ไม่ชอบทำบุญด้วยเงิน นั่งสมาธิเฉยๆ จะได้บุญไหม

วันที่ 22 มีค. พ.ศ.2568

22-3-68-b.jpg

ไม่ชอบทำบุญด้วยเงิน นั่งสมาธิเฉยๆ จะได้บุญไหม

โยมถาม : ไม่ชอบทำบุญด้วยเงิน นั่งสมาธิเฉยๆ จะได้บุญเหมือนกันหรือไม่


พระอาจารย์ตอบ : นั่งสมาธิยิ่งได้บุญมากเพราะการนั่งสมาธิ คือ การกระทำที่ได้บุญ จําง่ายๆ เลยมี 3 อย่าง คือ ให้ทาน รักษาศีล และเจริญสมาธิภาวนา การให้ทาน ทําบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาวัด เหล่านี้ล้วนเป็นการให้ทาน อีกทั้งยังหาทานได้ด้วย  การให้ความรู้เป็นทาน เรียกว่า “การให้วิทยาทาน” หรือการให้ความรู้ธรรมะ เรียกว่า "ให้ธรรมทาน" เป็นต้น 

 

                              พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า "สัพพะ ทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ" การให้ธรรมทานเป็นการให้ที่สูงสุดในบรรดาการให้ทั้งปวง ทำได้ง่าย ไม่จําเป็นต้องเสียทรัพย์ เช่น เราฟังธรรมะวันนี้แล้วไปเล่าให้เพื่อนสนิทหรือลูกหลาน ญาติพี่น้องได้ฟัง ก็ถือว่าเป็นการให้ธรรมทานแล้ว ยกตัวอย่าง ที่พระอาจารย์เทศน์สอนปัญหาธรรมะ เราฟังแล้วนำไปเล่าต่อเราก็ได้บุญโดยไม่ต้องเสียเงินเลยสักบาทเดียว  หรือถ้าเราเห็นคนกำลังท้อแท้สิ้นหวัง เราให้กำลังใจเขาก็นับว่าเป็นการให้ทานรูปแบบหนึ่ง รวมถึงการที่เราให้อภัยผู้อื่น การละโกรธก็ถือว่าเราให้อภัยทาน เป็นการให้ทานเช่นกัน ดังนั้น การให้ทานไม่จําเป็นว่าต้องให้เงินเพียงเท่านั้น
 

                            การรักษาศีล 5 ศีล 8 ก็เกิดบุญได้ การสวดมนต์ นั่งสมาธิยิ่งเกิดบุญใหญ่  ยิ่งได้บุญมากขึ้นไปอีก ยิ่งถ้าใจหยุดสงบนิ่งที่ศูนย์กลางกาย แม้จะในช่วงเวลาสั้นๆ เท่าช้างกระพือหู งูแลบลิ้น เพียง 1-2 วินาที บุญเกิดมากยิ่งกว่าสร้างโบสถ์สร้างวิหารอีก  บางคนบอกว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไม่ทำทานแล้ว นั่งสมาธิเพียงอย่างเดียว ได้หรือไม่

 

                             ...บุญแต่ละประเภทมีอานิสงส์ต่างกันไป เช่น ถ้าเรารักษาศีล  อานิสงส์ส่งให้มีร่างกายแข็งแรง มีรูปร่างหน้าตาดี ถ้าเรานั่งสมาธิมาก  บุญส่งผลให้เราฉลาด การนั่งสมาธิได้บุญมากก็เพราะว่าทำแล้วเข้าใกล้หนทางพระนิพพาน ซึ่งเป็นประโยชน์สูงสุด แต่ถ้าใครนั่งสมาธิมากแต่ไม่ให้ทานเลย ก็จะส่งผลให้ฉลาดแต่จน
 

                              เมื่อครั้งพุทธกาล มีคนชายคนหนึ่งเข้าไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอได้ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เกิดศรัทธาต้องการจะออกบวช พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประธานการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้   โดยการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทานั้นพระองค์เพียงเหยียดพระหัตถ์ออกแล้วตรัสว่า "เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด”  ถ้าหากยังไม่บรรลุธรรมพระองค์จะตรัสต่อไปว่า "ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว  เธอจงประพฤติธรรมให้ถูกต้องโดยชอบเถิด” สิ้นพระสุรเสียงของพระองค์  บาตรและจีวรที่สําเร็จด้วยฤทธิ์ลอยมากลางอากาศ ชุดเก่าจะหายไป มีจีวรสวมแทนพร้อมบาตร เส้นผมหายไปเหมือนมีคนโกนให้อย่างดี  ถึงเพิ่งจะออกบวชในวันนั้น แต่จะมีบุคลิกลักษณะเหมือนพระเถระที่บวชมายาวนานแล้วถึง 100 พรรษา ดูเหมาะเจาะสง่างามทุกอย่าง แบบนี้เป็นการบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา
 

                             ชายผู้นี้พอฟังธรรมจบเป็นพระอรหันต์ทันทีทั้งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ทันได้บวชให้เลย พระองค์จึงตรัสให้ชายผู้นี้ไปหาบาตรและจีวรมาก่อนถึงจะบวชให้   ชายผู้นี้ในอดีตชอบนั่งสมาธิแต่ไม่ทำบุญ ผลคือมาเกิดชาตินี้ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปุ๊บ ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เลยทันทีเพราะบุญเก่าสร้างไว้ดี แต่เพราะในอดีตชาติให้ทานน้อย และไม่เคยทำบุญด้วยผ้าไตรจีวรมาก่อนเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไม่บวชให้ บาตรและจีวรที่สําเร็จด้วยฤทธิ์ไม่เกิดเพราะบุญไม่ได้สร้างไว้ จึงต้องไปหาบาตรและจีวรเอง
 

                              ในระหว่างทางที่เขากำลังไปหาบาตรและจีวรอยู่นั้นกลับถูกแม่โคขวิดตายไปก่อน เข้าสู่นิพพาน พ้นทุกข์ไปแล้วทั้งที่ยังไม่ได้บวช เราเลือกได้ว่าจะเป็นคนฉลาดแต่จนทุกชาติไป หรือเกิดมาเป็นกุนซือ ทั้งฉลาด แข็งแรง และร่ำรวยทรัพย์สมบัติ  ถ้าเราต้องการเกิดมามีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อมีโอกาสได้สร้างบารมีง่ายๆ ร่ำรวย แข็งแรง มีหน้าตาดี และเฉลียวฉลาด ก็ต้องหมั่นให้ทั้งทาน รักษาศีล ทำสมาธิภาวนา


เจริญพร.

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.034280816713969 Mins