หายหัวไปไหน
คุณนายคนหนึ่งมีนิวาสสถานอยู่ในเขตเทศบาลเมืองแห่งหนึ่งทุกเช้าจะมีพระออกรับบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านจำนวนมาก คุณนายใส่บาตรทุกวันๆ ละ ๙ รูป มาปีนี้อายุครบ ๗๒ ปี ๖ รอบนักษัตรคุณนายตั้งใจจะใส่บาตร ๗๓ รูป ก่อนงานวันหนึ่งจึงเตรียมข้าวของไว้สำหรับใส่บาตร สั่งลูกหลานให้ตื่นแต่ตีสี่ มอบหน้าที่ให้แต่ละคนทำโดยเฉพาะเรื่องหุงข้าวและทำอาหารทั้งคาวหวาน เสร็จสรรพแล้วคุณนายก็เข้านอน ส่วนลูกๆ ที่ได้รับมอบหมายก็จัดเตรียมของไว้ปรุงกันจนเกือบเที่ยงคืนจึงเข้านอน คุณนายนอนอยู่ชั้นบนตื่นแต่ตีสี่ อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ในห้อง ไม่ได้ลงไปดูข้างล่างด้วยวางใจลูกๆ ว่ามอบหมายกันเสร็จแล้ว จนถึงตีห้าคุณนายก็เดินลงมา เห็นที่ครัวยังปิดเงียบ เอะใจรีบไปที่ห้องลูกๆ ก็เงียบหมด แสดงว่ายังไม่ตื่นกันคุณนายก็เกิดอารมณ์ เดินทุบประตูห้องลูกๆ เสียงดังลั่นไปทั้งบ้านลูกๆ ตื่นขึ้นมาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว จึงรีบลุกออกมาเผชิญหน้าแม่ที่กลายเป็นหน้ายักษ์อยู่หน้าห้อง
“นี่พวกแก ตีห้ากว่าแล้วนะ ทำไมไม่หุงข้าวทำกับข้าวกัน แม่สั่งให้ทำแต่ตีสี่นะ”
“ขอโทษค่ะคุณแม่ พวกหนูหลับเผลอไป คุณแม่ไปแต่งตัวรออยู่ในห้องดีกว่าค่ะ รับรองทันแน่”
คุณนายไม่ยอมขึ้นห้อง เข้าครัวบงการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้พร้อมทั้งบ่นไปด่าไปตามเรื่องด้วยอารมณ์หงุดหงิด ลูกหลานทุกคนกุลีกุจอกันเต็มที่ หน้าตาเนื้อตัวเหงื่อโชก เพราะตื่นมายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันเลยและต้องมารีบเร่งทำอาหารกันอีก กว่าจะสำเร็จได้ก็หกโมงกว่าแล้ว ทุกคนรวมทั้งคุณนายรีบเข้าห้องอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่แบบลวกๆ ยกอาหารไปตั้งหน้าบ้าน กว่าจะเรียบร้อยก็ประมาณ ๗ โมงเศษคุณนายตักบาตรด้วยอารมณ์ค้างอยู่ พระมาประปราย ไม่มียืนเข้าแถวเรียงลำดับเหมือนที่เคยพราะเป็นเวลาสายแล้ว พระที่เดินบิณฑบาตทยอยกลับวัดเป็นส่วนใหญ่แล้ว คุณนายเห็นพระมารับบาตรน้อยก็ใจเสีย ของยังเหลืออีกกว่าครึ่ง จึงหันมาบ่นใส่ลูกหลานที่ยืนส่งของให้
“นี่เห็นไหม พระกลับวัดหมดแล้ว”
ลูกหลานก็ได้แต่นิ่ง ขืนต่อปากต่อคำเป็นได้โดนทัพพีโขกหัวแน่นอนรอพระจนเกือบแปดโมง พระไม่มาอีกแน่แล้ว คุณนายรู้สึกเสียใจที่ตักบาตรวันสำคัญได้ไม่ครบจำนวนตามต้องการ จึงหันมาเล่นงานลูกหลานและบ่นไปด้วยอารมณ์บูดตามเคย
“เป็นเพราะพวกแกทีเดียว ของเหลือบานเบอะเลย แล้วจะทำไงกัน พระก็เหมือนกัน ทุกวันเดินกันให้ครึ่ดไปเชียว วันนี้ไม่รู้หายหัวไปไหนหมด มาไม่กี่องค์”
พระก็พลอยโดนหางเลขไปด้วยตกลงว่าคุณนายตักบาตรได้ไม่หมดตามที่ต้องการ แถมได้อารมณ์บูดตั้งแต่เช้า ไม่แน่ใจว่าวันนั้นอารมณ์ยังจะค้างอยู่อีกหรือเปล่า ลูกหลานจะโดนอีกที่ยกก็ไม่ทราบ
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
เรื่องการทำบุญเป็นเรื่องของจิตใจและเจตนา ต้องประคับประคองสภาพจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใสไว้ให้ได้ตลอดสายทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังจากทำแล้ว จึงจะได้ผลบุญเต็มที่หากมีอะไรมาทำให้จิตใจขุ่นมัวเศร้าหมองในระหว่างที่จะทำให้ผลลดน้อยลง ถ้าสามารถประคับประคองใจให้แช่มชื่นเบิกบานทำด้วยความตั้งใจและเต็มใจ ไม่เสียดายภายหลัง มีปัญหามีข้อติดขัดอันใดในระหว่างการทำบุญก็แก้ไขไปด้วยจิตใจปกติยิ้มแย้มแจ่มใส เห็นเป็นเรื่องธรรมดาเสีย ก็จะไม่มีอันตรายมาขัดขวางทางบุญได้เลย การทำบุญนั้นถ้ารู้จักทำและทำด้วยความเข้าใจด้วยความฉลาดย่อมได้บุญสมประสงค์แน่นอน ที่ว่ากันว่าทำบุญไม่ได้บุญนั้นก็ต้องหันมาสำรวจกันดูว่าขณะทำบุญนั้นใจเปิดรับบุญได้แค่ไหน ใจใสสะอาดแค่ไหน หรือมีอารมณ์อย่างไร บางทีจะเข้าใจได้เองว่าทำบุญแล้วไม่ได้บุญนั้นเป็นเพราะเหตุใด