในอบาย ภัยในสังสารวัฏ และมีความสุขที่เป็นนิรันดรเป็นอมตะ

 


                กายธรรมจะทำให้เราได้รู้แจ้งเห็นจริง ในสรรพสิ่งทั้งหลายในชีวิตของเราเป็นผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ เพราะฉะนั้นการศึกษาวิชชาธรรมกาย ก็เพื่อมุ่งให้เข้าถึงกายธรรมนั้นเอง เป็นเบื้องต้น การที่จะเข้าถึงวิชชาธรรมกายได้นั้นน่ะ เข้าถึงได้ด้วยวิธีการเดียวเท่านั้นแหละคือ วิธีการทำใจของเราเนี่ยให้หยุดให้นิ่ง หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านว่าเอาไว้ ใจประกอบด้วยลักษณะ ๔ อย่างคือเอา ๔ อย่างมารวมกันนี้เรียกว่าใจ คือความเห็นอย่างหนึ่ง ความจำอย่างหนึ่ง ความคิดอย่างหนึ่ง ความรู้อีกอย่างหนึ่ง เอามารวมหยุดเป็นจุดเดียวกันเรียกว่าใจ ต้องนำใจนี่ล่ะมาหยุดให้ถูกส่วนที่ฐานที่ ๗ ใจต้องหยุดให้ถูกส่วนไปเรื่อย ๆ ก็จะเข้าถึงกายธรรม แล้วถอดกายออกเป็นชั้น ๆ เข้าไป แล้วในที่สุดก็จะเข้าถึงกายธรรม

 


                เพราะฉะนั้นมีวิธีเดียวเท่านั้นไม่มีวิธีอื่นใดเลย จะเข้าถึงได้ด้วยการทำใจให้หยุดให้นิ่งอย่างเดียวตรงฐานที่ ๗ ที่เดียวอย่างนี้นะจ๊ะจึงจะเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้    นี่เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องจำเอาไว้ ปกติใจเรามักจะไม่หยุดจะซัดส่ายไปในเรื่องราวต่าง ๆ  ในชีวิตประจำวันของเราน่ะ   ตอนเด็ก ๆ เราเรื่องไม่มาก ไม่มีเรื่องมากใจก็จะหยุดง่าย พอโตขึ้นมาหน่อยมีเรื่องราวที่จะต้องนึกคิด การเรียนมั่งการเล่นมั่งเพลิดเพลินมั่ง ใจก็เริ่มซัดส่ายแตกกระจัดกระจายกระเจิงกันออกไป ก็หยุดได้ยากหน่อย พอโตขึ้นไปอีกหน่อยก็นึกถึงเรื่องที่จะหาคู่ครองกัน จะครองบ้านครองเรือนกัน ใจก็ซัดส่ายไปอีก โตขึ้นไปอีกหน่อยนึงก็จะต้องประกอบการเลี้ยงชีพ ทำมาหากินใจก็จะมุ่งไปเกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากินกันก็ซัดส่ายไปอีก แตกกระจัดกระจายกระเจิงกันอีกจึงเข้ามาถึงธรรมกายเนี่ย

 


                ถ้าไม่มีเวลาที่จะมานึกคิด ยิ่งเติบโตหนักเข้าไปอีก มีภารกิจจะต้องปกครองผู้คน มีลูกมีหลานสืบไปก็ต้องดูแลทุกอย่างไปพร้อม ๆ กันใจก็กระเจิงไปอีก พออายุมากเข้านั้นโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนก็จะต้องวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเพราะความชรา วุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องลูกหลานเพราะเหงา แล้ววิตกกังวลในหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่างจึงไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ดังนั้นจึงไม่รู้จักธรรมกาย เมื่อเป็นอย่างนี้เนี่ยเราก็จะต้องหันกลับมาเอาใจใส่ เอาใจที่กระเจิงออกนอกตัวนั้น กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวของเรา มาอยู่ตรงฐานที่ ๗ ให้ใจมันหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ พอถูกส่วนเข้าเดี๋ยวก็จะเข้าถึงดวงธรรม  ถึงกายภายในและก็เข้าถึงพระธรรมกาย

 


                หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านแนะอย่างนี้ ว่าทางเดินของใจนั้นมีทั้งหมด ๗ ฐาน ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงข้างซ้ายท่านชายข้างขวา ฐานที่ ๒ อยู่ที่หัวตาตรงน้ำตาไหล ท่านหญิงอยู่ข้างซ้ายท่านชายอยู่ข้างขวา ฐานที่ ๓ กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตาของเรา ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอเหนือรูปกระเดือก ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้องระดับเดียวกับสะดือของเรา สมมุติว่าเราเอาเส้นด้าย ๒ เส้นมาขึงให้ตึงเส้นหนึ่งขึงจากสะดือทะลุไปด้านหลัง อีกเส้นหนึ่งขึงจากด้านขวาทะลุไปด้านซ้าย ให้เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท จุดตัดเล็กเท่ากับปลายเข็มตรงนี้แหละเรียกเรียกว่าศูนย์กลางกายฐานที่ ๖ ฐานที่๗ที่หลวงพ่อพูดถึงนั่น่ะคือตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้วยขึ้นมา ๒ นิ้วมือ สมมุติเราเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้เขาเรียกว่าฐานที่ ๗ 

