.....สมัยเรียนมัธยม ฉันโหยหาแต่เพื่อนแต่ไม่รู้จักถนอมมิตรภาพ ฉันเคยมีเพื่อนรักแต่ก็ตัดขาดความสัมพันธ์ต่อกัน บรรดารูปถ่ายและของที่ระลึกต่างๆ ไม่มีเลยสักชิ้นเดียวที่เป็นสิ่งเตือนใจถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น ยกเว้นข้อความที่เธอเขียนหวัดๆไว้ในหนังสือรุ่นว่า “ เมื่อไหร่ที่เธอแต่งงานมีลูก ฉันคงขำกลิ้งแน่ๆ..” จากนั้นไม่ได้ข่าวคราวเธออีกเลย เป็นเวลากว่า ๒๐ ปีมาแล้ว
เมื่อตอนอายุ ๑๓ ฉันเป็นเด็กใหม่ในโรงเรียนมัธยม จึงต้องหาทางผูกมิตรกับใครสักคน
นิสัยแบบนี้ออกจะขัดแย้งกับตัวเองสักหน่อย เพราะความเป็นลูกสาวคนเดียวทำให้เป็นที่เอาอกเอาใจของคนรอบข้าง ไม่เคยเลยที่ฉันต้องไปงอนง้อให้ใครมาดูแล แต่ครั้งนี้คงถึงคราวจำเป็น แล้วฉันก็ได้รู้จักกับสายใย เด็กสาวผมสลวย รูปร่างผอมบาง ท่าทางเธอดูซื่อๆไม่มีพิษมีภัย ทำให้รู้สึกวางใจที่จะคบกับเธอมากกว่าคนอื่นๆ สายใยดูแลฉันเสมอ แม้ในใจจะรู้สึกไม่ค่อยได้ความเอาเสียเลยก็ตาม
เราเป็นเพื่อนรักกันมานานสี่ปี จนใครๆเห็นเราเดินไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีฉันก็ต้องมีสายใย จนกระทั่งวันหนึ่งฉันตัดสินใจเลิกคบกับเธอดื้อๆ เหตุผลเพราะผู้ชายที่ฉันชอบไปสนใจเธอเข้า ผู้หญิงจืดชืดที่ฉันคิดว่าไม่เอาไหน ไม่มีอะไรเหนือฉันเลยสักอย่าง
แม้สายใยจะปฏิบัติต่อฉันเหมือนเดิม.. แต่มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ฉันเคยคิดว่า ทำไมเราต้องรักษามิตรภาพไว้ด้วย ในเมื่อเราเรียนจบจากโรงเรียนแล้ว ไม่ต้องเจอคนไม่ถูกกัน ไม่ต้องเข้าโรงอาหาร และพ้นจากวัย รุ่นอันสับสนไปแล้ว ทำไมเราต้องถวิลหาเพื่อนในเมื่อเราอยู่ด้วยตัวเองได้ เพื่อนบนโลกนี้เยอะแยะไปที่จะคบกันเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง แต่กว่าจะได้รู้ซึ้งถึงบางสิ่ง เวลาก็ผ่านไปเกือบ ๒๐ ปี เส้นทางเดินชีวิตทำให้ฉันรู้ว่า จะหาเพื่อนที่ดีสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะคำว่า “ เพื่อนแท้” ไม่รู้จะหาได้หรือเปล่า
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมา สายใยโทรมาหาฉัน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไป ที่นัดพบของเราวันนี้ไม่ได้เป็นร้านโดนัทเหมือนเคย แต่เป็นสวนหย่อมของโรงพยาบาล ฉันจูงรถเข็นที่สายใยนั่งไปรอบๆ เราเดินกันไปเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดคุย เหมือนมันตื้นตันและเข้าใจกันเกินกว่าจะเอ่ย
ฉันเคยทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ปรารถนาที่จะให้ดวงไฟทุกดวงส่องชัดมาที่ฉันคนเดียว แต่ในวันที่ไม่เหลือใคร มีเพียงมิตรภาพของเพื่อนเท่านั้นที่ส่องสว่างในใจ แม้ในวันนี้ไม่มีดวงไฟดวงไหนส่องมาที่ฉันอีกก็ช่างเถิด เพราะ
อุบลเขียว