สามเณรบรรลุธรรม
ระหว่างสามเณรน้อยเดินทางกลับมายังกุฏิ พระอินทร์ก็ร้อนอาสน์ขึ้นมาทันที จึงทรงมองลงมาด้วยทิพยจักษุ เห็นว่าวันนี้สามเณรบัณฑิตมีรัศมีสว่างไสวดวงบุญเจิดจ้า เป็นนิมิตหมายว่าจะต้องบรรลุธรรมอย่างแน่นอน ดังนั้นเดี๋ยวเราจะต้องลงไปอารักขาเฝ้าอยู่ที่ประตู จะล็อกกุญแจไม่ให้ใครเปิดได้
เราจะให้ท้าวจาตุมหาราชิกาทั้ง ๔ ลงไปอารักขารอบนอกกุฏิ ซึ่งมีสิงสาราสัตว์ เช่น นกอาจส่งเสียงร้องรบกวนสามเณรได้ ต้องให้ระดับจอมเทพบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาช่วยปราบนก ปราบเสียงสัตว์ต่างๆ
แล้วไปบอกสุริยเทพบุตรกับจันทรเทพบุตร ให้ไปรั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ไว้ เรียกได้ว่าระบบสุริยจักรวาลถูกล็อกไว้หมดเป็นเวลาชั่วคราว เพื่อให้สามเณรได้ทำความเพียรเต็มที่ เพราะวันนี้ท่านมีรัศมีเจิดจ้า จะต้องบรรลุมรรคผลนิพพานอย่างแน่นอน
อีกทั้งสามเณรก็เข้าไปอยู่ในข่ายพระญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าวันนี้สามเณรบัณฑิตจะได้บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในศาสนาของพระองค์ แต่ว่าพระสารีบุตรพระอุปัชฌาย์ของสามเณร เมื่อกลับมาจากบิณฑบาตแล้วไม่ทราบถึงกาลบรรลุธรรมของสามเณร อาจจะเข้าไปเรียกสามเณรให้ออกมาฉันภัตตาหาร ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อการบำเพ็ญสมณธรรมของสามเณรในขณะนั้น พระพุทธองค์จึงทรงดำริว่า เราจะต้องไปดักพระสารีบุตรที่ปากประตูทางเข้าวัด เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ให้สามเณรบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย ถึงขนาดโกลาหลกันทีเดียว เพราะทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งท้าวสักกเทวราช ท้าวมหาราชทั้ง ๔ สุริยเทพและจันทรเทพ ก็ยังลงมาช่วยกันอย่างนี้ แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน คือ พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงสงเคราะห์มหาทุคตะด้วยการยื่นบาตรให้ รับอาราธนาไปฉันภัตตาหารที่บ้านมหาทุคตะ และพระพุทธเจ้าของเราพระองค์ปัจจุบันนี้ก็ทรงสงเคราะห์ด้วยการไปยืนดักพระสารีบุตรที่ปากประตูทางเข้าของวัดป่า
เป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่า เมื่อใครก็ตามมีจิตใจที่แน่วแน่ในการสร้างบารมี บำเพ็ญสมณธรรมแล้ว แม้แต่เทวดาหรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะช่วยส่งเสริมให้สำเร็จได้เป็นอัศจรรย์ ดังเช่นสามเณรบัณฑิตผู้มีบุญมาก
ทางด้านสามเณรบัณฑิต วันนี้ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในภพซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า เด็กวัย ๗ ขวบสามารถคิดเช่นนี้ได้ แต่เราจะดูเพศภาวะ ๗ ขวบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูเข้าไปในกลางกายของท่าน ธาตุธรรมบารมีของท่านแก่รอบ สั่งสมบุญบารมีมามาก ร่างเป็นเด็ก แต่ว่าข้างในเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มีสติปัญญากว้างไกล มองเห็นได้ไกลกว่าคนธรรมดาเหมือนคนที่มีกล้องส่องทางไกล ถ้าใครไม่มีก็เห็นแค่ใกล้ๆ
สามเณรบัณฑิตท่านเปรียบเสมือนผู้ที่มีกล้องส่องทางไกล คือ มีดวงปัญญาที่สั่งสมมาเต็มเปี่ยมแล้ว เลนส์ใจเกิดขึ้น ระหว่างที่เดินกลับมาก็นึกคิดไปเรื่อยๆ ก่อนจะถึงอาศรมว่า “จิตฝึกได้ จิตฝึกได้ ไม้ก็ดี ศรก็ดี น้ำก็ดี ไม่มีจิต ยังฝึกได้ เรามีจิต เราฝึกได้” คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้
จนกระทั่งเข้าไปนั่งในกุฏิ ล็อกกุญแจอย่างดีตามคำสั่งของพระอุปัชฌาย์แล้วก็บำเพ็ญสมณธรรมทันที ไม่ให้เสียเวลาเลย ไม่เหมือนบางคนที่กว่าจะลงมือปฏิบัติธรรมได้นั้น บางทีก็โอ้เอ้ บางทีก็มัวแต่ไปให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นๆก่อน เสียเวลาไปมากมาย ถ้าใครยังเป็นอย่างนี้ ก็ยังอีกนาน
