พระอุ้มผู้หญิง

วันที่ 26 สค. พ.ศ.2567

พระอุ้มผู้หญิง


670826_b176.jpg
                 หลวงพ่อนิกายเซ็นรูปหนึ่งมีชื่อเสียงทางสอนศิษย์ให้สำเร็จทางธรรมได้ยอดเยี่ยมจนมีผู้เคารพนับถือและยอมตนเป็นศิษย์กันมากมาย มีกระทาชายนายหนึ่งมาสมัครเป็นศิษย์ของหลวงพ่อโดยขอบวชรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ หลวงพ่อก็อนุญาตด้วยเห็นแววเป็นคนฉลาดและตั้งใจจริง เขาดีใจมากที่ได้บวชสมใจ จึงยินดีรับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อ ปัดกวาดเช็ดถูกุฏิที่พัก จัดอาหาร ซักผ้าเครื่องนุ่งห่มจัดน้ำร้อนน้ำชาถวาย หลวงพ่อไปไหนก็สะพายย่าม ถือร่ม และหอบหิ้วสิ่งของที่จำเป็นติดตามไปด้วยทุกครั้ง


                 บวชได้หลายเดือนแล้ว เธอได้เรียนรู้การปฏิบัติตนตามระเบียบวินัยสงฆ์มหายานจากหลวงพ่อ ได้เรียนรู้การฝึกฝนจิตจากหลวงพ่อและเมื่อหลวงพ่อเทศน์ให้คนอื่นฟัง เธอก็ได้ฟังด้วยเพราะนั่งปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ แต่เธอมีความรู้สึกว่าตนยังไม่ได้บรรลุธรรมอะไรทั้งที่ตั้งใจปฏิบัติและเห็นว่าตนเป็นคนฉลาดสามารถฟังธรรมและปฏิบัติตามที่หลวงพ่อสอนได้ทุกอย่าง แต่ก็มิได้ท้อแท้อะไร ยังคงก้มหน้าก้มตาปรนนิบัติหลวงพ่อและปฏิบัติธรรมไปตามปกติ


                 วันหนึ่งหลวงพ่อพาเธอไปธุระต่างเมือง พระหนุ่มสะพายสัมภาระตามหลวงพ่อไปด้วยเหมือนเคย ในระหว่างทางต้องข้ามแม่น้ำตื้นๆ แต่มีกระแสเชี่ยวกรากสายหนึ่ง ขณะที่กำลังลุยข้ามไปนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งลอยตามน้ำมาพร้อมทั้งร้องให้ช่วยเพราะเธอว่ายน้ำไม่เป็น พระหนุ่มไม่สามารถช่วยได้เพราะแบกสัมภาระอยู่ ส่วนหลวงพ่อไม่ได้ถืออะไรจึงหยุดรออยู่กลางน้ำจนกระทั่งหญิงคนนั้นลอยมาถึงจึงอุ้มเธอขึ้นแล้วไปวางไว้ใต้ร่มไม้ต้นหนึ่ง รอดูจนเธอปลอดภัยดีแล้วจึงชวนศิษย์เดินทางต่อไป


                 หลังจากไปกับหลวงพ่อและกลับมาแล้ว พระหนุ่มเริ่มมีอาการผิดปกติ ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนเคย เข้าไปดูแลปรนนิบัติหลวงพ่อก็ไม่ค่อยสนิทใจ ทำไปอย่างเสียไม่ได้ และไม่กล้าสบตาหลวงพ่อตรงๆเป็นอยู่อย่างนี้หลายวันจนหลวงพ่อจับอาการได้ จึงเรียกเข้าไปถาม 

“นี่เธอ เธอเป็นอะไรไปดูเหมือนจะไม่สบายใจบางอย่าง นับแต่กลับจากต่างเมืองมานี่เธอดูแปลกไปนะ เธอมีอะไรในใจหรือ”

