อารมณ์ทํางาน
ชายคนหนึ่งเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปตากอากาศริมทะเลแถวบางแสน ผ่านหมู่บ้านอ่างศิลาที่มีโรงงานแกะสลักหินอยู่จำนวนมาก จึงแวะรถหน้าโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงงานใหญ่และมีคนงานจำนวนมากกำลังสลักหินกันอยู่ เข้าไปในโรงงานเดินชมรูปสลักหินที่วางเรียงรายอยู่ เดินเรื่อยไปจนถึงบริเวณที่ช่างกำลังสลักหินกันอยู่จึงเข้าไปถามช่างคนหนึ่งซึ่งใช้ค้อนตอกสลักหินด้วยท่าทางขึงขัง หน้านิ่วคิ้วขมวด เหงื่อท่วมตัวว่า
“นี่น้อง ทำอะไรน่ะ”
ช่างคนนั้นตอบโดยไม่เงยหน้าด้วยที่ท่าไม่พอใจว่า
“ก็กำลังสลักหินอยู่ ไม่เห็นหรือไง ไม่น่าถาม”
เขารีบเดินหนีไป ขึ้นอยู่ตรงนั้นอาจโดนช่างคนนั้นสกัดตัวแทนหินก็ได้พบคนต่อมาซึ่งก็เหงื่อท่วมตัว กำลังสกัดหินอยู่เหมือนกัน จึงถามเหมือนคนแรกว่า
“น้องๆ ทำอะไรอยู่น่ะ”
“อ๋อ กำลังทำมาหากินอยู่”
เขาเงยหน้าตอบแบบไม่แยแส ไม่ยินดียินร้ายเดินไปอีกหน่อยเห็นชายกลางคนง่วนอยู่กับสลักหิน เหงื่อท่วมตัว แต่สีหน้ายิ้มแย้มแบบมีความสุข จึงถามว่า
“พี่ๆ กำลังทำอะไรน่ะ”
เขาเงยหน้าตอบอย่างยิ้มแย้มและภาคภูมิใจ
“ผมกำลังสร้างโบสถ์ครับ วัดในชลบุรีนี่แหละมาว่าจ้างโรงงานให้สกัดสิงโตเชิงบันไดโบสถ์ ผมงี้ชื่นใจจริงๆ ได้มีโอกาสฝากฝีมือไว้แถมได้บุญด้วย”
เรื่องก็จบแค่นี้
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
ในการทำงานทุกอย่างย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนกันหมด แต่ถ้ามีอารมณ์ในขณะทำงานต่างกัน ผลที่ออกมาก็จะต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว กล่าวคือในขณะทำงานนั้นหากจิตใจมุ่งไปในทางที่เป็นบุญเป็นกุศล ในทางที่เป็นศิลปะ ก็จะได้ความสุขจากการทำงาน ทำงานอย่างเพลิดเพลิน และได้ผลงานที่ประณีตวิจิตรงดงามเพราะทำงานด้วยจิตที่วิจิตรผลงานที่ออกมาย่อมทำให้เกิดความสุขและความภาคภูมิใจตลอดชีวิตเมื่อนึกถึง ตรงกันข้าม หากว่าทำงานด้วยคิดแต่เพียงจะรับค่าจ้างท่าเดียว ไม่คิดถึงเรื่องผลงาน ผลงานจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้เสร็จๆ ไปเป็นใช้ได้ ก็จะทำงานด้วยอารมณ์บูดตลอดเวลา เมื่อทำงานด้วยจิตที่มีอารมณ์บูดเสียจะเหนื่อยเร็ว อยากให้งานเสร็จหรือให้เวลาหมดไปเร็วๆ ทั้งจะไม่มีความสุขในการทำงานนั้นเลย ในการทำงานทุกอย่างนั้นถ้าปรับความคิดให้ชอบงานที่ทำ คิดถึงผลงานมากกว่าผลเงินและสนุกกับการทำงานได้ ย่อมจะเหนื่อยน้อยลงหรือไม่เหนื่อยเลย