.....ถ้าจักรวาลถูกทำลายด้วยน้ำ ไม่มีดวงอาทิตย์ดวงอื่นเกิดขึ้นทำนองเดียวกัน แต่จะมีลมพัดมาแทน แรก ๆ ก็เป็นลมพัดอ่อน ๆ แล้วจึงแรงขึ้น ๆ พัดเอาทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ต้นไม้ ก้อนหินให้เลื่อนลอยไปในอากาศ แล้วหนุนให้กระทบกระทั่งกันจนแหลกละเอียดสูญหายไปไม่มีเศษเหลือ ส่วนที่ใต้พื้นดินก็มีลมพัดหวนพลิกแผ่นดินให้กระจุยกระจายไปกระทบระเบิดกันเองกลางอากาศ จนละเอียดไม่มีเศษแม้กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ก็เป็นทำนองเดียวกันหมด ย่อยยับไม่เหลือแม้แต่อณูเดียว จนเป็นอากาศโล่งไปจนถึงตติยฌานภูมิในพรหมโลก
เวลาโลกเริ่มพินาศ จนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ความว่างเปล่า
เวลาที่มีแต่ความว่างจนกระทั่งมีฝนตกใหม่เพื่อที่จะเกิดจักรวาลใหม่
เวลาฝนเริ่มตก จนถึงมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น
เวลาที่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์เกิดขึ้น จนกระทั่งมีการพินาศอีก
ทั้ง ๔ ระยะเวลาเหล่านี้ มีความช้านานเท่า ๆ กัน เรียกว่า อสงไขยกัป นานเท่ากับ ๖๔ อันตรกัป ( อายุขัยของมนุษย์ไขลงไขขึ้น ๑ ครั้ง เรียกว่า อันตรกัป)
นับตั้งแต่จักรวาลถูกทำลาย จนกระทั่งเกิดใหม่ และพินาศอีกครั้งจึงเป็นเวลา ๔ อสงไขยกัป หรือ ๒๕๖ อันตรกัป นับเป็น ๑ มหากัป
ส่วนคำว่า “ กัป” หมายถึงเวลาที่ยาวนานนับประมาณไม่ได้ เปรียบเหมือนมีภูเขาแท่งศิลาทึบ กว้าง ยาว สูง อย่างละ ๑ โยชน์ ( ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร) ครบร้อยปี มีเทวดาเอาผ้าทิพย์ที่บางเบาราวกับควันไฟมาลูบภูเขานี้ ๑ ครั้ง เมื่อใดภูเขาลึกกร่อนจนเรียบเสมอพื้นดิน เรียกว่า ๑ กัป
หรือจะเปรียบเหมือนบ่อใหญ่ กว้าง ยาว ลึก อย่างละ ๑ โยชน์ ใส่เมล็ดพันธุ์ผักกาดให้เต็ม ทุก ๆ ๑๐๐ ปี จะนำออกทิ้งเสีย ๑ เมล็ด ต่อเมื่อใดหมดบ่อจึงเรียกว่า ๑ กัป ก็ได้
คำว่า “ กัป” กับ “ มหากัป” ต่างกันดังที่กล่าว
ทั้งหมดนี้ คือความเป็นไปของจักรวาล ตั้งแต่เริ่มก่อตัวเกิดขึ้น จนกระทั่งพินาศลง เป็นเหมือนกันเช่นเดียวกันทุกแห่งไป และเมื่อจักรวาลเหล่านี้มีจำนวนมาก ไม่มีที่สิ้นสุดนับไม่ถ้วน ชนิดที่ต้องเรียกว่าอนันตจักรวาล ดังนี้เมื่อใดเราฝึกจิตมีคุณภาพดีเต็มทีย่อมสามารถเห็นได้ว่า ขณะนี้จักรวาลบางแห่งกำลังเกิดอยู่ก็มี บางแห่งกำลังถูกทำลายก็มี บางแห่งมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ก็มี เป็นเรื่องปกติธรรมดาของความเป็นไปของจักรวาล
บทที่ ๔
จักรวาล คือ กรงขังสัตว์
