สูบบุหรี่ ผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่
บุหรี่เป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจมากเรื่องหนึ่ง ต่างมีความเห็นที่แตกต่างกันในข้อที่ว่าควรหรือไม่ควร ฝ่ายที่เห็นว่าสูบได้ไม่ควรห้าม ก็มีไม่น้อย ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรสูบ ก็มีจำนวนมาก จึงต่างก็หาเหตุผลมาอ้างให้เข้าข้างตนเป็นหลักใหญ่และก็ทำอะไรไปตามที่ตนเห็น เช่น ฝ่ายที่เห็นว่าสามารถสูบได้ ก็ผลิตบุหรี่ออกมาเป็นสินค้าอำนวยประโยชน์ มีการโฆษณาเชิญชวนถึงรสชาติ ยี่ห้อตลอดถึงค่านิยมในหมู่คนติดบุหรี่ สร้างกำไรให้ตนเป็นล่ำเป็นสัน ถึงระดับส่งไปขายข้ามชาติ และมีอำนาจถึงระดับการปกครองประเทศนั้นๆ ก็ยังมี
ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรก็ออกมาต่อต้าน ออกมาให้ความรู้ถึงโทษของการสูบบุหรี่ บางประเทศไม่อาจตัดสินได้ว่าควรหรือไม่ควร แต่ก็ออกกฎหมายห้ามสูบในที่สาธารณะ ห้ามสูบในร้านอาหาร ในโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งแสดงว่าเห็นด้วยว่าไม่ควร แต่ก็ไม่ทำให้ฝ่ายที่เห็นว่าควรกระทบกระเทือนมากนัก วางตนเหมือนว่าเป็นกลาง บางประเทศมีกฎหมายให้ประกาศถึงพิษภัยของบุหรี่ไว้ที่ซองบุหรี่ เพื่อให้คนหวาดกลัวจะได้ไม่สูบบุหรี่
แต่ถึงอย่างไร บุหรี่ก็ยังมีจำหน่ายและขายดีที่สุด สร้างกำไรมหาศาลคนที่ติดบุหรี่ก็ยังซื้อหามาสูบกันอยู่ โดยไม่เกรงกลัวพิษภัยใดๆทั้งสิ้น
อันที่จริง คนส่วนใหญ่ก็รู้อยู่ว่าบุหรี่มีพิษมีโทษร้ายแรง แม้จะไม่ยอมรับว่าบุหรี่เป็น ยาเสพติด แต่ก็ยอมรับว่าบุหรี่เป็น สิ่งเสพติด เพราะเห็นว่าไม่เป็นยาเสพติด จึงไม่มีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ หรือบทลงโทษในการสูบบุหรี่และเพราะเห็นว่าบุหรี่เป็นสิ่งเสพติด เท่ากับยอมรับว่าบุหรี่มีพิษภัยจริง จึงมีกฎหมายห้ามมิให้สูบในที่สาธารณะ เป็นต้น บางแห่งห้ามไม่ให้สูบแม้ใกล้บ้านที่มีคนอาศัยอยู่ เพราะจะทำให้ควันบุหรี่ถูกลมพัดเข้าไปในบ้านคน ทำให้คนในบ้านได้รับผลกระทบไปด้วย
แล้วการสูบบุหรี่เป็นการผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่
อันที่จริงยังไม่มีการเอ่ยถึงเรื่องการสูบบุหรี่ว่าผิดศีลข้อ ๕ หรือไม่อย่างไรเพราะบุหรี่ไม่ใช่สุราและเมรัย และยังไม่มีการรับรองว่าเป็นมัชชะ คือสิ่งที่ทำให้มึนเมา ดังนั้น หากจะจัดเข้าในศีลข้อนี้ก็จัดได้โดยการอนุโลมเข้าเท่านั้น
แต่จะผิดศีลหรือไม่ผิดศีลข้อนี้อย่างไรคงไม่ใช่ประเด็นใหญ่ ประเด็นใหญ่ของเรื่องบุหรี่ก็อยู่ที่โทษที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่เป็นหลัก โทษของบุหรี่นั้นมีแน่อาจรุนแรงกว่าสุราและเมรัยเสียด้วยซ้ำไป ทั้งเสียทรัพย์ซื้อหามาสูบ ทำให้เสียบุคลิกภาพ ไม่น่าคบหา ไม่น่าเข้าใกล้ ทำให้เสียสุขภาพคือทำให้เกิดโรคร้ายได้
