ศูนย์ประสานงานคณะสงฆ์แห่งประเทศไทยคัดค้าน “สุรา” เข้าตลาดหลักทรัพย์

วันที่ 20 มีค. พ.ศ.2548

 

 

.....วันศุกร์ที่ ๑๘ มี . ค ที่ผ่านมา ศูนย์ประสานงานคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย นำโดยพระภิกษุสงฆ์จากทั่วทุกภูมิภาคกว่า ๕, ๐๐๐ รูป เดินทางมายังตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านการนำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ย้ำขาดความรับผิดชอบต่อศีลธรรม และส่งผลกระทบต่อเยาวชนโดยตรง ขณะที่ตลาดหุ้นยืนยันชี้ขาด ๒๓ มี. ค นี้

พระมหาสุริยะ ปัญญาวชิโร เลขาธิการศูนย์ประสานงานคณะสงฆ์แห่งประเทศไทยกล่าวว่า “ คณะสงฆ์ที่มาชุมนุมกันในวันนี้ทุกรูปมีความเห็นว่า การค้าสุราเป็น “ มิจฉาอาชีวะ” ขัดต่อศีลธรรมของทุกศาสนา ทำลายสถาบันครอบครัวและส่งผลเสียในระยะยาว ไม่สมควรเปิดโอกาสให้ขายและสนับสนุนให้กิจการเจริญเติบโต เพราะเป็นสิ่งเมามอมเพื่อนร่วมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังของประเทศต่อไป “

ซึ่งคณะสงฆ์ทั้ง ๕ , ๐๐๐ รูป ร่วมกันเจริญพระพุทธมนต์ด้านหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์

ตัวแทนคณะสงฆ์อ่านแถลงการณ์ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ตัวแทนคณะสงฆ์ ๔ ภาค กล่าวสัมโมทนียกถาพิเศษเรื่องอบายมุข จากนั้น ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์รับมอบหนังสือคัดค้านจากตัวแทนคณะสงฆ์ ประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และมีสำนักข่าวต่างประเทศมีร่วมทำข่าวด้วย

จากนโยบายคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ต่อการสนับสนุนให้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ได้ส่งผลต่อแนวคิดคณะกรรมการ ตลท . ถูกแบ่งออกเป็น ๓ ขั้ว ทั้งที่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย และยังสงวนท่าทีในการแสดงความคิดเห็น โดยจะพิจารณาข้อมูลทั้ง ๒ ฝ่ายก่อนการพิจารณา เริ่มจากฝ่ายสนับสนุนที่มี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการและผู้จัดการ ตลท. มีแนวคิดสนับสนุนธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ โดยอ้างหลักการปฏิบัติของ ตลท. ในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ที่ยอมรับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้

อย่างไรก็ดี คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์บางท่านที่มีแนวคิดคัดค้าน ได้ให้ข้อมูลโต้แย้งว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่อันดับที่ ๕ ของประเทศที่มีสถิติการบริโภคแอลกอฮอล์ต่อหัวมากที่สุดในโลก จากการสำรวจพบว่า คนไทยโดยเฉลี่ยดื่มสุรามากกว่าชาวฝรั่งเศส หรือ เยอรมนี และแนวโน้มนี้ยังเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในทุกๆ ปี เทียบกับประเทศฝรั่งเศสหรือออสเตรเลียที่มีแนวโน้มลดลง

ส่วนพลเมืองมาเลเซีย อินโดนีเซีย เชื้อสายท้องถิ่น ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม มีข้อปฏิบัติทางศาสนาที่เคร่งครัด และห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้การขยายธุรกิจน้ำเมาไม่มีผลกระทบต่อชาวเมืองมุสลิม ขณะที่ประเทศตะวันตกมีการดื่มสุรามาตั้งแต่บรรพบุรุษ เนื่องจากภูมิอากาศที่หนาวเย็นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีวัฒนธรรมของคนเมืองหนาว แต่เมื่อคนเหล่านี้ทราบพิษภัยของแอลกอฮอล์ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยประนามว่าเป็น “ หุ้นบาป” (Sin Stocks)

ส่วนประเทศไทยเองไม่เคยมี “ หุ้นบาป” เข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์มาก่อนเลย จึงเป็นบรรทัดฐานที่ดีของตลาดหลักทรัพย์เมืองไทย หากไม่พิจารณารับหุ้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าตลาด และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทาง ตลท. ได้ถือนโยบายไม่รับธุรกิจที่ไม่มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมหรือมีน้อยก็จะไม่รับ เช่น ธุรกิจบุหรี่ยาสูบ ธุรกิจอาบ อบ นวด และการพนัน เป็นต้น

จึงเป็นคำถามใหญ่ว่า “ ทำไมจึงจะยกเว้นธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เข้าจดทะเบียนได้ ?”

