จตุรงคพลและวิมลมาน
“ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! ข้าพเจ้าเกิดแล้วภายใต้เศวตฉัตรแห่งหัสตินาปุรนครแคว้นปัญจาละนี้ วันเดียวกับที่ข้าพเจ้าลืมตาดูโลกนั่นเอง มีการชุมนุมพลทั้ง ๔ เหล่าทัพ คือ ทัพช้าง ทัพม้า ทัพรถ และทัพพลเดินเท้า เป็นการซ้อมใหญ่ประจำปี เป็นความภาคภูมิอย่างยิ่งของนายทหารที่ได้แสดงตนเฉพาะพระพักตร์พระมหากษัตริย์ในวันเช่นนี้ ด้วยการถือเอาเรื่องนี้เป็นนิมิต พระราชบิดาและพระประยูรญาติชั้นผู้ใหญ่ของข้าพเจ้าจึงขนานนามข้าพเจ้าว่า “จตุรงคพล”
ท่านคงเคยศึกษาวิชาทหารมาแล้ว ในวิชาทหารได้บอกไว้ว่า “การเตรียมกำลังรบให้พร้อมเป็นการป้องกันสงคราม” ฟังดูไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นความจริง ทั้งนี้เพราะฝ่ายรุกรานจะคอยจ้องดูกำลังของอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เสมอ เมื่อใดฝ่ายตรงข้ามอ่อนแอ ฝ่ายรุกรานจะเริ่มรุกรานทันที เหมือนเชื้อโรคคอยโอกาสเบียดเบียนทำลายผู้มีร่างกายอ่อนแอ ในทำนองเดียวกัน กล่าวในทางธรรม ข้าพเจ้าพอจะทราบอยู่บ้างว่า ผู้ที่มีกำลังใจอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของกิเลสได้ง่าย แพทย์ผู้ฉลาดจะพยายามกระตุ้นเตือนให้มวลชนสร้างกำลังต้านทานในตัวให้สูงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการรุกรานของโรค ศาสดาผู้ฉลาดก็พยายามกระตุ้นเร้าศาสนิกชนให้ฝึกพลังจิตให้สูงไว้เพื่อเป็นทำนบกั้นกระแสกิเลสมีให้รั่วไหลเข้าสู่จิตโดยง่าย หลักสุขลักษณะหรืออนามัยก็เป็นเรื่องเดียวกันนี่เอง เมื่อเหลือกำลังป้องกันจึงถึงขั้นเยียวยาแก้ไข
“สงครามเป็นของคู่กับโลก ตราบใดที่มนุษย์ยังมีความอยากได้ ทะเยอทะยานในเกียรติที่จอมปลอม อยากเป็นใหญ่ในกองกระดูกและเลือดเนื้อ แสวงหาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแก้ปัญหาโดยการใช้กำลัง สงครามก็คงมีอยู่ร่ำไป แปลกจริง ๆ นะท่าน คนที่เป็นโจรลักเล็กขโมยน้อยปล้นสะดมส่วนบุคคล เขาถือกันว่าเป็นคนเลวคนร้าย ทั้ง ๆ ที่บางทีเขาต้องลักขโมยเพราะไม่มีอะไรจะกินแท้ๆ แต่ผู้ที่ปล้นคนทั้งเมืองกลับได้รับเกียรติยศอันสูงส่งเป็นวีรบุรุษ ผู้ที่โกงคนอื่นเพียงคนสองคน จะถูกพิพากษาตัดสินจำคุกหรือลงโทษให้สมควรแก่ความผิด แต่ผู้ที่โกงคนทั้งเมืองได้กลับไม่มีใครกล้าทำอะไร
“ข้าแต่ท่านผู้บำเพ็ญตบะ! ในเรื่องนี้ท่านมีความเห็นอย่างไร หรือศาสดาของท่านได้เคยกล่าวไว้อย่างไรบ้าง?”