 


                เพราะฉะนั้นถ้าหลวงพ่อพูดถึงฐานที่ ๗ ก็หมายเอาตรงนี้นะจ๊ะ ตำแหน่งที่เหนือจากจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองขึ้นมา ๒ นิ้วมืออยู่ในกลางท้องนั่นแหละ ตรงนี้เรียกว่าฐานที่ ๗ เป็นทางไปสู่อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ท่านก็เอาใจมาหยุดตรงฐานที่ ๗ ตรงเนี้ย จนกระทั่งถูกส่วนใจท่านไม่ติดอะไรเลยในโลก จะเป็นคนเป็นสัตว์เป็นสิ่งของลาภ ยศ สรรเสริญ สุขอะไรไม่ติดเลย ไม่ติดอะไรเลยทั้งสิ้นใจหยุดนิ่งอย่างเดียว พอถูกส่วนท่านก็จะเข้าไปถึงดวงธรรมภายใน ถึงกายภายในและก็เข้าถึงพระธรรมกาย

 


                ทีนี้ ๗ ฐานนี้น่ะสำหรับท่านที่มาใหม่ บางทีเราก็นึกไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ได้รับทราบเกี่ยวกับ ๗ ฐานนี้แล้วน่ะ เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ท่านจึงให้กำหนดเครื่องหมาย เพื่อให้มีที่ยึดที่เกาะของใจสักหน่อย จะได้รู้ว่าเดินทางไปถึงฐานที่ตั้งของจิตตรงไหนแล้ว ท่านให้กำหนดบริกรรมนิมิต คือนึกมโนภาพขึ้นมา กำหนดนึกสร้างขึ้นมาสร้างบริกรรมนิมิตขึ้นมาให้เป็นเพชรลูก คือเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดไม่มีข่วนใสสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาโตเท่ากับแก้วตา ก็ขนาดปลายนิ้วก้อยขนาดเข้าปากช่องจมูกได้เนี่ย 

 


                กำหนดเครื่องหมายให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดไม่มีข่วนคล้ายขนแมวน่ะ ไม่มีขนแมวไม่มีขีดเลยโตเท่ากับแก้วตา แล้วท่านให้เอามาตั้งไว้ที่ปากช่องจมูก ท่านหญิงก็ปากช่องจมูกซ้ายท่านชายก็ปากช่องจมูกขวา ท่านให้กำหนดตรงนี้นะ และเพื่อไม่ให้ใจซัดส่าย ท่านก็ให้บริกรรมภาวนาควบคู่กันไปด้วยคือ พอใจแล้วตรึกนึกถึงดวงใส หยุดไปที่จุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ก็ให้ภาวนาควบคู่กันไป ภาวนาว่าสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาไปพร้อมกับนึกภาพไปด้วย เพชรที่โตเท่ากับแก้วตาน่ะใสบริสุทธิ์ อยู่ที่ปากช่องจมูก แล้วก็เลื่อนขึ้นไป ที่หัวตา ท่านหญิงก็ยังอยู่ข้างซ้ายหัวตาซ้าย ท่านชายอยู่ที่หัวตาข้างขวา ก็ยังนึกถึงภาพเพชรที่โตเท่ากับแก้วตาน่ะ ใสบริสุทธิ์พร้อมกับภาวนาในใจสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๓ ครั้งที่ให้ ๓ ครั้งก็เพื่อว่าใจจะได้ไม่ซัดส่ายไปที่อื่น ตรงนี้นี่เอาแค่ ๓ ครั้ง

 


                เพราะจะต้องเดินทางต่อไปอีก ไม่ต้องไปภาวนายาวนานหลาย ๆ ครั้ง เนื่องจากว่าเรากำลังจะมุ่งไปในฐานที่ ๗ เมื่อถึงฐานที่ ๒ ก็ ๓ ครั้งใจเรายังอยู่ที่ตรงนั้นนะ ที่เพชรลูกที่โตเท่ากับแก้วตาน่ะ ให้เหลือกตาช้อนขึ้นไป ใจเรายังอยู่ที่ตรงนั้นนะ ที่เพชรลูกที่โตเท่ากับแก้วตาน่ะ ให้เหลือกตาช้อนขึ้นไป ความเห็นจะได้ตามกลับเข้าไปข้างใน และก็ไปอยู่ที่กลางกั๊กศีรษะ สมมุติว่ากะโหลกศีรษะเราไม่มีมันสมองน่ะ  เป็นที่ว่าง ๆ ก็จะมีบริกรรมนิมิตดวงเนี้ย ลอยอยู่กลางกั๊กศีรษะระดับเดียวกับหัวตาของเรา ใจเรายังตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ หยุดอยู่ในกลางความใสบริสุทธิ์ของดวงบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาในใจสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ๓ ครั้งก็เลื่อนลงมาอีก เลื่อนลงมาที่ฐานที่ ๔ ตรงเพดานปากช่องปากที่อาหารสำลักตรงนั้นนะ ประมาณเอาก็แล้วกันนะจ๊ะ ประมาณเอา

 


                ใจของเรายังตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ หยุดอยู่ในกลางตรงจุดกึ่งกลางของความใสบริสุทธิ์ ของบริกรรมนิมิต ที่เป็นประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมวน่ะ โตเท่ากับแก้วตา ฐานที่ ๔  แล้วก็เลื่อนลงมาที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก ปากช่องคอนี่คล้าย ๆ กับปากถ้วยแก้ว เอานิมิตมาตั้งไว้ตรงนี้เนี่ย ใจตรึกนึกถึงความใสบริสุทธิ์ หยุดอยู่ตรงกลางความใสบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาในใจ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ พอครบ ๓ ครั้งก็เลื่อนลงไป เหมือนกลืนเข้าไปเลย ให้ไปหยุดอยู่ที่ฐานที่ ๖ ตรงจุดตัดของเส้นด้ายทั้งสองระดับเดียวกับสะดือนะตรงฐานที่ ๖ ให้หยุดให้นิ่งเหมือนกลืนลงไปเลย ใจยังคงตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ ของบริกรรมนิมิต ที่เหมือนเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาของเรา ตรึกนิ่งใจหยุดนิ่งพร้อมกับภาวนาในใจสัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาไป ๓ ครั้งก็เลื่อนขึ้นมาถอยหลังขึ้นมา ๒ นิ้วมือตรงนี้แหละเรียกว่าฐานที่ ๗ เลื่อนเข้ามาเลยนะ หยุดให้นิ่ง หยุดนิ่ง ๆ ตรึกนึกถึงดวงใสบริสุทธิ์ หยุดอยู่ในกลางความใสบริสุทธิ์ของบริกรรมนิมิต พร้อมกับภาวนาสัมมาอะระหัง ๆ

 


                ตรงนี้นี่จะภาวนากี่ครั้งก็ได้ เพราะเป็นจุดสุดท้ายแล้ว จุดสุดท้ายซึ่งต่อจากนี้เราจะไม่เคลื่อนย้ายดวงแก้วไปที่ไหน จะภาวนาไปกี่สิบ กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านครั้งก็แล้วแต่ แล้วแต่ใจเราปรารถนา จนกว่าใจจะหยุดนะจ๊ะ นะจ๊ะใจจะหยุด ทีนี้มีบางท่านขนาดภาวนาอย่างนี้แล้วแต่ใจมันก็ยังฟุ้งอยู่ ใจก็ยังฟุ้งคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้อะไรต่าง ๆ เพราะเราคุ้นกับการนึกคิดในสิ่งเหล่านั้นมายาวนาน ตลอดชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นจู่ ๆ จะให้มาคิดอย่างนี้มันนึกไม่ออก ดังนั้นท่านให้ทำอย่างนี้นะ เราทำเล่น ๆ คือสำรวจตรวจทางเดินของจิต ทั้ง ๗ ฐานนี่แหละ

 


                สำรวจตรวจทางเดินของจิต เมื่อเราเริ่มมาถึงฐานที่ ๗ ตอนนี้ปักหลักที่ฐานที่ ๗ แล้วเนี่ย มันยังฟุ้งอยู่เราลองทำอย่างนี้ดูนะจ๊ะ เราเลื่อนถอยหลังไปฐานที่ ๖ ทำแบบเดิมมันไปย้อนหลังแล้วก็ภาวนา ๓ ครั้งแล้วก็เลื่อนมาถอยหลังมาถามที่ ๕ ภาวนา ๓ ครั้งตรึกถึงดวงใสบริสุทธิ์แล้วก็เลื่อนมาที่เพดานปาก ตรึกนึกถึงดวงใส ใจหยุดไปกลางดวงใส และก็เลื่อนไปฐานที่ ๓ ที่กลางกั๊กศีรษะ ตรึกนึกถึงดวงใสใจหยุดอยู่ที่กลางดวงใส พร้อมภาวนา ๓ ครั้ง แล้วก็เลื่อนไปที่หัวตา ตรึกนึกถึงดวงใสหยุดในกลางดวงใสแล้วก็เลื่อนมาที่ปากช่องจมูก เราจะทำอย่างนี้สักกี่ครั้งก็ได้ จากฐานที่ ๑ มาฐานที่ ๗ จากฐานที่ ๗ มาฐานที่ ๑ คือฝึกให้รู้จักทางเดินของใจ เดินบ่อย ๆ ในเส้นทางนี้ให้คล่องทีเดียวนะ ให้คล่องถ้าทำอย่างนี้เนี่ยใจจะไม่ค่อยฟุ้ง 