ถ้าอยากจะบรรลุธรรมเร็ว ๆ จะต้องเหมือนสามเณรบัณฑิต ที่พอนั่งบนอาสนะเท่านั้น สะเทือนถึงสวรรค์ พระอินทร์พร้อมทั้งท้าวจาตุมหาราชิกาหรือท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ได้แก่ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสวัณ ท้าวธตรฐ ซึ่งเป็นผู้ปกครองทิศต่างๆ และปกครองครุฑ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ก็ยังลงมาเองเลย เพื่อมาทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ คือ มารักษาบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการประพฤติปฏิบัติธรรม เช่น การที่มาช่วยป้องกันไม่ให้นกเข้ามาส่งเสียงในรัศมีที่สามเณรบัณฑิตกำลังนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ ซึ่งท่านก็ทำด้วยเทวฤทธิ์ของท่าน และการอธิษฐานจิตด้วยบุญของสามเณรบัณฑิต
สังเกตเห็นไหมว่า เวลาเทวดาจะบันดาลสิ่งใดให้ใคร ต้องอ้างถึงบุญของบุคคลนั้นๆ เช่น บุญของสามเณรบัณฑิต วันไหนที่เราจะบรรลุธรรม ถ้าเทวดาเขาจะลงมาช่วย เขาก็ต้องอ้างบุญของเรา
ขณะยืนอยู่กลางอากาศนั้น พระอินทร์ได้อ้างบุญของสามเณรบัณฑิตแล้วก็นำไปรวมกับเทวานุภาพ พอถูกส่วนรวมกัน แสงวาบสว่างเกิดขึ้นเข้าไปทะลวงถึงในจิตในใจของสัตว์ทั้งหลาย สว่างวาบไปหมด สัตว์ที่อยู่ใต้ดิน บนดิน ในน้ำ บนฟ้า หรือในที่ทุกหนทุกแห่ง สงบนิ่งหมดเลย มีอาการเหมือนหลับ สงบนิ่ง ไม่มีเสียงเลย นี่คือเทวานุภาพประกอบด้วยบุญญานุภาพของสามเณรบัณฑิต
ส่วนพระอินทร์เฝ้าอยู่ตรงประตู ท่านล็อกประตูไว้เลย ยืนอยู่ตรงนั้น ใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้ ท่านยืนบังไม่ให้เห็นกุฏิด้วยซ้ำไปในช่วงที่สามเณรกำลังทำความเพียรอยู่ ระบบสุริยจักรวาลหยุดชั่วคราวสามเณรก็หยุดใจไปตามลำดับภายในเรื่อยไป จนกระทั่งเสร็จกิจ ๑๖ ไม่ตกกันดาร นิพพานก็เป็นที่ไป พอเสร็จกิจ ๑๖ ท่านก็ตรวจตราดูด้วยหยุดกับนิ่ง จนกระทั่งเข้าถึงกายธรรมโคตรภู ดูอริยสัจ ๔ ในกายมนุษย์หยาบ-ละเอียด ด้วยรอบ ๓ อาการ ๑๒ มีสัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ ดูทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ด้วยธรรมกายท่านดูรวดเดียวกิเลสหลุดล่อนหมดใจติดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกายธรรมอรหัต
ฝ่ายพระสารีบุตรฉันเสร็จแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะเดินกลับได้ในทันทีเพราะว่าท่านเป็นธรรมเสนาบดี อัครสาวกเบื้องขวา ใครๆ ก็อยากจะมากราบท่านพระเถระจึงต้องสนทนากับญาติโยมบ้าง คุยไปคุยมาเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปท่านจึงเตรียมจะกลับ แต่ก่อนจะกลับ ทานบดีก็นำข้าวคลุกปลาตะเพียนที่มีรสเลิศอร่อยกลมกล่อมใส่ลงในบาตรพระสารีบุตร จากนั้นพระสารีบุตรได้กล่าวอนุโมทนาคาถา ทุกคนก็ได้อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ครบหมด
เมื่อพระสารีบุตรเดินกลับมาถึงกุฏิ ในขณะนั้นสุริยเทพและจันทรเทพได้หยุดระบบสุริยจักรวาลเอาไว้ ท้าวจตุโลกบาลก็เปล่งรัศมีให้สัตว์ทุกตัวเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ ส่วนท้าวสักกเทวราชก็ดักอยู่ที่หน้าประตู พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า วันนี้สามเณรบัณฑิตจะบรรลุธรรม แต่เกรงว่าพระสารีบุตรที่กำลังรีบมาด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าสามเณรจะอดข้าวเพราะเลยเวลาฉัน จะเข้าไป
ขัดจังหวะการบรรลุธรรมของสามเณร พระองค์จึงทรงไปดักรอพระสารีบุตรไว้ก่อน