“ราชกุมาร! พระอานนท์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบปกติ” เรื่องสงครามเป็นเรื่องคู่กับโลกตามที่ท่านกล่าวมานั้นข้าพเจ้าไม่คัดค้าน แต่มันก็เป็นเวลาหลายปีจึงจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง แต่สงครามที่เกิดขึ้นประจำและยืดเยื้อที่สุด คือสงครามชีวิต ทุกคนเดินไปบนถนนแห่งสงครามนี้อยู่ตลอดเวลาดวงจิตนี้เป็นสมรภูมิให้ธัมมะและอธรรมเข้าทำการชิงชัยกันอยู่มิได้ว่างเว้น เมื่อใดกองทัพอธรรมมีกำลังมาก กองทัพธรรมก็ล่าถอย อธรรมก็เข้ายึดครองจิตใจ เมื่อใดกองทัพธรรมมีกำลังรุกรานให้อธรรมล่าถอยไป ธรรมก็เข้ายึดครอง สมัยใดอธรรมเข้ายึดครองสมัยนั้นย่อมมีแต่ความมืดมัวและวุ่นวาย สมัยใดธัมมะเข้ายึดครอง สมัยนั้นย่อมมีแต่ความสงบและแจ่มใส
“ราชกุมาร! สำหรับเรื่องแพ้และชนะในสงครามนั้น พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสไว้ว่า
ผู้ชนะย่อมก่อเวรให้ยืดเยื้อ
ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์
ผู้ละการแพ้และการชนะได้แล้ว
ย่อมอยู่อย่างสงบสุข
“ราชกุมาร! ไม่มีผู้ชนะในสงครามใด ๆ เลยที่จะประเสริฐไปกว่าผู้ชนะตนเอง พระศาสดาของข้าพเจ้าตรัสไว้ว่า ผู้ชนะตนเองได้ ชื่อว่าเป็นยอดขุนพลในสงคราม เมื่อชนะตนได้แล้ว สงครามที่ยืดเยื้อก็สิ้นสุดลง”
“ชีวิตในปฐมวัยของข้าพเจ้า” เจ้าชายจตุรงคพลทรงเล่าต่อไป
“...เป็นชีวิตที่เหมือนเดินอยู่ในสวนดอกไม้ ได้รับการทะนุถนอมประคับประคองอย่างดี ยิ่งข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในวงล้อมแห่งความสุขความสะดวกสบาย อย่างที่ราชกุมารผู้ถือกำเนิดภายใต้เศวต ฉัตรจะพึงได้รับ ข้าพเจ้ามีเครื่องแต่งกายซึ่งล้วนแล้วแต่สวยงาม มีผ้าโพกซึ่งทำจากแคว้นกาสีสิ่งหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าชอบมากคือ ปิ่นปักเกศาซึ่งเป็นเครื่องประดับที่ใคร ๆ มองดูด้วยความนิยมชมชื่นข้าพเจ้ามีปิ่นปักผมหลายแบบหลายชนิด และทำด้วยทองคำทั้งนั้น และก็ปั่นปักผมนี่เองเป็นสาเหตุอันหนึ่งให้ข้าพเจ้าพอใจพำนักอยู่ ณ ที่นี้”
“ในหัสตินาปุรนครของข้าพเจ้า มีช่างทองอยู่ตระกูลหนึ่งได้ทำทองมาหลายชั่วอายุคนเขาชำนาญมาก พระประยูรญาติของข้าพเจ้าเมื่อต้องการทำทองเป็นเครื่องประดับก็ทำที่นี่ แม้ข้าพเจ้าเองก็เหมือนกัน มหาดเล็กคนสนิทของข้าพเจ้าไปร้านช่างทองกลับมา เขาจะนำเอาความงามแห่งธิดาช่างทองติดปากมาด้วยเสมอ จนบางครั้งข้าพเจ้าเบื่อหูไม่อยากฟัง แต่เขาเป็นคนรับใช้ดี ทำกิจทุกอย่างเพื่อข้าพเจ้า คุณสมบัติของผู้รับใช้ที่ดี ๔ ประการมีอยู่พร้อมในบุคคลผู้นี้ คือตื่นก่อนนอนทีหลัง คอยฟังว่าจะหาให้ทำอะไร พอใจประพฤติสิ่งที่ดีงาม คนรับใช้ที่ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างนี้ แม้นายก็ต้องเกรงใจ ข้าพเจ้ามิได้ปลงใจเชื่อว่า ธิดาช่างทองจะงามอย่างที่มหาดเล็กกล่าวถึงข้าพเจ้าดูหมิ่นแววตาของมหาดเล็ก สตรีซึ่งนับเนื่องในพระราชวงศ์ก็มีมากหลาย ธิดาแห่งเสนาบดีอำมาตย์ราชบริพารก็มีไม่น้อย ล้วนแต่สวยงามอยู่ในวัยที่พึ่งงาม อยู่ในวัยที่พึงชม แต่ข้าพเจ้าก็มิได้สนใจกับสตรีคนใดเลย ข้าพเจ้าแม้จะเป็นราชกุมาร ก็เหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป คืออยากพบเห็นสิ่งที่เล่าลือกันว่าสวยงาม ดังนั้น วันหนึ่งข้าพเจ้าจึงปลอมตัวออกไปกับมหาดเล็กไปที่บ้านช่างทองนอกจากอยากดูธิดาช่างทองให้เห็นกับตาตนเองเพื่อมหาดเล็กจะได้ไม่พูดใส่หูต่อไปอีกแล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากดูมากกว่า คือปิ่นปักผมอันใหม่ซึ่งสั่งทำพิเศษว่า เขาทำกันไปถึงไหนแล้ว
“บ้านช่างทอง มีรั้วรอบขอบชิด เป็นบ้านสองชั้น บริเวณบ้านสะอาดเรียบร้อย มีเครื่องประดับตกแต่งพองามตา ทุกครั้งที่มหาดเล็กของข้าพเจ้าไป เขาจะต้อนรับที่ห้องรับแขกและนำน้ำมาให้ดื่ม วันนั้นก็คงเป็นเช่นเดียวกัน และเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ หญิงรับใช้ไปตลาดยังไม่กลับ ธิดาช่างทองจึงนำน้ำมาเอง พอนางเดินเข้ามาเท่านั้น ท่านเอย! ข้าพเจ้าถึงกับตะลึงพรึงเพริด มหาดเล็กทำสัญญาณตามที่นัดหมายกันไว้เป็นเชิงบอกให้รู้ว่านี่คือธิดาช่างทองคนสวยละ นางเป็นคนสวยจริง ๆ สวยอย่างที่สตรีในวังของข้าพเจ้าเทียบมิได้เลย เสมือนนางได้เก็บเอาความงามของสตรีมากหลายมารวมอยู่ที่เธอเพียงคนเดียว
รูปร่างของเธอไม่สูงเกิน ไม่ต่ำเกิน ไม่ขาวเกิน และไม่ดำเกิน มีผมดำเป็นเงางามเป็นคลื่นน้อย ๆ แวดวงใบหน้าอันผุดผาดเปล่งปลั่ง เหมือนมีรัศมีประดุจดวงจันทร์โผล่จากกลีบเมฆ คิ้วของเธอดกดำและโก่งงาม ริมฝีปากแดงเรื่อสดใสดูสะอาด ฟันเรียบสนิทแวววาวรุ่งเรือง เมื่อเธอเปิดปากพูดทำให้ใจผ่องใสลืมทุกข์ เสียงไพเราะกังวานหวาน ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินเสียงนกการเวก เคยได้ยินเขาชมกันว่าไพเราะยิ่งนัก ถ้าเสียงของมันไพเราะเพียงครึ่งหนึ่งของเสียงเธอผู้นี้ ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าไพเราะจริง ลำแขนอ่อนช้อยเหมือนงวงช้าง เมื่อเยื้องกราย อาการของเธอเหมือนเนื้อสาว เมื่อเธอมองอย่างละอายก็เหมือนเนื้อทรายที่ตื่นไพร เครื่องแต่งกายของเธองามโชติช่วง ปลิวสะบัดดังสายฟ้าแลบในอากาศ เมื่อเธอย่างเข้ามาในห้อง กลิ่นหอมอบอวลตามเข้ามา ประดุจเธอนำเอาป่าซึ่งมีดอกไม้บานในฤดูร้อนตามเข้ามาด้วย มองดูนิ้วของเธอเมื่อวางภาชนะน้ำลง ข้าพเจ้าต้องซาบซ่านใจเพราะนิ้วของเธอเรียวงามวิจิตร เล็บสีชมพูอ่อน ข้าพเจ้ามิได้สนใจกับภาชนะน้ำเลย ความสนใจทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ร่างธิดาช่างทองผู้เฉิดฉาย....”
“ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้ท่านนั่งอยู่นานไปหน่อย” คำแรกที่นางพูด ยิ้มละไม หน้าระรื่น มองเห็นลักยิ้มปุ่มที่พวงแก้มทั้งสอง “พระราชกุมารเจ้าของปิ่นปักพระเกศา ทรงพระสำราญดีหรือพระองค์จะทรงต้องการเร็วไหม?” นางพูดกับมหาดเล็กของข้าพเจ้า ข้าพเจ้านั่งตัวแข็งเหมือนรูปศิลา
“ขอบใจแทนพระราชกุมาร” มหาดเล็กกล่าวตอบ “พระองค์ทรงพระสำราญดี ปิ่นปักพระเกศาไม่ทรงรีบร้อนนัก ขอให้บิดาของท่านทำตามสบาย ขอแต่ให้ประณีตที่สุดเท่าที่จะทำได้แต่ขอแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของข้าพเจ้าเสียก่อน” แล้วมหาดเล็กก็หันหน้ามาทางข้าพเจ้าพร้อมด้วยพูดว่า “นี่คือ สุรนันทะ เพื่อนของข้าพเจ้า บางทีในโอกาสต่อไป ข้าพเจ้าติดธุระมาไม่ได้เพื่อนคนนี้คงจะมาแทน” มหาดเล็กพูดแล้วยิ้มอย่างชอบใจ นางพนมมือไหว้ ข้าพเจ้าเกือบลืมไหว้ตอบ
เพราะมัวแต่มองอย่างเพลิดเพลิน
ข้าพเจ้าสนทนากับนางไม่สู้จะสนิทนัก เพราะรู้สึกละอายใจตนเองที่มองนางอย่างลืมตัวถึงกระนั้นก็พอเป็นแนวทางสำหรับในวันหน้าได้ นางลุกไปเอาปิ่นปักผมซึ่งทำไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วมาให้ดู ปิ่นปักผมเป็นที่สนใจของข้าพเจ้าเป็นที่สุดแล้ว ข้าพเจ้าบอกท่านไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าชอบสั่งให้ทำปิ่นปักผมแบบแปลก ๆ แต่ความสนใจในปิ่นปักผมทั้งหมดรวมกันก็ยังไม่ได้ครึ่งแห่งความสนใจที่ข้าพเจ้ามีต่อนางงามผู้ทำปิ่นคนนั้น
“ท่านทำปิ่นปักผมได้สวยงาม พระราชกุมารคงพอพระทัย” ข้าพเจ้าพูดเมื่อพลิกปิ่นดูอยู่ครู่หนึ่ง นางยิ้มอย่างเอียงอาย แต่มันมีความหมายบาดลึกลงไปในหัวใจของข้าพเจ้า
ถ้าความรักเมื่อแรกพบมีอยู่จริง ข้าพเจ้าก็รักนางแล้วเมื่อแรกเห็น จะเป็นการเร็วเกินไปไหมท่านที่จะกล่าวดังนี้ ถ้าความรักทำให้คนกระวนกระวาย บัดนี้ข้าพเจ้าก็กระวนกระวายแล้ว ถ้าความรักทำให้คนซึมเซา ข้าพเจ้าก็ซึมเซาแล้ว ถ้าความรักทำให้คนลืมอะไร ๆ ง่าย ๆ นอกจากอย่างเดียวที่เขาไม่ลืม คือดวงหน้าและกิริยาพาทีของคนที่รัก บัดนี้ข้าพเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะปฏิเสธว่าข้าพเจ้ามิได้รักนางได้ไฉน ดวงตาอันแจ่มแววของเธอได้สลักรอยรักไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลับด้วยความอาลัยอาวรณ์เป็นที่ยิ่ง พร้อมด้วยภาพความงามของธิดาช่างทองติดตาไปด้วย
คืนนั้น ข้าพเจ้านอนตื่นตาอยู่ตลอดเวลา กระสับกระส่ายกระวนกระวายด้วยแรงรักเข้ารัดรึง เพียงพบครั้งแรกเท่านั้น ข้าพเจ้าก็ตกเป็นเหยื่อของอนงค์เทพแล้วอย่างยากที่จะถอน