 


                ไม่กำหนดว่าจำนวนสักกี่ครั้ง ถ้าสมมุติว่าเราทำ ๓ รอบแล้วใจไม่ฟุ้งเลย เราก็ไม่ต้องทำรอบที่ ๔ ถ้า ๓ รอบไปพอจะ ๔ รอบ ๕ รอบ ๖ รอบหรือกี่รอบก็แล้วแต่ก็ทำไป ใจก็จะไม่วนเวียนอยู่ในเส้นทางเดินของจิตทางเดินของใจภายในตัวของเรานี่แหละ ไม่ออกนอกตัวเพราะถ้าใจออกส่งออกไปนอกตัวแล้วมันเรื่องมาก เดี๋ยวไปที่คนเดี๋ยวไปที่สัตว์ เดี๋ยวก็ไปที่สิ่งของ เดี๋ยวไปธุรกิจการงาน สนุกสนานเพลิดเพลิน ปัญหาของชีวิตอะไรเยอะแยะไปหมด เพราะฉะนั้นให้ย้อนหน้า ย้อนหลังอย่างนี้นะจ๊ะ

 

 

                จากฐานที่ ๑ เลื่อยไปเลยจนกระทั่งถึงฐานที่ ๗ จากฐานที่ ๗ ก็เลื่อนกลับมาถึงฐานที่ ๑ แต่ว่าจำไว้นะตอนสุดท้ายต้องมาอยู่ที่ฐานที่ ๗ พอเรามีความรู้สึกว่าเออ เราไม่ฟุ้งแล้ว ใจเรารู้สึกอยู่ในตัวของเราแล้ว ไม่ฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ตอนนี้เราก็มาอยู่ที่ฐานที่ ๗ เพราะฐานที่ ๗ เป็นทางเสด็จไปสู่อายตนะนิพพาน ของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย เราก็ต้องเดินตามรอยท่านโดยเอาใจหยุดนิ่งตรงฐานที่ ๗ หยุดอยู่ที่เดียว แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะจ๊ะ พอใจมันมาหยุดตรงฐานที่ ๗ ตรงนี้เนี่ย ให้ถูกให้ส่วนให้ดีนะ หยุดให้นิ่ง พอถูกส่วนเดี๋ยวจะเห็นหนทางสายกลาง จะเห็นมัชฌิมาปฏิปทาหนทางสายกลางซึ่งเป็นทางอริยมรรค เป็นทางของพระอริยเจ้า

 


                เนี่ยท่านก็พูดตรง ๆ อยู่แล้วน่ะว่าถ้าจะหยุดถูกส่วนเดี๋ยวจะเข้าถึงอริยมรรค ทางของพระอริยเจ้า สวนทางกับทางของปุถุชนเป็นทางของพระอริยเจ้า แต่ต้องหยุดให้ถูกส่วน ไอ้ตรงถูกส่วนตรงนี้น่ะมันยากนิดนึง แต่ว่ามีข้อสังเกตอยู่ สังเกตอยู่คือเวลาปฏิบัติให้เข้าถึงนะจ๊ะ ใจจะต้องไม่ตึงแล้วก็ไม่หย่อนเกินไป ตึงเกินไปก็เข้าไม่ถึง หย่อนเกินไปก็เข้าไม่ถึง ตึงเนี่ยเกิดมาจากสาเหตุเพราะความอยาก คืออยากจะให้ใจสงบเร็ว ๆ อยากเห็นนิมิตให้ชัดเจน อยากได้มาก ๆ เพราะรู้ว่าดีเห็นคนอื่นเขาได้ก็อยากได้ ก็เลยเกิดความตั้งใจ พอตั้งใจมากเกินไป ก็เกิดความตึงเครียดที่ระบบประสาทกล้ามเนื้อ ดวงตาเริ่มจะปิดสนิทกดลงไปดูข้างล่าง เปลือกตาปิดสนิท เม้มเหมือนคนทำตาหยีน่ะ จะปิดสนิท ลูกในตาก็จะกดลงไปดู เราเริ่มใช้กำลังแล้ว กำลังระบบประสาทกล้ามเนื้อแล้ว ตึงเกินไปก็เครียด พอเครียดก็ไม่ได้ผล หย่อนเกินไปคือเผลอไม่เอาใจจดจ่ออยู่ที่ตรงนี้เนี่ย เผลอก็ทำเผลอ พอเผลอหนักเข้าก็ใจก็หลุดจากที่ตรงนี้น่ะ พอเผลอก็หลุดเลย ไปคิดเรื่องอื่นอีกฟุ้งซ่านไปเลยตอนนี้ 

 


                เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ถูกส่วน วิธีที่จะให้ถูกส่วนนั้นเราจะต้องไม่เผลอจากบริกรรมทั้งสองและจะต้องไม่ตั้งใจมากเกินไป อย่าไปอยากได้อยากเห็นมากเกินไป จะต้องไม่คาดหวังว่าเรานั่งวันนี้จะต้องเอาให้ได้น่ะ นั่นสำหรับผู้ที่มีบารมีแก่ ๆ น่ะ แต่สำหรับเราปรับให้มันพอดีปรับพอดี พอดีสังเกตอย่างไร สังเกตจากความพึงพอใจว่า ถ้าเรากำหนดนิมิตขนาดนี้ บริกรรมนิมิตขนาดนี้ เราภาวนาสัมมาอะระหังอย่างนี้แล้วรู้สึกสบาย มีความพึงพอใจมีความรู้สึกสบาย แม้นิมิตนั้นจะยังไม่ชัดก็ตาม กำหนดตรึกนึกถึงดวงใสหยุดอยู่ที่กลางความใส พร้อมกับภาวนาในใจไปเรื่อย ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ โดยไม่กำหนดว่าร้อยครั้งจะเอาให้เห็น พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้งจะต้องให้เห็นไม่ต้องไปคิดอย่างนั้น ภาวนาไปสัมมาอะระหังไปใจก็ค่อย ๆ ประคองนิมิตไป เห็นไม่ชัดนึกไม่ออกก็ไม่เป็นไรให้ใจนิ่งเฉย ๆ ให้ใจนิ่ง ๆ แล้วก็ภาวนาไปสัมมาอะระหัง ๆ ๆ กันไปอย่างนี้นะ

 


                 ทีนี้บางท่านนึกนิมิตไม่ได้นึกแล้วปวดหัว พอนึกแล้วปวดหัว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องนึก ให้ทำความรู้สึกว่าใจอยู่ในท้องตรงฐานที่ ๗ แล้วไม่ต้องไปกังวลเกินไปว่า มันจะตรงพอดีเป๊ะไหม ให้นิ่ง ๆ เฉย ๆ ทำความรู้สึกตรงนี้เท่านั้น แล้วก็ภาวนาสัมมาอะระหัง เลื่อยไปเลยจะกี่ครั้งก็แล้วแต่ให้ภาวนาไปอย่างสบาย ๆ อย่าให้ความคิดว่าเมื่อไหร่จะเห็นน่ะ เกิดขึ้นแม้แต่แว๊บเดียว หรืออย่าให้ความคิดว่าภาวนาตั้งนานแล้วทำไมไม่เกิดสักทีน่ะก็ไม่ต้องคิดนะอย่าให้มันแว๊บเกิดขึ้นมา ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ สัมมาอะระหัง ๆ ๆ ภาวนาไปจนกว่าไม่อยากจะภาวนาคือบางคนภาวนาไปถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วไม่อยากจะภาวนาอยากอยู่เฉย ๆ อยากทำใจให้หยุดนิ่งอย่างเดียวโดยไม่นึกถึงนิมิตไม่นึกถึงคำภาวนา ถ้ามีความรู้สึกอย่างนี้ก็ให้ทำอย่างที่เรารู้สึกอย่างนั้นนะจ๊ะคือทำใจให้นิ่งเฉย ๆ อย่างนี้ก็ได้

 


                เพราะฉะนั้นจะกำหนดกรรมนิมิตและภาวนาก็ได้ หรือไม่กำหนดและภาวนาก็ได้ หรือไม่ทำทั้ง 2 อย่างอยากจะหยุดนิ่งเฉย ๆ อย่างเดียวอย่างนี้ก็ได้นะจ๊ะ แต่ใจหยุดนิ่ง ๆ ได้ ๓ อย่างนั้นน่ะเมื่อทำไปแล้ว สมมุติวิธีแรกที่เรากำหนดนิมิตและภาวนาพอทำไปเรื่อย  พอถูกส่วนเข้าคำภาวนามันจะเลือนหายไปคล้าย ๆ กับเราลืมภาวนาไป ดวงนิมิตก็จะปรากฏเกิดขึ้นในกลางและใจก็จะอยู่ที่ตรงนั้นอย่างเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ให้อยู่กับนิมิตเมื่อลืมภาวนาไปใจก็ให้อยู่กับนิมิต ให้นิ่ง ๆ หรือบางทีที่เราไม่กำหนดนิมิต ภาวนาอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ พอถึงจุด ๆ หนึ่ง คำภาวนาก็เลือนไปเหลือแต่ใจที่นิ่งอย่างเดียวอย่างนี้ก็มีนะจ๊ะ หรือกำหนดใจนิ่งอย่างเดียวตั้งแต่เริ่มต้น โดยไม่ภาวนาพอถูกส่วนเขามันก็นิ่งเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ

 