ส่วนการกล่าวอ้างของตลาดหลักทรัพย์ที่เห็นสมควรรับธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าจดทะเบียน หวังจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และเป็นประโยชน์ต่อตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ปัญหาด้านสังคมและสุขภาพสามารถแก้ไขได้ด้วยการรณรงค์และออกกฏหมายควบคุมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมานั้น

ฝ่ายคัดค้านมองว่า แม้จะสร้างผลบวกทางเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่ผลเสียที่ได้ คือ เม็ดเงินนั้นนำมาซึ่งปัญหาสังคมอีกมากมาย เมื่อคนดื่มเหล้าเบียร์มากขึ้น ความบันเทิงยามค่ำคืนมากขึ้น ทำให้ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาอุบัติเหตุ ปัญหาความรุนแรงในเด็กและสตรี ปัญหาทางเพศย่อมเพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นภัยต่อสังคมในทุกด้านและต่อบุคคลในทุกระดับชั้น

ขณะข้ออ้างที่ว่า ธุรกิจนี้อยู่ในระดับ ๑. ๗% ของ GDP ของประเทศ มีมูลค่ากว่า ๑ แสนล้านบาท สามารถเก็บสรรพสามิตได้ร้อยละ ๗ ของภาษีรวมทั้งหมด มีการส่งออก การจ้างงาน และนำเงินตราเข้าประเทศ มีอุตสาหกรรมข้างเคียงมากขึ้น และยังบริจาคให้กับสังคม กีฬา หรือการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสนั้น

ฝ่ายคัดค้านมองว่า อาจจะต้องส่งเงินตราออกนอกประเทศมากกว่า เพราะต้องซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ ขณะที่ความสามารถการส่งออกได้แค่ร้อยละ ๑๐ ของรายได้ทั้งหมด ขณะเดียวกันหากธุรกิจนี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ ประโยชน์ที่อ้างเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ การเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ถือเป็นการสร้างผลกำไรให้กับเจ้าของมากขึ้นอย่างมหาศาลมากว่า ส่วนผลที่ได้กับผู้บริโภค คือ ความเมา และความประมาทเท่านั้น

นอกจากนี้ หากความสนใจของตลาดทุนสูงขึ้น เพียงเพราะการนำธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าระดมทุน หากเป็นเช่นนั้นจริง ธุรกิจอาบอบนวด บุหรี่ และการพนัน ก็สมควรจะได้รับการพิจารณาในลำดับต่อไปเช่นกัน โดยฝ่ายคัดค้านยกตัวอย่างให้ฟังว่า แม้ประเทศฟิลิปปินส์จะมีหุ้นเบียร์ยี่ห้อ San Miguel ในตลาดหลักทรัพย์ แต่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ยังเล็กอยู่เช่นเดิม ทำให้หุ้นของเบียร์ San Miguel ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกงเพิ่มอีกทางหนึ่ง เพื่อเกื้อกูลให้มีสภาพคล่องในมะนิลา

ทั้งนี้ความสนใจของตลาดหุ้นยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจของชาติ และความยุติธรรมในความควบคุมกรอบของการซื้อขายหุ้น รวมไปถึงความมีจรรยาบรรณที่ดีทำให้ประชาชนไว้วางใจ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับหุ้นใหญ่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

ในนามของศูนย์ประสานของคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย จำนวนกว่า ๕, ๐๐๐ รูป ที่รวมตัวกันคัดค้านการนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ในครั้งนี้ นับเป็นการรวมตัวของคณะสงฆ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยืนยันว่า ในฐานะที่คณะสงฆ์มีหน้าที่เป็นครูสอนศีลธรรมให้กับคนในสังคม และรณรงค์เรื่องการงดเว้นการดื่มน้ำเมามาโดยตลอด จะขอยืนหยัดคัดค้านต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง. ด้วยตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเกิดจากผู้คนไม่รักษาศีล ทำให้สังคมไทยเสื่อมทรามลงไปทุกขณะ จึงขอเชิญชวนชาวพุทธทุกคนร่วมกันคัดค้านในเรื่องนี้อย่างเต็มที่.


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.018751398722331 Mins