ท่านคงอยากทราบชื่อของนางบ้างกระมัง? นางชื่อวิมลมาน-ผู้มีดวงใจไร้มลทิน นางช่างสมชื่อเสียจริง ๆ จะหาสิ่งที่ควรตำหนิมิได้เลย นามนี้-วิมลมานในความรู้สึกของข้าพเจ้า ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะอ่อนหวาน เป็นที่ตั้งแห่งความบันเทิงจิตยิ่งกว่าภาษากวีและดนตรีที่ไพเราะทั้งหมดในโลกนี้รวมกัน
ข้าพเจ้าคำนึงถึงคำพูดของนางที่ถามว่า “พระราชกุมารเจ้าของปิ่นปักพระเกศา ทรงพระสำราญดีอยู่หรือ” แล้วให้รู้สึกภูมิใจเสียวซ่าน และระทึกใจเสียนี่กระไร ใครบ้างจะไม่ภาคภูมิเมื่อหญิงงามถึงปานนั้นถามถึงตนและถามต่อหน้าเจ้าของชื่อ โดยที่ผู้ถามมิได้รู้จักตัว ข้าพเจ้านอนคำนึงถึงเธอจนอรุณจวนจะเบิกฟ้า แสงเงินเริ่มฉายฉาบทาตึกสีขาวอันเป็นที่พำนักของข้าพเจ้าธรรมชาติยังคงนิทราสนิท แต่ข้าพเจ้าเป็นผู้ตื่น... ตื่นอยู่ตลอดราตรี เปิดหน้าต่างมองออกไปภายนอกเห็นมะลิแลพุดซ้อนยืนต้นสงบนิ่งเรียงราย ดอกสีขาวโพลนของมันต้องกระแสลมอ่อน เมื่อรุ่งอรุณแล้วอ่อนไหวน้อย ๆ เหมือนต้อนรับการจุมพิตจากแสงทอง กลิ่นของมันขจายขจรตามกระแสลมพลิ้วเข้ากระทบมานประสาท หอมยวนใจให้เพ้อฝัน... ฝันถึงดรุณีน้อยผู้มีนามวิมลมาน ความงามแห่งสีพุดซ้อนและกลิ่นอันหอมหวานของมะลิ จะพอเทียบได้กับความงามและความอ่อนหวานแห่งใบหน้านางได้ละหรือ? ทำไมนะท่าน ธรรมชาติจึงสร้างคนบางคนมาให้งามเลิศลอยฟ้า แต่สร้างบางคนมาให้ขี้ริ้วขี้เหร่ จนมองหาความงามในเรือนร่างมิได้เลยแม้สักแห่งเดียว ท่านพอจะทราบข้อลี้ลับเรื่องนี้อยู่บ้างหรือ?”
“ราชกุมาร!” พระอานนท์ตอบ “ถ้าถือตามพระมติแห่งพระศาสดาของข้าพเจ้า พระองค์ตรัสว่า ความมีผิวพรรณดี ความมีเสียงไพเราะ ความมีสัณฐานรูปร่างสมส่วน ความเป็นคนมีรูปงามมองดูไม่จืดไม่น่าเบื่อหน่าย เหล่านี้ได้มาด้วยบุญทั้งสิ้น”
“ถ้าอย่างนั้น” พระราชกุมารมีแววพระเนตรวาวด้วยปีติ “ธิดาช่างทองซึ่งข้าพเจ้าหลงรักคงเป็นผู้สั่งสมบุญมามากมิใช่น้อย”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” พระพุทธอนุชารับ
พระราชกุมารทรงเล่าต่อไป
“รวมความว่าข้าพเจ้ารักนาง ความรักซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าจะทำประการใดดีเหมือนคนไม่เคยเดินป่า ไม่รู้จักทิศทาง ข้าพเจ้าควรจะบอกนางตามเป็นจริงว่า สุรนันทะนั้นที่แท้คือพระราชกุมารเจ้าของปิ่นปักผมหรือควรจะปกปิดไว้ก่อน แสดงตนเป็นสุรนันทะ สหายของมหาดเล็กต่อไป ข้าพเจ้าตรองเรื่องนี้อยู่เป็นเวลานาน สำหรับคนที่อยู่ในห้วงรัก เรื่องที่เกี่ยวกับคนรักย่อมเป็นปัญหาใหญ่เสมอ แต่ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ตกลงใจว่า ควรจะแสดงตนเป็นสุรนันทะไปก่อนจะดีกว่า และดูเหมือนจะสนุกดีด้วย มหาดเล็กคนนั้นเห็นอาการของข้าพเจ้าแล้วก็ยิ้มอยู่ในหน้า แต่ไม่กล้าพูดอะไรเป็นเชิงเย้าหยอก เพราะเขารู้จักฐานะของเขาดี