                ดังนั้นให้สังเกตความพึงพอใจ ถ้าเรามีความพึงพอใจอย่างไหน ก็ให้ทำอย่างนั้น แต่ผลสุดท้ายมันจะมาลงที่ใจจะหยุดนิ่งหยุดนิ่งโดยไม่มีคำภาวนา ใจจะนิ่งแล้วก็ความรู้สึกสบาย ๆ เกิดขึ้นจะเริ่มโล่งใจเริ่มโล่งเหมือนเรานั่งอยู่ในที่โล่ง ๆ หายใจสะดวกคล้าย ๆ อยู่บนยอดเขาอย่างนั้นน่ะ จะโล่ง ๆ แล้วก็โปร่งหนักยิ่งขึ้นเบาไปเรื่อย ๆ และก็เบาความรู้สึกร่างกายก็เริ่มขยายออกไป ใจจะเริ่มขยายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งขยายไปอย่างไม่สิ้นสุด เมื่อขยายไปถึงจุดนี้แล้ว ความรู้สึกที่ร่างกายก็จะหายไปเลย เหมือนไม่มีร่างกายมีแต่ใจอย่างเดียวคล้าย ๆ ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอวกาศ อวกาศที่ปราศจากดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ หมู่เมฆอะไรต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ แล้วก็จะรู้สึกเบาเหมือนจะเหาะจะลอยได้ทีเดียว

 


                ถ้าเรายังนิ่งอย่างนั้นต่อไปอีกก็จะยิ่งเบาขึ้น โล่งไปเรื่อย ใจยิ่งสบายสบายไปเรื่อย พอถูกส่วนเข้าแสงสว่างก็จะค่อย ๆ เกิดทีละน้อยทีละน้อย อย่าไปตื่นเต้นนะจ๊ะถึงตอนเนี้ย มันเป็นความสว่างภายในเกิดขึ้น แล้วก็สว่างเหมือนอาทิตย์ตอนเช้าสว่างขึ้นไปเรื่อย ๆ เลย เป็นความสว่างที่กระจายไปกว้าง ๆ ในขณะที่ไม่รู้สึกที่ร่างกาย ความสว่างก็ปรากฏเกิดขึ้น เป็นแสงที่นวลเย็นตายเย็นใจใสบริสุทธิ์ในท่ามกลางความเวิ้งว้าง เมื่อใจนิ่งหนักยิ่งขึ้นไปถูกส่วนเข้า จะเห็นจุดเล็ก ๆ เล็กขนาดดวงดาวในอากาศ เล็กขนาดดวงดาวในอากาศที่เราลืมตามองเห็นด้วยตาเปล่า จะเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ เกิดขึ้นสว่างเข้าไปเรื่อยจนกระทั่งขยายมาเป็นดวง ดวงกลมรอบตัวเหมือนดวงแก้วกายสิทธิ์ กลมรอบตัว แต่ว่านุ่มนวลกว่าปรากฎเกิดขึ้นในกลางใสบริสุทธิ์ทีเดียว นั่นแหละคือต้นทางที่จะไปสู่อายตนะนิพพาน ท่านเรียกว่าปฐมมรรค จุดเริ่มต้นของหนทางที่จะไปสู่อายตนะนิพพาน ปฏิบัติธรรมก็ต้องให้ได้อย่างนี้นะจ๊ะ

 


                พอหลังจากนี้ไปแล้วเดี๋ยวก็จะเข้าถึงดวงธรรมต่าง ๆ จะเข้าถึงกายมนุษย์กายระเอียด กายทิพย์  กายรูปพรหม กายอรูปพรหม และก็เข้าถึงกายธรรม จะเข้าถึงกายธรรมภายในนี่ให้เข้าใจกันอย่างนี้นะ เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็ให้เริ่มลงมือปฏิบัติกันเลย เอาใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ถูกส่วน และทำใจให้หยุดให้นิ่งกันทุกคน ต่างคนต่างทำกันไปเงียบ ๆ นะจ๊ะ ใจเรายังอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้หยุดให้นิ่งตรงกลางกายนะ ใครที่เข้าถึงดวงธรรมก็เอาใจหยุดไปกลางดวงธรรม ใครเข้าถึงกายมนุษย์ละเอียด ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายมนุษย์ละเอียด ใครเข้าถึงกายทิพย์ก็เอาใจหยุดไปที่กลางกายทิพย์ ใครเข้าถึงกายรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปในกลางกายรูปพรหม ใครเข้าถึงกายอรูปพรหมก็เอาใจหยุดไปในกลางกายอรูปพรหม ใครเข้าถึงกายธรรมก็เอาใจหยุดไปในกลางกายธรรม

 


