ผ้าเหลืองหายตัว
สามีภรรยาคู่หนึ่งประกอบอาชีพทำไร่อยู่ชายป่านอกเมือง มีฐานะยากจน มีรายได้พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ต่อมาภรรยาตั้งครรภ์และเกิดแพ้ท้องอย่างรุนแรง อาการแพ้ท้องนั้นค่อนข้างประหลาดคือนางต้องการได้กินอาหารจากพระหัตถ์ของพระราชา สามีถึงกับโอดครวญว่าจะไปหาได้ที่ไหน ในรั้วในวังก็ไม่เคยไป คนจนอย่างเราจะเข้าเฝ้าพระราชาได้อย่างไร ภรรยาก็ตอบว่าถ้าไม่ได้อาหารนั้นมา ก็คงต้องอาเจียนตายแน่นอน
ด้วยความรักในภรรยาและกลัวภรรยาจะทรมานจากอาการแพ้ท้อง เขาจึงคิดหาวิธีที่จะได้อาหารพระราชทานมา นอนคิดทั้งคืน แต่ก็คิดไม่ออก เช้ามืดจึงรีบไปที่วังเพื่อหาลู่ทาง ถึงประตูวังแล้ว แอบอยู่ในที่กำบังแห่งหนึ่ง พอสายหน่อยประตูวังก็เปิด ขณะนั้นเขาเห็นเจ้าหน้าที่เตรียมโต๊ะมาตั้งแล้วนำอาหารหลายอย่างมาวางไว้ ไม่ช้าก็มีพระสงฆ์หลายรูปเดินแถวมาจากที่หนึ่ง ขณะนั้นพระราชาเสด็จออกมา ทรงใส่บาตรพระสงฆ์ที่เรียงกันเข้าไปรับบิณฑบาต พระราชาใส่ไปตามลำดับจนหมดองค์สุดท้ายแล้วเสด็จกลับ
เขาเห็นอย่างนั้นก็เห็นทางที่จะได้อาหารจากพระราชา เขากลับไปบ้านบอกภรรยาว่ามีธุระจะต้องไปค้างคืนที่อื่น ภรรยาก็ไม่ว่ากระไร ตกเย็นเขาจึงออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังวัดแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมือง ขอร้องให้พระสงฆ์ช่วยโกนหัวให้โดยบอกว่าอยากจะบวช พระสงฆ์ท่านก็อนุเคราะห์โกนหัวให้ เขาหลบออกจากวัดมาแล้วรอเวลาจนถึงดึกจึงกลับเข้าไปในวัดใหม่ แล้วขโมยบาตรและผ้านุ่ง ผ้าห่มของพระที่ท่านพึ่งลมไว้ที่ระเบียงกุฏิหลังหนึ่ง ได้มาแล้วก็ออกจากวัด ถึงกลางทาง ในที่เปลี่ยวก็ลองหัดนุ่งห่มดู นึกถึงภาพพระที่เห็นเมื่อวาน หัดห่มอยู่หลายตลบจนพอจะไม่หลุดลุ่ยได้แล้วจึงเข้าไปในเมือง แอบรออยู่ที่ประตูวัด ที่อยู่ใกล้วังจนถึงเช้า เมื่อพระวัดนั้นเข้าแถวแล้ว ออกไปรับบาตรที่วังเหมือนเคย เขาก็เดินตามพระไปห่างๆ เมื่อพระเข้าไปรับบาตรตามลำดับ เขาก็ยิ่งเกรงกลัวจะถูกจับได้ แอบมองดูวิธีเปิดบาตรรับอาหารจากพระหัตถ์จนมั่นใจว่าพอจะทำได้ เมื่อมาถึงลำดับตัวเองซึ่งเป็นสุดท้ายก็ค่อยๆ ก้าวเข้าไปเปิดบาตรรับอาหาร มือเท้าเย็นเฉียบ แต่ก็สะกดใจสำรวมแน่ว เกร็งมือเกร็งเท้าไว้มิให้สั่น พอรับบาตรได้แล้วก็เดินกลับ ตามหลังพระหมู่นั้นไป
ฝ่ายพระราชาทรงสังเกตเห็นพระรูปสุดท้ายที่มารับบาตรว่าสำรวมแน่ว ไม่เงยหน้ามองตรงเหมือนรูปอื่น ทรงเกิดความสงสัยว่าน่าจะเป็นพระที่มีปฏิปทาสูงส่ง มีระเบียบวินัยเคร่งครัด จึงรับสั่งให้มหาดเล็กผู้ใหญ่คนหนึ่งติดตามไปดู“ตามพระองค์สุดท้ายไปดูซิว่าท่านอยู่ที่ไหน คงจะไม่ใช่พระธรรมดาแน่ๆ”มหาดเล็กจึงติดตามแถวพระไปห่างๆ เมื่อไปไกลแล้วเห็นพระรูปสุดท้ายเดินแยกกลุ่มออกมา แล้วเดินดุ่มไปนอกเมืองอย่างเร่งรีบ มหาดเล็กก็ตามไปห่างๆ เห็นท่านเปลื้องผ้าจีวรที่นุ่งห่มออกเห็นสวมเสื้อกางเกงอยู่ภายในจีวร ก็ตกใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้โหวกเหวกอะไรด้วยอยากรู้ว่าเขาเป็นใครทำอย่างนี้ทำไม ติดตามเขาไปก็เห็นเขาม้วนจีวรเป็นก้อนกลมโยนเข้าไปในพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วรีบอุ้มบาตรที่มีอาหารอยู่ไปที่กระท่อมหลังหนึ่ง จึงแอบดูอยู่ภายนอก เขานำอาหารออกจากบาตรแล้วใส่จานไปให้ภรรยา ภรรยาถามว่าได้อาหารมาจากไหน เขาก็ไม่ตอบ จนภรรยากินอาหารหมดจานอาการแพ้ท้องก็หายเป็นปลิดทิ้ง