หลังจากนั้นแล้ว ข้าพเจ้าไปหาเธออีกเสมอ ไปในนามมหาดเล็กของเจ้าชาย ในระยะนั้นเจ้าชายรับสั่งทำปิ่นปักพระเกศาอันแล้วอันเล่ามิจบสิ้นลงได้ และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปหานาง ข้าพเจ้ามักจะมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดมือไปด้วยเสมอ ทั้งนี้เพราะโบราณย่อมว่า
ไปหาขุนศาลตุลาการ ๑ ไปหาครูอาจารย์ ๑ ไปหามารดาหรือบิดาของสตรีที่ตนใคร่ ๑ ไม่ควรไปมือเปล่า ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีของไปฝากนางบ้าง สำหรับของฝากนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนในฐานะอย่างข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ระมัดระวังมิให้ของนั้นดีเกินไป เพื่อป้องกันมิให้นางสงสัยในฐานะมหาดเล็กของข้าพเจ้า รู้สึกนางและมารดาของนางรับด้วยความยินดี เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าให้ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง และก็เป็นธรรมดาของผู้มีน้ำใจงาม เมื่อได้รับเสมอ ๆ ก็ย่อมให้ตอบแทนบ้าง นางเคยให้ผ้าเช็ดหน้าฉลุลายอย่างงดงามประณีตแก่ข้าพเจ้า เมื่อยามหลงอะไร ๆ ก็ช่างดีไปหมด ข้าพเจ้าจุมพิตผ้าเช็ดหน้าอย่างถนอม พร้อมด้วยน้อมคะนึงถึงเจ้าของผู้งามเฉิด
เย็นวันหนึ่ง ขณะข้าพเจ้าไปหานางอย่างเคย ข้าพเจ้าเปรยขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้ทราบถึงความงามความพึงพิศแห่งสวนและสระโบกขรณีหลังเคหาสน์แห่งช่างทอง แต่ไม่เคยทัศนาด้วยตนเองเลย ทำไฉนข้าพเจ้าจะโชคดีได้เห็นสวนและสระนั้น นางผู้ไม่รังเกียจที่จะคบข้าพเจ้าตอบว่า เป็นไรไปเมื่อข้าพเจ้าปรารถนาเช่นนั้น นางก็จะพาไปชม
เราทั้งสองหมายถึงเธอและข้าพเจ้า เวลานี้ดูเหมือนจะเข้าใจในความลี้ลับในดวงจิตของกันและกัน แล้วเธอได้นำข้าพเจ้าเข้าสู่สวน ซึ่งอบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้นานาพันธุ์และประดับตกแต่งอย่างสวยงาม มีสระโบกขรณีที่มีน้ำใส บัวบานสะพรั่ง ชูดอกสล้างดูงามตาน่าชม เราหยุดนั่งที่ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง ดูแมลงภู่บินร่อนฉวัดเฉวียนเวียนชมเกสรอุบลด้วยความเพลินใจ สายลมรำเพยแผ่วหอบเอากลิ่นน้ำและกลิ่นมาลี คละเคล้าด้วยกลิ่นสไบนาง หอมหวนยวนจิตให้คะนึงถึงความสุขสำราญในยามนั้น ตะวันรอนยอแสง สีเมฆม่วงสลับฟ้า และเป็นรูปต่าง ๆ น่าทัศนา ประกอบด้วยมีนางงามเฉิดอยู่เคียง ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนฝันไปและไม่คิดว่าใครจะมีความสุขความภาคภูมิยิ่งไปกว่าข้าพเจ้า ความจริงความสุขนั้นอยู่ที่คุณภาพมิใช่ปริมาณ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ มนุษย์มีความสุขได้ทัดเทียมกัน