                หยุดนิ่งให้ดีทีเดียวนะ หยุดเป็นตัวสำเร็จหยุดให้ดีอย่างสบาย ๆ ถ้าใจหยุดได้แล้วมันก็จะหยุดในหยุดต่อไปอีกแล้วก็ต่อไปเองเลย ถ้าหยุดนิ่งครั้งแรกได้เนี่ยมันก็จะหยุดต่อไปอีก  แล้วก็ต่อไปเอง พอหยุดถูกส่วนเข้าแล้วก็เดี๋ยวก็เข้าถึงไปตามลำดับ อย่างที่ว่าเอาไว้เนี่ยนะจ๊ะ มันจะเห็นเป็นชั้น ชั้น ชั้น ชั้น ชั้นไปเรื่อย ๆ น่าอัศจรรย์จริง ๆ เวลาเข้าถึงได้แล้วเนี่ยทุกสิ่งอยู่ในตัวของเรา ชีวิตในโลกมนุษย์มันประเดี๋ยวเดียว ชีวิตหลังจากตายแล้วนี่ยาวนาน ตายแล้วก็รู้กันแหละไอ้สิ่งที่เราทำเนี่ยมันถูกต้องแค่ไหน แต่หลวงพ่อขอยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ทำได้จริง ดีจริง ได้บุญเป็นอสงไขยอัปมาณังจริง

 


                เพราะฉะนั้นอย่าคลอนแคลนกันนะจ๊ะ ให้ตั้งใจทุ่มให้ดีทีเดียว เมื่อเข้าใจอย่างนี้ดีแล้ว คราวนี้เราก็เอาใจหยุดนิ่งอยู่ในกลางให้สนิท กระแสทานแห่งบุญนี่มันเกิดขึ้นมากทีเดียวเนี่ย เกิดขึ้นมามาก เหมือนท้องฟ้าที่ปราศจากหมู่เมฆ ดวงดาวต่าง ๆ ที่กว้างขวางใหญ่โตไม่มีประมาณ เป็นฟ้าครอบอย่างนั้น กระแสบุญเกิดขึ้นมาจรดศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของทุก ๆ คนเลย ว่าจรดหมดสว่างใสบริสุทธิ์ ส่งผลไปในภพเบื้องหน้า ให้มีรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ลาภ ยศสรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน วิชชาจรณะทุกอย่างไปพร้อมกันไปหมดเลยน่ะ ในเวลาเดียวกัน โดยกระแสธารแห่งบุญส่งกันต่อ ๆ ไปเรื่อยเลยจนกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

 


                ขออนุภาพแห่งบุญบารมีเหล่านั้นให้ถึงแก่ลูกหลานทุกคน ทั้งภายในและต่างประเทศ ให้ส่งผังสำเร็จแห่งความสุขความเจริญรุ่งเรือง ทั้งทางโลกทางธรรม ให้สำเร็จเกิดขึ้นเป็นอัศจรรย์ ที่เป็นนักเรียนนิสิตนักศึกษา ก็ขอให้สำเร็จการศึกษา ท่านที่เป็นนักธุรกิจการงาน ต้องขอบุญเป็นพิเศษ ในภาวะขนาดนี้เนี่ยเศรษฐกิจตกต่ำ เอาบุญนี้ช่วยเชื่อมสายสมบัติ ให้ดึงดูดสมบัติบังเกิดขึ้นให้พลิกประเทศขึ้นมา ที่กำลังตกต่ำด้วยเศรษฐกิจตกต่ำ ที่เขากดเขาบังคับเอาไว้

 


                พญามารมันกดมันบังคับเอาไว้ ในอากาศโลก ในขันธโลก สัตวโลก ในจิตใจมนุษย์ ในขันธ์ ๕ ของกายกายมนุษย์ ในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ พลิกผันต่าง ๆ เก็บแก้ไขไปหมดเลย แล้วขอให้มีสายสมบัติบังเกิดขึ้น จะได้สร้างบารมีกันอย่างสะดวกสบายอย่างง่ายดาย ใครที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับโครงการเผยแผ่วิชชาธรรมกาย กับธรรมกายนี่ต้องเอาบุญพิเศษให้ กราบทูลพระต้นธาตุ พระพุทธเจ้าจักรพรรดิ พระนิพพานทั้งหลายเนี่ย เอาบุญพิเศษลงมาเชื่อมโยงสายสมบัติ พลิกผันให้กลับไปตรงกันข้ามกันที่เป็นอยู่ปัจจุบันให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเลย ให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุขด้วย ให้ครอบครัวทุกคนอยู่เย็นเป็นสุข เป็นครอบครัวธรรมกาย ใครจะปรารถนาอันใดก็ตาม ให้ความสำเร็จมันเกิดขึ้นเป็นอัศจรรย์ ให้กราบทูลพระพุทธเจ้าให้หมด

 