จักรวาล เป็นที่ตั้งของภพภูมิทั้ง ๓๑ เราสามารถรู้เห็นได้ด้วยการทำจิตให้มีคุณภาพตามที่กล่าวไว้ข้างต้น หรือถ้าแม้ยังไม่มีศรัทธาความเชื่อที่จะทำ ก็สามารถประมวลจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่รู้เห็นกันอยู่ เช่น เราเห็นสัตว์ดิรัจฉานมากมายหลายชนิดอยู่ทั่วไปในโลกของเรา เราได้ยินได้ฟังเรื่องของสัตว์บางภูมิที่ไม่ใช่มนุษย์เหมือนเรา เช่น เรื่องผี เรื่องเปรต อสุรกาย พระภูมิเจ้าที่ ชาวเมืองลับแล ซึ่งบางทีไม่ใช่เพียงคำบอกเล่า แต่ตัวเราเองกลับมีประสบการณ์นั้นเสียเองก็มี เช่นได้พบเห็นด้วยตนเองหรือถ่ายภาพสถานที่บางแห่ง เมื่ออัตภาพออกมากลับมีภาพคนตายแล้วติดอยู่บ้าง หรือเป็นรูปร่างของผู้อื่นที่ไม่รู้จักและไม่ได้อยู่ในสถานที่นั้นบ้าง
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า นอกจากสัตว์ที่เป็นมนุษย์อย่างเราแล้ว สัตว์ประเภทอื่น ๆ มีอยู่ และถ้าเราได้พิสูจน์ทางจิต เราจะสามารถรู้เห็นถึงสัตว์ในภูมิอื่น ๆ ตรงตามคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีอยู่ในตำรับตำราต่าง ๆ ทุกประการ
ไม่ว่าจะประมวลจากความรู้ทางตำราหรือจากการรู้เห็นทางจิต ก็จะพบความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอยู่เดิม เหมือนเป็นชีวิตพื้นฐานของจักรวาล สัตว์ภูมิอื่น ๆ ล้วนไปจากมนุษย์ทั้งสิ้น การจะกลายจากมนุษย์เป็นสัตว์ภูมิต่าง ๆ เหล่านั้นเพราะมีสาเหตุจาก
กิเลสประเภทต่าง ๆ บีบใจมนุษย์
ใจเมื่อถูกบีบ ก็จะทำกรรม
กรรมเมื่อกระทำไปแล้ว ก็จะเกิดวิบากตามมา
วิบากมีอำนาจนำมนุษย์ เมื่อตายไปแล้วให้ไปเกิดตามภพภูมิต่าง ๆ เช่น
ทำความชั่วด้วยอำนาจ โลภะ มักไปเกิดเป็น เปรต
ทำความชั่วด้วยอำนาจ โทสะ มักไปเกิดเป็น สัตว์นรก
ทำความชั่วด้วยอำนาจ โมหะ มักไปเกิดเป็น สัตว์ดิรัจฉาน
ถ้าทำความดีพอสมควร เช่น รักษาศีล ๕ เป็นปกติ มักเกิดเป็นมนุษย์อย่างเดิม
ถ้าทำความดี ให้ทาน รักษาศีล และละอายเกรงกลัวบาป ตายแล้วไปเกิดในเทวโลก
ถ้าทำความดี ให้ทาน รักษาศีล ละอายเกรงกลัวบาปแล้ว ยังเพิ่มการทำจิตภาวนา กระทั่งมีอารมณ์แน่วแน่ เรียกว่าได้ ฌาน ย่อมสามารถไปเกิดเป็นพรหมชั้นต่ำ หรือสูงตามระดับของฌานจิต
หลักฐานจากเรื่องการกำเนิดของจักรวาลหรือโลกธาตุ ก็ยืนยันไว้แน่นอนว่าเมื่อจักรวาลอุบัติมีแผ่นดินในชมพูทวีปเกิดขึ้น พรหมในชั้นอาภัสสราภูมิที่หมดบุญหรือหมดอายุขัย ได้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ในยุคต้นกัป
และถ้าจะย้อนถามว่า เหล่าอาภัสสราพรหมเหล่านั้น แต่เดิมมาจากไหน ก็ตอบได้ว่ามาจากมนุษย์ที่บำเพ็ญเพียรทางจิตจนได้ฌาน
มนุษย์จึงนับเป็นสัตว์พื้นฐานของจักรวาลจริง ๆ