ยอดนักด่า
สมัยพุทธกาล พราหมณ์คนหนึ่งชื่ออักโกสกะ ได้ยินข่าวว่าเพื่อนรักซึ่งเป็นพราหมณ์ด้วยกันบวชเป็นภิกษุไปแล้วจึงไม่พอใจพระพุทธเจ้าที่เทศน์จนเพื่อนพราหมณ์บวช คิดแล้วก็รีบวิ่งไปที่วัดเวฬุวันด้วยความโกรธแค้น พบพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่กุฏิพอดีจึงสวมวิญญาณนักว่าบรรเลงเพลงด่าเป็นชุดเลยด้วยคำหยาบคายชนิดที่เขียนออกมาเป็นตัวหนังสือก็ยังหยาบอยู่ ด่าอยู่หลายชุดจนกระทั่งเหนื่อย แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงนิ่งเฉยไม่โต้ตอบ ไม่แสดงกิริยายินดียินร้ายอะไร พราหมณ์ก็ยิ่งโกรธหนักขึ้น หายเหนื่อยแล้วก็ด่าอีกชุดแถมท้าย ในที่สุดก็หมดแรง ความโกรธค่อยลดดีกรีลงพระพุทธเจ้าทรงเห็นพราหมณ์หยุดด่าด้วยหมดแรงจึงตรัสถามว่า “ด่าหมดหรือยังท่านพราหมณ์”
“หมดแล้ว” พราหมณ์ตอบแบบหมดสภาพความเป็นยอดนักด่า
“ท่านพราหมณ์ ท่านคงทราบดีและคงปฏิบัติอยู่ คือเมื่อญาติพี่น้องหรือมิตรสหายของท่านมาเยี่ยมบ้าน ท่านย่อมจัดน้ำจัดท่าบ้าง อาหารบ้าง ผลไม้บ้าง ขนมบ้างออกมาต้อนรับตามธรรมเนียมขอถามหน่อยเถอะท่านพราหมณ์ เมื่อแขกที่มาเยี่ยมเยียนนั้นไม่รับของต้อนรับเหล่านั้น ของเหล่านั้นจะเป็นของใคร”
“ก็เป็นของข้าพเจ้าเอง” พราหมณ์ตอบพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ก็เหมือนกันแหละท่านพราหมณ์ ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าตอบ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธตอบ เราไม่ขอรับคำด่าและความโกรธของท่าน เมื่อเราไม่รับ คำด่าและความโกรธของท่านก็กลับไปเป็นของท่านแต่ผู้เดียวนั่นแหละ”
พราหมณ์โดนไม้นี้เข้าถึงกับนิ่งเงียบไม่กล้าด่าอีก พระพุทธเจ้าจึงทรงเทศน์สั่งสอนพราหมณ์ให้เห็นโทษแห่งความโกรธและการเอาชนะความโกรธให้ได้ พราหมณ์ได้ฟังเทศน์แล้วก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขอบวชในพระพุทธศาสนาตามเพื่อนที่บวชปฏิบัติธรรมล่วงหน้าไปแล้ว
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
ความโกรธนั้นเป็นไฟที่เกิดในใจ แม้ว่าจะเกิดง่ายและหายเร็ว แต่ก็มีโทษรุนแรง มีผลร้ายแรง เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมเผาคนผู้นั้นให้เร่าร้อน ให้ขุ่นเคือง และให้หม่นไหม้ไปเรื่อยๆทำให้นั่งก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่เป็นสุข ครุ่นคิดแต่จะหาทางทำลายล้างสิ่งหรือคนที่ตนโกรธ ลุกลามเรื่อยไปเหมือนไฟลามทุ่ง ท่านว่าคนโกรธนั้นเป็นคนเลวอยู่แล้ว แต่ผู้ที่โกรธตอบผู้ที่โกรธแล้วกลับเลวยิ่งกว่า บุคคลที่ไม่โกรธตอบต่อบุคคลที่โกรธแล้วชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้โดยยาก ผู้ใดรู้ว่าคนอื่นเขาโกรธ ตัวเองพยายามตั้งสติไม่โกรธตอบ ไม่ด่าตอบ ไม่ทำร้ายตอบ อดทนอดกลั้น สงบกายสงบวาจาไว้ได้ ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนที่โกรธนั้น แต่เมื่อเราทำอย่างนี้พวกคนพาลมักจะมองว่าเราเป็นคนโง่เขลา เป็นคนขี้ขลาด เป็นคนไม่สู้คน ก็ให้เขาว่าไปเถิด เพราะคำของคนพาลนั้นท่านสอนกันมาว่าไม่ควรให้น้ำหนักถึงกับเก็บมาใส่ใจหรือเก็บมาคิดให้วุ่นวายใจอยู่แล้ว