เมื่อพระสารีบุตรเดินกลับมา ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงถามคำถามกับพระสารีบุตรว่ า “อาหารนำมาซึ่งอะไร” พระสารีบุตรตอบว่า “อาหารนำมาซึ่งเวทนา” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถามต่อว่า “แล้วเวทนานำมาซึ่งอะไร” “เวทนานำมาซึ่งรูป” พระสารีบุตรตอบและพระพุทธองค์ทรงถามคำถามสุดท้ายว่า “แล้วรูปนำมาซึ่งอะไร” “รูปนำมาซึ่งผัสสะ” พระสารีบุตรตอบ
ในปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามนั้น อธิบายได้ว่า อาหารนำมาซึ่งเวทนา หมายความว่า เมื่อความหิวเกิดขึ้น ก็เป็นทุกขเวทนา เมื่อได้กินอาหารแล้ว พอฉันเสร็จเรียบร้อยก็มีสุข อาหารจึงนำมาซึ่งสุขเวทนา เวทนานำมาซึ่งรูป หมายความว่า เมื่อมีความสุขร่างกายก็จะมีความกระปรี้กระเปร่า มีวรรณะ คือ รูปกายที่เอิบอิ่ม ผ่องใส รูปนำมาซึ่งผัสสะ หมายถึง เมื่อมีความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าแล้ว จะรู้สึกว่ามีความสบายอย่างที่เรียกว่า เป็นสุขสัมผัส
เมื่อพระเถระแก้ปัญหาที่พระศาสดาตรัสถามจบลงแล้ว ในขณะนั้นสามเณรบัณฑิตได้ทำความเพียรจนกระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบแล้วด้วยญาณทัสสนะ จึงทรงหลีกทางให้พระสารีบุตร เมื่อพระเถระไปถึงกุฏิ ก็พบพระอินทร์และเหล่าเทวดาจึงได้ทราบว่า สามเณรบัณฑิตบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว เพราะรัศมีสว่างเจิดจ้าสว่างมาก เหล่าเทวดาทั้งหลายต่างเปล่งอนุโมทนาสาธุการ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นอีก ๑ รูปแล้ว
เมื่อสามเณรบัณฑิตบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เปิดประตูออกมารับพระอุปัชฌาย์ แล้วจัดน้ำท่ามาดูแลอุปัฏฐากท่าน หลังจากนั้นพระสารีบุตรได้มอบบาตรที่ใส่อาหารเลิศรส คือ ข้าวคลุกปลาตะเพียนให้แก่สามเณรบัณฑิต สามเณรขบฉันด้วยความปีติเบิกบานทั้งภายในและภายนอกภายในก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ภายนอกก็ชื่นใจด้วยข้าวคลุกปลาตะเพียน ที่ติดตราตรึงใจมาข้ามชาติ
พอฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยเก็บเข้าที่เท่านั้น สุริยเทพกับจันทรเทพก็ได้สัญญาณจากท้าวสักกะให้ปล่อยระบบสุริยจักรวาล ทันทีที่ปลดล็อก เวลาในขณะนั้นก็กลายเป็นเวลาบ่ายไปเสียแล้ว ชาวเมืองจึงได้ร่ำลือกันด้วยความสงสัยว่า เมื่อสักครู่ยังเห็นเป็นเวลาเช้า แต่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเวลาบ่ายไปได้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
สามเณรบัณฑิตได้บรรลุมรรคผลนิพพาน สมความปรารถนาที่ตั้งใจไว้เมื่อทำบุญทุกครั้งว่า นิพพานะปัจจะโย โหตุ เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราทุกคนทำบุญต้องอธิษฐานกำกับทุกครั้งด้วยว่า “นิพพานะปัจจะโย โหตุ” ไม่ว่าเราจะทำบุญ อะไรก็ตาม คำอธิษฐานนี้ต้องไม่ลืม
เมื่อสามเณรบัณฑิตเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงระลึกชาติหนหลังตรวจตราดูว่า บุญอะไรที่ทำให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บรรลุเป้าหมายของชีวิต ท่านได้เห็นการสร้างบารมีของตนเองตามลำดับเรื่อยมา จนกระทั่งมาเป็นมหาทุคตะและได้ถวายข้าวรสเลิศที่ตราตรึงใจข้ามชาติ คือ ข้าวคลุกปลาตะเพียนแล้วมีฝนรัตนชาติตก เมื่อเห็นไปตามลำดับดังนั้น ความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นพลันบังเกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมเนียมของผู้บรรลุมรรคผลนิพพาน เมื่อบุคคลมาถึงจุดสูงสุดนี้ก็จะอยากรู้ว่า อะไรทำให้ตนมาถึงจุดหมายปลายทางของชีวิตในสังสารวัฏได้ แล้วก็จะตรวจตราดูตรงนั้นเลย ณ อาสนะที่นั่งเดียวกันกับที่ตนบรรลุธรรมตรงนั้น ยิ่งได้ตรวจตราดูก็ยิ่งปลื้มปีติมาตลอดเลย มองเห็นแต่บุญอย่างเดียว ได้เห็นว่าตนได้ทำบุญนั้น บุญนี้ ทั้งบุญเล็ก บุญน้อย บุญใหญ่ บุญทุกชนิด เห็นแล้วก็ยิ่งปลาบปลื้ม