“สวนและสระนี้ พอจะดูได้ไหม?” วิมลมานถามขึ้น ชายตามองข้าพเจ้าเพียงเล็กน้อย
“สวยมากทีเดียว” ข้าพเจ้าตอบ “แต่ทั้งความงามของสระและพันธุ์ไม้ทุกชนิดรวมกันก็ยังสวยไม่เท่าวิมลมานผู้มีดวงใจไร้มลทิน” ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าคำนี้ออกมาได้อย่างไร
ธิดาช่างทองขยับกายเล็กน้อย แต่มีรอยยิ้มที่อ่อนหวานผุดขึ้นที่ริมฝีปาก มันช่วยปลอบให้ข้าพเจ้าหายระทึกใจ
“คนชาววังเขาพูดกันอย่างนี้หรือ?” นางพูดพร้อมด้วยใช้นิ้วอันเรียวงามกรีดผ้าพันคอด้วยความขวยอาย
“ข้าพเจ้าอยู่ในวังมาช้านาน ไม่เคยพูดคำนี้กับใครเลย ท่านเป็นคนแรกที่ได้ยินคำนี้” ข้าพเจ้าตอบนางด้วยความจริงใจ
“ทำไมผู้ชายจึงชอบชมแต่ความงามของผู้หญิง ไม่เห็นชมอย่างอื่นเลย ผู้หญิงเกิดมางามอย่างเดียวก็เห็นจะพอแล้วกระมัง?” นางพูดยังก้มหน้าดูพื้นดินที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้าสีงาม
“อย่างท่านนี้” ข้าพเจ้าใจกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว “มิเพียงแต่รูปงามนามเพราะอย่างเดียวเท่านั้น แต่ใจยังบริสุทธิ์สะอาด และกิริยาน่ารักอีกด้วย”
“ถ้าความสุขของท่านอยู่ที่ได้ชมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีให้ท่านชมอยู่ตลอดไป ข้าพเจ้าเคยทราบจากบิดาว่าการหยิบยื่นความสุขให้ผู้อื่น ความสุขนั้นย่อมสะท้อนกลับมาหาผู้ให้ การให้ทุกข์แก่ผู้อื่นก็เช่นกัน” ธิดาช่างทองพูดค่อนข้างตะกุกตะกัก แต่ยังมีน้ำเสียงไพเราะ ใบหน้าของนางแดงระเรื่อ ทำให้ดูงามสดใสยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้ายังมิทันได้ตอบประการใด เสียงนกชนิดหนึ่งร้องดังขึ้นจากพุ่มไม้หลังม้าหินอ่อนที่เรานั่ง นางตกใจเผลอตัวขยับกายเข้าเบียดชิดข้าพเจ้า พอดีลมกระโชกมาอย่างแรง ชายผ้าพันคอผืนน้อยที่นางใช้ปลิวมาพันคอข้าพเจ้า เกศาของนางฟูกระจายด้วยแรงลมมากระทบใบหน้าและฆานประสาท เมื่อนางได้สติรู้สึกตัวแล้วจึงถอยห่างออกไป แต่ดูยังมีอาการตกใจอยู่เล็กน้อย ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนต้องละอองฝนในคิมหันต์ฤดู
“นกตัวนี้คงเป็นตัวผู้” ข้าพเจ้าเปรยขึ้น
“ทำไมท่านรู้ มันช่างโหดร้ายเสียจริง ทำให้ตกใจเล่นได้” นางตอบแล้วยิ้มเหมือนขันตัวเอง
“มันคงสงสารข้าพเจ้า ที่จิตใจกระวนกระวายอยากนั่งใกล้ชิดท่านมาเป็นเวลานานแล้ว มันคงรู้ถึงความรู้สึกของข้าพเจ้าจึงช่วยเหลือ แม้จะเพียงเล็กน้อยและชั่วระยะเวลาอันสั้นก็ยังดี เหมือนฟ้าแลบเพียงแวบเดียวก็พอมองเห็นทาง”
นางลุกขึ้นพร้อมด้วยพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่อยากจะเชื่อท่านแล้ว พูดหวานเกินไป เดี๋ยวพอกลับไปถึงวังก็ลืมนึกถึงธิดาช่างทอง ผู้ชายชาววังก็มักจะพูดไพเราะแต่ต่อหน้า”