การแสดงตนเป็นพุทธมามกะในสมัยพุทธกาล

วันที่ 02 กค. พ.ศ.2567

 

 

2567_07_02_b._.jpg

 

 

การแสดงตนเป็นพุทธมามกะในสมัยพุทธกาล


          พิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะได้ทำกันมา ตั้งแต่ครั้งพุทธกอมใสในพระรัตนตรัยยิ่งขึ้น ชาวโลกผู้หลงผิดทั้งหลายก็ได้รู้สึกตน พากันละทิ้งลัทธิเดิมอันไร้แก่นสารมายอมรับนับถือพาล ในครั้งนั้นพระพุทธศาสนาเพิ่งจะบังเกิดขึ้นได้ไม่นาน เมื่อมีการแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ตนเองก็เพิ่มความเลื่ระพุทธศาสนาเป็นสรณะที่พึ่งตามไปด้วยในสมัยพุทธกาล การแสดงตนเป็นพุทธมามกะกระทำต่อพระพักตร์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเป็นนักบวชนอกศาสนามาก่อน แล้วมาขอแสดงตนเป็นพุทธมามกะและขอบรรพชาอุปสมบท พระองค์จะทรงรับด้วยพระดำรัสว่า
 

           “จงมาเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งกองทุกข์โดยชอบเถิด" หรือเพียงว่า


“จงมาเป็นภิกษุเถิด”
“จงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” ก็นับว่าใช้ได้

 

                     แต่บัดนี้พระองค์ดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เราจึงต้องประกอบเป็นพิธีขึ้น

 

ตอกย้ำศรัทธา


              การปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ นิยมทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำบ่อย ๆ เป็นการย้ำความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคงยิ่งขึ้น แม้แต่ผู้ที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์แล้ว ดังเช่น พระอุรุเวลกัสสปเถระ หากมีโอกาสก็ยังประกาศลั่นวาจาต่อหน้ามหาชน แสดงความเป็นพุทธมามกะ เพื่อให้ผู้พบเห็นเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จะได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมตามไปด้วย
 

              ครั้งหนึ่ง หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ไม่นาน พระองค์เสด็จนำพระอุรุเวลกัสสปเถระ พร้อมด้วยพระอรหันต์ จำนวน ๑,๐๐๒ รูป ไปประกาศพระศาสนายังกรุงราชคฤห์


               ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงนำข้าราชบริพารและประชาชนมารับเสด็จมากเป็นพิเศษถึง ๑๒๐,๐๐๐ คนแต่เนื่องจากประชาชนส่วนมากคุ้นเคยและเป็นศิษย์เก่าของท่านอุรุเวลกัสสปะ ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังนับถือลัทธิบูชาไฟ เมื่อเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านอุรุเวลกัสสปะมาพร้อมกัน ก็เกิดความสงสัย ไม่ทราบว่าใครเป็นศาสดา ใครเป็นสาวกกันแน่ ต่างวิพากษ์วิจารณ์คาดคะเนกันไปไม่เป็นบรรยากาศแห่งการแสดงพระธรรมเทศนา

                พระอุรุเวลกัสสปะ จึงถือโอกาสแสดงความที่ตนเป็นพุทธมามกะ โดยถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วกราบทูลด้วยเสียงอันดังว่า
 

                “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นศาสดา
ของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกของพระองค์”


                 จากนั้นก็แสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปในอากาศสูงถึง ๗ ชั่วลำตาล แล้วลงมาถวายบังคมแทบพระยุคลบาทประกาศตนเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยอาการเช่นนี้ถึง ๒ ครั้งเปลื้องความสงสัยของประชาชนและข้าราชบริพารทั้งหลายให้สิ้นไป อีกทั้งยังสร้างความอัศจรรย์ใจและความเลื่อมใสอย่างยิ่งในพระบรมศาสดาให้บังเกิดขึ้นประชาชนและข้าราชบริพารในที่นั้น จึงตั้งใจฟังพระธรรมเทศนาโดยความเคารพนอบน้อม


                  ครั้นจบพระธรรมเทศนา พระเจ้าพิมพิสารตลอดจนข้าราชบริพารและประชาชนจำนวน ๑๑๐,๐๐๐ คนได้บรรลุธรรมกายพระโสดา เป็นพระโสดาบัน เที่ยงแท้ที่จะหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ภายในไม่เกิน ๗ ชาติเบื้องหน้า ที่เหลือนอกนั้นอีก ๑๐,๐๐๐ คน มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง แล้วพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนทั้ง ๑๒๐,๐๐๐ คน ก็ประกาศตนเป็นพุทธมามกะโดยพร้อมเพรียงกัน

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.028715002536774 Mins