โรคร้ายที่เกิดจากการสูบบุหรี่มาเป็นเวลานานนั้น คือโรคมะเร็งปอดโรคถุงลมโป่งพอง โรคนี้ทางแพทย์ก็ประกาศเตือนไว้ตลอดมา แต่ผู้คนก็ยังติดบุหรี่และเป็นโรคนี้กันมากขึ้น เสียเงินเสียชีวิตกันไปมากมาย
เพราะบุหรี่เป็นสิ่งเสพติด เมื่อเสพเข้าไปแล้วก็ติด ต้องหามาเสพต่อไปเรื่อยๆ เลิกก็ยากทั้งที่อยากจะเลิกเพราะมันติดเสียแล้ว ก็จำต้องทนสูบต่อไปแม้จะทำให้คนอื่นรำคาญ ทำให้คนอื่นเหม็น หรือทำให้คนอื่นทนไม่ได้ก็จำต้องสูบตามปกติ นึกจะสูบที่ไหนก็สูบ เวลาไหนต้องการก็หามาสูบเพราะหาซื้อได้ง่ายจึงกลายเป็นความเคยชินทั้งคนที่สูบ คนที่อยู่ใกล้ชิด และคนที่เดินผ่านกันไปมา
แต่ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการตัดสินว่าสูบบุหรี่ผิดศีลหรือไม่ เป็นเวรเป็นภัยให้โทษต่อไปถึงภพหน้าชาติหน้าเหมือนสุราเมรัยหรือไม่ การสูบบุหรี่ก็ยังมีโทษอยู่ดี อันเป็นโทษที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันดังที่ทราบกันอยู่
แม้จะเข้าข้างตัวเองว่าสูบแล้วไม่เห็นเป็นอะไร ยังทำงานทำการได้เป็นปกติ โรคภัยอะไรก็ไม่มี เงินทองก็มีซื้อหาได้ไม่เดือดร้อนอะไร และสูบแล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จะเดือดร้อนก็เดือดร้อนเฉพาะตัวเอง คนอื่นไม่ต้องมาเดือดร้อนด้วย อะไรทำนองนี้
ก็จำต้องปล่อยเขาไปตามเรื่อง เพราะคนที่ติดบุหรี่จะมีความคิดทํานองนี้ด้วยกันทั้งนั้น
แต่ก็เป็นเวรเป็นภัย และเป็นภาระกับคนรอบข้างของเขา เช่น บุตรธิดาเขา ภรรยาเขา บิดามารดาเขา หรือคนร่วมงานของเขา ซึ่งต้องอยู่ร่วมกับเขาต้องทนสูบควันบุหรี่ ทนเหม็นควันบุหรี่ที่เขาพ่นออกมา เหม็นทั้งร่างกายและเสื้อผ้าของเขา โดยที่เขาไม่รู้ตัวว่าเหม็นอย่างไร หรือใครเขาเดือดร้อนอันเกิดจากการสูบบุหรี่ของตัวเองอย่างไร
นับเป็นบุญประเสริฐแท้สำหรับคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่และคนที่เลิกสูบได้แล้ว เพราะไม่ต้องมีเวรภัยกับบุหรี่ ไม่ต้องเป็นโรคจากบุหรี่ ไม่ต้องเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจของสังคมส่วนหนึ่ง แต่ก็อย่าได้ประมาท เพราะแม้ไม่สูบบุหรี่ แต่ไปสูดควันบุหรี่จากคนอื่นประจำก็สามารถติดโรคได้ หรือเลิกบุหรี่มานานแล้วแต่ก็ยังเป็นโรคเกี่ยวกับปอดเกี่ยวกับการหายใจคือโรคมะเร็งปอด โรคถุงลมโป่งพองได้ เพราะเชื้อร้ายที่ฟักตัวอยู่ในปอดยังมีอยู่ เมื่อปอดมีภูมิต้านทานน้อยลง เชื้อร้ายก็จะมีกำลังกำเริบขึ้น ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม การไม่สูบบุหรี่ ไม่แตะต้อง ไม่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ ไม่ว่าจะด้วยอาการอย่างใด ย่อมเป็นการดีที่สุด เป็นการปลอดภัยไว้ก่อน