บทส่งท้าย ศีล ๕ รักษาโลก

วันที่ 30 กค. พ.ศ.2567

2567%20%20%2007%2030%20b.jpg

 

บทส่งท้าย

 

        เป็นที่รู้และยอมรับกันทั่วไปแล้วว่าโลกมนุษย์ของเรามีปัญหาเพิ่มมากขึ้นทุกวัน  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในส่วนของแผ่นดิน แผ่นน้ำ อากาศ ในส่วนของผู้อาศัยอยู่บนโลก คือ มนุษย์ สัตว์บก สัตว์น้ำ นก และในส่วนของธรรมชาติ คือ ต้นไม้ ต้นหญ้า เป็นต้น โลกทุกส่วนได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นๆ อย่างทั่วถึงและทัดเทียมกัน ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลก เช่น โลกร้อนขึ้น น้ำท่วมมากขึ้น อากาศเสียมากขึ้น ผู้คนมากขึ้นซึ่งทำให้มีปัญหาขึ้นตามมามากมาย เช่น มีการแก่งแย่ง ทำลายล้าง เอารัดเอาเปรียบ กดขี่ข่มเหงกันมากขึ้น ทำให้โลกบางส่วนไม่ปลอดภัยมีสงคราม มีความแห้งแล้ง มีน้ำท่วม และมีภัยอันตรายรอบด้าน ผู้คนต้องหนีภัย หรือจำเป็นต้องอยู่ก็อยู่อย่างระวังภัย อยู่อย่างไม่สงบสุข


         สภาวะเช่นนี้แม้จะดูว่าไม่ดี      แต่เมื่อพบเห็นกันจนเคยชินก็เกือบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป ไม่ทำให้กลัวหรือให้ตกใจอะไรมาก


         คนเราส่วนใหญ่ก็รู้กันอยู่ว่าโลกมีปัญหา   ก่อความเดือดร้อนให้   ทำให้อยู่ไม่ปลอดภัย ต้องระวังอยู่ตลอดเวลา แต่คนที่สนใจที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้แก่โลกและชาวโลกอย่างทุ่มเท จริงจัง และจริงใจมีไม่มากนัก ลงมือทำก็แก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังปล่อยปละละเลยหรือเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของตน ทั้งที่ตนนั่นแหละเป็นผู้มีส่วนทำให้ปัญหานั้นๆ เกิดขึ้น


            แท้ที่จริง  ปัญหาของโลกเกือบจะทุกอย่างเบื้องต้นล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่เกิดจากธรรมชาติแม้จะมีอยู่ แต่ก็เกิดเป็นครั้งคราวและพอแก้ไขกันได้ มนุษย์นั่นเองเป็นผู้สร้างปัญหาให้แก่โลก หากจะกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนนั่นแหละที่ก่อปัญหาให้โลก มากบ้างน้อยบ้าง รู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง โดยตรงบ้างโดยอ้อมบ้าง ก็คงไม่ผิดนัก เมื่อรวมๆ กันเข้าก็ทำให้โลกมีปัญหามีความเดือดร้อนอย่างที่เห็นกัน ต้องยอมรับในข้อนี้กันก่อน ถ้ายังไม่ยอมรับในข้อนี้ก็เป็นอันหมดหวังที่จะแก้ไข


            มนุษย์เราที่ก่อปัญหาให้โลกได้ทุกอย่างก็เพราะขาดความรู้สึกสำคัญ      คือความมีคุณธรรมที่เรียกในพระพุทธศาสนาว่า หิริ และ โอตตัปปะ คือ ความอายชั่ว และ ความกลัวบาป เพราะขาดคุณธรรมข้อนี้ทำให้คนเราทำอะไรที่เป็นปัญหาได้ทุกอย่าง แม้ว่าปัญหานั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนอย่างไรก็ตามและไม่ยอมรับเสียด้วยซ้ำไปว่าปัญหานั้นตนเองนั่นแหละเป็นผู้ทำเป็นผู้ก่อขึ้น


         ที่สำคัญที่สุดคือ    คนที่ขาดความรู้สึกอายชั่วกลัวบาปนั่นแหละจะละเมิดศีลได้อย่างง่ายดาย แม้เพียงแค่ศีล ๕ ก็ไม่อาจรักษาไว้เป็นอาภรณ์ประดับตนได้


           ด้วยเหตุที่หิริโอตตัปปะมีความสำคัญดังนี้  ท่านจึงกำหนดว่า  หิริโอตตัปปะ เป็น โลกปาลธรรม คือเป็น ธรรมรักษาคุ้มครองโลก เป็นธรรมที่ทำให้โลกดำรงอยู่ได้อย่างสันติสุข สงบเย็น น่าอยู่น่าอาศัย


             ที่กล่าวว่าศีล  ๕  รักษาโลก ก็สืบเนื่องมาจากความสำคัญข้อนี้นั่นเอง คือเพราะคนที่จะรักษาศีล ๕ ได้จำต้องมีหิริโอตตัปปะซึ่งเป็นธรรมรักษาคุ้มครองโลกเป็นพื้นฐานอยู่ในจิตใจ แต่คุณธรรมข้อนี้เป็นหลักใจ เป็นคุณธรรมที่อยู่ในใจ จะได้รับประโยชน์จากคุณธรรมคู่นี้ได้จำต้องอาศัยการปฏิบัติออกมาเป็นรูปธรรมคือการปฏิบัติตามหลักศีล ๕ นั่นเอง การปฏิบัติตามหลักศีล ๕ นั้นย่อมส่องความให้เห็นได้ชัดเจนและสามารถรักษาคุ้มครองโลกได้อย่างแท้จริงเพราะมีหิริโอตตัปปะเป็นพื้นฐาน ปฏิบัติได้ทำได้เพราะมีหิริโอตตัปปะคอยประคับประคองอยู่ภายใน


              ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าศีล ๕ รักษาโลก


            ตามข้อเท็จจริง  ศีล  ๕   เป็นหลักมนุษยธรรม  เป็นนิจศีล  เป็นคุณธรรมประจำตัวของคนเราทุกคนในโลก ผู้ใดจะรู้จักหรือไม่รู้จัก จะได้ศึกษาหรือไม่ศึกษา หรือไม่รู้เรื่องศีล ๕ เลย ศีล ๕ ก็ยังเป็นคุณธรรมประจำตัวของผู้นั้นอยู่ดีเพราะเป็นหลักมนุษยธรรมและเป็นนิจศีล ซึ่งมีประจำตัวของทุกคนอยู่แล้ว คือทุกคนปฏิบัติตัววางตนเป็นปกติวิสัยตามธรรมดากันอยู่แล้ว จึงอยู่ด้วยกันมาอย่างสุขสงบกัน เรื่องนี้สำคัญอยู่ที่การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน เมื่อปฏิบัติตรงตามหลัก คือ ไม่ฆ่ากัน ไม่ลักขโมยกัน ไม่ประพฤติผิดในกาเมประเวณีไม่โกหกหลอกลวงกัน ไม่ดื่มกินสุรายาเมา ก็ถือว่ามีศีล ๕ แล้ว


           เพราะแม้คนต่างชาติซึ่งไม่รู้จักศีล ๕ แต่เขาปฏิบัติตนตามหลักศีล ๕ ก็ชื่อว่ามีศีล ๕ และย่อมได้รับอานิสงส์ศีล ๕ เหมือนคนที่รู้และรักษาศีล ๕ กันเป็นปกติเช่นกัน


          ดังนั้น  จึงสามารถกล่าวได้เต็มปากว่า  “ศีล ๕ รักษาโลก”  ได้แน่นอนคือทำให้โลกอยู่เย็น คืออยู่แล้วเย็นกายเย็นใจ สบายกายสบายใจ ปลอดภัยทุกหนแห่ง


              แต่ข้อสำคัญคือผู้คนในโลกต้องปฏิบัติตามหลักศีล ๕ กันโดยทั่วถึง


           ในมุมที่แคบลงมา  หมู่บ้านใดผู้คนรักษาศีล  ๕  กัน  หมู่บ้านนั้นก็จะอยู่เย็นเช่นกัน ซึ่งหมู่บ้านเช่นนี้มีอยู่ในโลกไม่น้อย ผู้คนในหมู่บ้านนั้นย่อมรู้สึกได้ดีทีเดียวว่าที่ตนอยู่ดีมีสุขในชีวิตประจำวันได้เช่นนั้น ก็เพราะพวกตนประพฤติปฏิบัติตนกันอย่างไร แม้จะไม่เอ่ยถึงศีล ๕ เลย แต่สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติกันนั้นย่อมอยู่ในวงของศีล ๕ อย่างแน่นอน


           ในมุมที่แคบลงมาอีก  ในครอบครัวที่อยู่กันแค่พ่อแม่ลูก  ถ้าต่างก็ประพฤติปฏิบัติตามหลักศีล ๕ กัน ครอบครัวนั้นก็จะอยู่เย็น เป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสุขสบาย


           เมื่อครอบครัวและหมู่บ้านต่างรักษาศีล  ๕   กันเป็นส่วนใหญ่  ศีล  ๕   ก็จะตามดูแลรักษาครอบครัวและหมู่บ้านนั้น หากขยายใหญ่ไปจนถึงตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศ ผู้คนในถิ่นนั้นๆ ต่างรักษาศีลกัน ศีล ๕ ก็จะตามรักษาในทุกที่เมื่อขยายไปถึงระดับทั่วโลกได้ ศีล ๕ ก็จะตามรักษาโลก ทำให้โลกอยู่เย็นได้แน่นอน

 

2567%20%2007%20%2030%20b.jpg


         ที่กล่าวมาทั้งหมดค่อนข้างละเอียดนี้ก็เพื่อให้ทราบถึงเรื่องศีล   ความสำคัญของศีล   และประโยชน์ที่จะพึงได้จากการมีศีล ตลอดถึงโทษที่เกิดจากการละเมิดศีล ทั้งนี้เพื่อยืนยันว่าศีลสำคัญจริง เมื่อทราบอย่างนี้แล้วนอกจากจะได้ความรู้แล้วอาจได้ความคิดเห็นไปตาม อันจะเป็นแรงจูงใจให้ต้องการลดความเดือดร้อนของตัวเอง ของครอบครัว ของสังคม และของโลก ด้วยการหันมารักษาศีลตามสมควร ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ต้องคิดว่าตัวเองเล็กนิดเดียวหรือตัวคนเดียวจะทำอะไรได้มาก แท้ที่จริงแม้เราคนเดียวถ้ารักษาศีลได้ โลกก็เย็นลงได้ในระดับหนึ่งทีเดียว หากคนเดียวหลายๆ คนรวมกันเข้า ก็จะมีพลังมหาศาล ทำให้โลกเย็นลงได้มากแน่นอน


              เพราะฉะนั้น    ไม่ต้องคำนึงว่าคนอื่นเขาจะรักษาศีลหรือไม่รักษากันขอให้เราเป็นคนหนึ่งที่รักษาย่อมเป็นอันดีที่สุด ประเสริฐที่สุด เป็นกำไรชีวิตสำหรับตน และจะมีผลเป็นบุญเป็นกุศลอำนวยสุขให้ตนไปตลอด

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.03375194867452 Mins