เมื่อถูกหลวงพ่อถามตรงๆ ตอนแรกเธอก็ได้แต่นั่งก้มหน้าไม่กล้าพูด แต่พอหลวงพ่อคาดคั้นเข้าจึงเงยหน้าขึ้นตอบสั้นๆ ว่า


“หลวงพ่อครับ กระผมไม่สบายใจ เพราะวันนั้นผมเห็นหลวงพ่ออุ้มผู้หญิง ผมคิดว่าศีลของหลวงพ่อขาดไปแล้ว หลวงพ่อไม่บริสุทธิ์เพราะจับต้องกายหญิง ผมจึงคิดมาก ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไปแล้ว”


หลวงพ่อฟังเธอพูดจบแล้วก็ยิ้มๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบที่หนึ่ง วางถ้วยลงแล้วก็พูดกะเธอว่า


“นี่เธอ ฉันน่ะวางผู้หญิงไว้ที่โคนต้นไม้นั้นมาตั้ง ๕ วันแล้วแต่เธอยังอุ้มผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกหรือนี่”


พระหนุ่มได้ยินหลวงพ่อพูดดังนั้น ด้วยความเป็นคนฉลาดจึงคิดได้ทันทีว่า


“เออจริงสินะ หลวงพ่ออุ้มผู้หญิงคนนั้นด้วยหมายช่วยชีวิตนาง เมื่อวางนางลงแล้วก็แล้วกันไป ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์อีก ส่วนเราสิกลับนำเอาเรื่องนี้มาเป็นอารมณ์ ทำให้คิดมาก เท่ากับว่ายังยึดถือยังอุ้มเรื่องนี้ไว้ทำให้เกิดความกลัดกลุ้มไม่สบายใจอยู่ตั้งหลายวัน”


พอเธอคิดได้อย่างนี้ก็ถอนความยึดมั่นถือมั่นที่ภาษาทางศาสนาเรียกว่าอุปาทานออกไปจากความคิดเสียได้ จิตของเธอก็ผ่องแผ้วและได้สำเร็จธรรมในที่สุด


เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า

                  คนเรานั้นชอบเก็บเอาเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นเรื่อง ชอบเอาเรื่องที่ล่วงเลยมาแล้ว ชอบเอาเรื่องที่ยังไม่เกิดยังไม่มีมาคิดแล้วก็กลุ้มใจไม่สบายใจ อันที่จริงความทุกข์ใจนั้นส่วนใหญ่เกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมให้อภัยยอมให้กันไม่ได้ ต้องเอาชนะให้ได้ เป็นต้น เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เครียด ทำให้กลุ้ม ทำให้ร้อนใจร่ำไป เหมือนอุ้มไฟไว้ในอก เหมือนตกนรกอยู่คนเดียว ถ้ารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ให้อภัยเป็นบ้าง ยอมให้กันบ้าง ลดทิฐิมานะลงบ้าง ความกลัดกลุ้มสุมทรวง ความเคียดแค้นชิงชัง หรือความเครียดก็จะดับมอดไป มีแต่ความปลอดโปร่งโล่งใจ หายใจได้ทั่วท้อง ไม่อึดอัดคับข้องอีกต่อไป เหมือนท่อน้ำที่ต้นด้วยขยะมูลฝอยทำให้น้ำขังเน่าเหม็น หากทะลวงขยะออกไปได้ น้ำก็จะไหลได้สะดวก ไม่อุดตัน ไม่เน่าเหม็นต่อไป แต่คนเราชอบเก็บขยะเน่าเหม็นไว้ในใจ ชอบแบกความคิด แบกศักดิ์ศรี แบกทิฐิมานะกันไว้จนเต็มอก จึงอารมณ์บูด จึงเครียด จึงกลัดกลุ่มกันอยู่ตลอดเวลา และไม่อาจเข้าถึงธรรมได้ ทั้งที่เป็นนักปฏิบัติธรรมตัวยง

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.045849335193634 Mins