                ประชุมเทวดา พรหม อรูปพรหมทั้งหลาย ให้รับรู้รับเห็นเป็นพยานเลย ในการสร้างความดี สร้างบารมีของพวกเราทุกคน อย่างไม่หวาดหวั่นอุปสรรคทั้งหลายทั้งมวลนี่เนี่ย ให้เขาอนุโมทนาสาธุการและลงช่วยหมดเทวดา พรหม อรูปพรหมมาช่วยกัน ประเทศชาติ ศาสนาวิชชาธรรมกายมาช่วยกันให้อยู่เย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้นประสบความสำเร็จในชีวิตในธุรกิจการงาน ให้มาช่วยกันหมดจะเป็นภุมมเทวา รุกขเทวา อากาสเทวา ชาวสวรรค์ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิตา นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี พรหมทั้งหลาย อรูปพรหมทั้งหมดเลยมาช่วยกัน พลิกผันเลยที่พญามารเขากดเข้าบังคับเอาไว้เท่าไหร่ เก็บแก้ไขให้หมดเอาบุญศักดิ์ศิษย์หล่อเลี้ยงรักษาเอาไว้ให้สำเร็จเป็นอัศจรรย์

 


                ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็หายเจ็บหายป่วยหายไข้ หายทุกข์ยากลำบากมีหนี้มีสินก็ให้หมดหนี้หมดสิน ให้มีสายสมบัติได้บังเกิดขึ้นมาเนี่ย ดึงดูดสมบัติมาใช้หนี้ใช้สิน และขยายธุรกิจการงานเจริญรุ่งเรืองไปให้หมด ให้มีศีลมีธรรมกันทั้งนั้น กราบทูลพระพุทธเจ้าจักรพรรดิทั้งหลายลงคุมให้หมด ทั้งวันทั้งคืนทุกเวลาทุกวินาที ให้มีบุญพิเศษสำเร็จเป็นอัศจรรย์ ให้สำเร็จ สำเร็จ สำเร็จเป็นอัศจรรย์พลิกตรงกันข้ามมาเลย ให้มีกำลังกายกำลังใจที่เข้มแข็ง ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคทั้งหลายได้ ให้เอาชนะให้เป็นผู้ชนะชนะทุกอย่างเลย คุมบุญพิเศษให้นึกให้ถึงแก่หมู่ญาติที่ละโลกไปแล้ว จะเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องใครก็ตามที่เราระลึกชื่อได้ก็ตามระลึกชื่อไม่ได้ก็ตาม จะตกก็อยู่ในภพภูมิใดที่มีทุกข์อยู่ในอบายก็ให้พ้นจากทุกข์ ที่มีสุขอยู่ในสุคติภูมิก็ให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปในภพของสวรรค์ของสุคติภูมิ ให้มีสมบัติอันเป็นทิพย์ รูปทิพย์เสียงทิพย์กลิ่นทิพย์รสทิพย์ ความเป็นใหญ่อธิปไตยต่าง ๆ

 


                บริวารสมบัติวิมานให้สวยสดงดงามทุกอย่างเลย ให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปตามลำดับ ที่มีทุกข์ให้พ้นทุกข์มีสุขและก็ให้มีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป สำหรับบรรพบุรุษหรือหมู่ญาติที่ละโลกไปแล้วเนี่ย ให้เป็นสัมมาทิฐิให้หมดเลย ให้ประเทศชาติ ศาสนาวิชชาธรรมกายเจริญรุ่งเรือง ประเทศไทยให้เป็นปิ่นนานาประเทศ โครงการเศรษฐกิจตกต่ำก็ให้สูงขึ้น อัคคีภัยโจรภัย ราชภัย ภัยทุกชนิดภัยพิบัติอุบัติเหตุก็ดีต่าง ๆ หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ให้ละลายหายสูญให้หมด

 


                ให้บุญนี้ให้ถึงแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า พระราชวงศ์ทุก ๆ พระองค์ให้ทรงพระเจริญเอาบุญให้ทั่วถึงหมดเลย เทวดาฟ้าดินทั้งหมด พวกเราลูกหลานยายทุกคนก็ตั้งจิตอธิษฐานตามใจปรารถนา ปรารถนาสิ่งใดให้ใจมั่นอยู่ในบุญ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประสบทุกข์ภัยต่าง ๆ ก่อนที่วันตรัสรู้มีพยามารมาเบียดเบียนมาทำลาย ใจท่านแน่วแน่นึกถึงบุญบารมี ทำใจหยุดอย่างเดียวไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายเลย นึกถึงบารมี ๓๐ ทัศน์ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานบารมี  ทั้งอุปบารมี ปรมัตถบารมี ๓๐ ทัศน์มาช่วยและในที่สุดก็ชนะพยามาร ลูกหลานยายทุกคนก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ใจมั่นแน่วแน่อยู่ในบุญ อธิษฐานจิตให้ชนะเป็นอัศจรรย์นะจ๊ะ ให้นึกถึงให้ดี อธิษฐานให้ดีอย่าให้ใจวอกแวก ซัดส่ายให้ตั้งมั่นให้ดีทุก ๆ คน 

 

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.019465982913971 Mins