มหาดเล็กเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างแล้วจึงเข้าไปในกระท่อม พร้อมถามถึงเหตุผลที่เขาทำอย่างนี้ เขาจึงเล่าความให้ฟังทุกอย่างโดยไม่ปิดบังมหาดเล็กฟังแล้วก็สงสาร คิดไม่ตกว่าจะจัดการอย่างไรดี ถ้าจะจับเขาไป เขาคงถูกประหารแน่ แต่ถ้าไม่จับไปตนเองก็จะต้องไปเพ็ดทูลโกหกพระราชาซึ่งมีโทษถึงตัดหัวเหมือนกัน เนื่องจากเป็นคนฉลาดแหลมคม นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งที่เห็นทางออกให้พ้นผิดทั้งแก่ตนและเขาจึงออกจากกระท่อมไปแล้วรีบไปที่ประตูวังซึ่งพระราชายังประทับยืนคอยฟังข่าวอยู่ พระราชาตรัสถาม “เป็นไง ท่านเป็นพระวัดไหน มีคุณวิเศษอะไรบ้าง”มหาดเล็กคุกเข่าลงแล้วกราบบังคมทูลว่า “พระอาญามีพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้าตามพระองค์นั้นไปติดๆ จนไปถึงชายป่าแห่งหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าเห็นผ้าเหลืองหายแว่บเข้าไปในพุ่มไม้เลย พระพุทธเจ้าข้า”
พระราชาทรงสดับแล้วถึงกับปรมพระหัตถ์ตรัสว่า “เราว่าแล้วพระองค์นั้นต้องมีคุณวิเศษสำคัญ มิเสียแรงที่ได้ใส่บาตรแก่ท่าน วันนี้เราปีติยินดีเหลือเกิน” มหาดเล็กทราบดีว่าพระราชาทรงเข้าใจผิดคิดว่าพระรูปนั้นหายตัวได้ แต่ก็เบาใจที่เขาพ้นผิด และตนเองก็มิได้ทูลเท็จ เพราะผ้าเหลืองถูกโยนหายเข้าไปในพุ่มไม้จริงๆทุกอย่างเลยจบลงด้วยดี ไม่มีใครได้รับโทษทัณฑ์อะไร คนฉลาดย่อมหาทางออกได้นิ่มนวลและไม่เกิดภัยแก่ทุกฝ่ายได้เสมอ ฉะนี้แล
เรื่องนี้สื่อความให้เห็นว่า
การทำบุญให้ทานนั้นอยู่ที่เจตนาเป็นสำคัญ ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ ปรารถนามุ่งจะให้เป็นทาน ให้แล้วเกิดปีติยินดี สบายใจและไม่คิดเสียดายภายหลัง ทั้งมิได้คิดหรือตั้งแง่ว่าผู้รับจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ก็ย่อมได้รับผลบุญเต็มที่แล้ว แต่หากได้ผู้รับเป็นผู้ทรงศีลที่บริสุทธิ์ก็ยิ่งจะได้ผลบริบูรณ์มากขึ้น ข้อนี้เปรียบได้กับการให้ทานของพระเวสสันดร ผู้รับในยุคนั้นก็มิได้เป็นพระสงฆ์หรือเป็นพระอริยบุคคล แต่เป็นสามัญชนด้วยกัน อานิสงส์พระเวสสันดรยังได้รับผลบุญเต็มที่จนทานบารมีเต็มบริบูรณ์อันเป็นเหตุให้ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณในชาติต่อมา ดังนั้น เมื่อจะทำบุญให้ทานหากได้ตั้งเจตนาให้บริสุทธิ์ ตั้งจิตให้แน่วแน่ว่าจะให้ทานเพื่อประโยชน์แก่ผู้รับแล้วให้ไปแห่งทานย่อมเกิดขึ้นได้แน่นอน ส่วนผู้รับจะเป็นใครอยู่ในระดับใดนั้นเราไม่สามารถทราบได้ ถ้ามุ่งแต่จะให้แก่ผู้มีศีลบริสุทธิ์หรือแก่ผู้กำจัดปัดเป่ากิเลสแล้วเท่านั้น ก็อาจจะไม่ได้ทำบุญทำทานเลยในชีวิตนี้ แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำบุญให้ทานแก่ผู้มีศีลมีคุณธรรมเช่นนั้นก็นับว่าเป็นลาภวิเศษแล้ว