.....ท่านอนาถบิณฑิตเศรษฐีท่านนี้เป็นกำลังสำคัญของพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้ความสนิทสนม แล้วก็เทศน์เรื่องกามโภคีให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีฟังถึงกามโภคีบุคคลประเภทต่างๆ คือ
.....๑. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม คือหาด้วยการทำงานที่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้ว ไม่บำรุงตนให้เป็นสุข ไม่แจกจ่าย และยังไม่ทำบุญ เรียกว่าหากก็ไม่ฉลาด ใช้ก็ไม่ฉลาด ทั้งเก็บก็ไม่ฉลาด แต่กลับเก็บเอาบาปไว้
.....๒. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม ด้วยการงานที่ผิด ครั้งแสวงหาได้แล้ว บำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่าย ไม่ทำบุญ อย่างนี้เรียกว่าโง่ในการหา แต่ว่าฉลาดใช้หน่อย แต่พอถึงตอนเก็บ ก็เก็บไม่ฉลาดอีก
.....๓. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยไม่ชอบธรรม ด้วยการงานที่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้วบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ ประเภทนี้หาแบบโง่ แต่ใช้ฉลาด เก็บฉลาด
.....๔. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์ ทั้งโดยชอบธรรมและไม่ชอบธรรม คือเอาทั้งนั้นไม่ว่าจะชอบธรรมและไม่ชอบธรรม อาชีพสุจริตก็เอา ใต้โต๊ะก็เอา บนโต๊ะก็เอา ด้วยการหาเงินที่ผิดบ้าง ไม่ผิดบ้าง ครั้นแสวงหาได้แล้ว ไม่บำรุงตนให้เป็นสุข ไม่แจกจ่าย ไม่ทำบุญ ประเภทนี้หาก็มีทั้งโง่และฉลาด แต่เวลาเก็บนั้นโง่ ใช้ก็โง่
.....๕. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์ทั้งโดยชอบธรรมและไม่ชอบธรรม คือแบบโง่ก็เอา ไม่โง่ก็เอาล่ะ หาด้วยการงานที่ผิดบ้างไม่ผิดบ้าง ครั้นแสวงหาได้แล้ว บำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่ายไม่ทำบุญ พวกนี้หาทั้งโง่หาทั้งฉลาด และพอฉลาดในการใช้อยู่บ้าง แต่ว่าโง่ในการเก็บ เพราะไม่แจกจ่าย ไม่ทำบุญ คือเก็บข้ามชาติไม่เป็น
.....๖. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์ทั้งโดยชอบธรรม และไม่ชอบธรรม ด้วยการงานที่ผิดบ้างไม่ผิดบ้าง ครั้นแสวงหาได้แล้ว บำรุงตนให้เป็นสุขแล้วแจกจ่ายทำบุญ คือในส่วนที่หานั้น มีทั้งฉลาดทั้งโง่ แต่ว่าใช้แบบฉลาดแล้วก็เก็บฉลาด
....๗. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ด้วยการหางานที่ไม่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้วไม่บำรุงตนให้เป็นสุข และไม่แจกจ่ายไม่ทำบุญ คือฉลาดในการหา แต่ว่าโง่ในการใช้ และไม่รู้จักเก็บ
.....๘. กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ด้วยการหางานไม่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้วบำรุงตนให้เป็นสุข แต่ไม่แจกจ่ายไม่ทำบุญ ประเภทนี้หาฉลาด แล้วก็ใช้ฉลาด แต่ไม่เก็บข้ามภพข้ามชาติ
.....๙. กามโภคีบุคคลบางคนในโลกนี้ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ด้วยการงานที่ไม่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้วบำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ แต่เป็นผู้มัวเมาหมกมุ่นจดจ่อ ไม่เห็นโทษในกามทั้งหลาย ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก ใช้สอยโภคทรัพย์เหล่านั้น คือตอนหาก็ฉลาด ตอนใช้ก็ฉลาด ตอนเก็บก็ฉลาด แต่ว่าไม่มีปัญญาพอจะสลัดออกจากอำนาจของกิเลสกาม เพราะไม่ได้อยู่ใกล้บัณฑิต ก็เลยเป็นอย่างนี้
.....๑๐. กามโภคีบุคคลบางคนในโลกนี้ แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ด้วยการงานที่ไม่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้ว บำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ ทั้งเป็นผู้ไม่มัวเมาไม่หมกมุ่น ไม่จดจ่อ หนำซ้ำยังเห็นโทษของกาม เห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด เห็นภัยของวัฏสงสาร มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก ใช้สอยโภคทรัพย์เหล่านั้น นี่ฉลาดทั้งการหาการใช้การเก็บ แล้วก็ขวนขวายในการจะปราบกิเลสให้หมดไปเพื่อไปนิพพาน
.....กามโภคีบุคคล ๑๐ จำพวก
.....สรุปเป็น ๑๐ จำพวก ดังตารางต่อไปนี้
กามโภคีบุคคล ๑๐ จำพวก
|
|||||
ประเภท
|
การหา
|
กับตนเอง
|
กับผู้อื่น
|
กับบุญ
|
มีปัญญาออกจากกาม
|
๑
๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ |
ไม่ชอบธรรม
ไม่ชอบธรรม ไม่ชอบธรรม ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม ชอบธรรม ชอบธรรม ชอบธรรม ชอบธรรม |
ไม่บำรุงตน
บำรุงตน บำรุงตน บำรุงตน บำรุงตน บำรุงตน ไม่บำรุงตน บำรุงตน บำรุงตน บำรุงตน |
ไม่แบ่งปัน
ไม่แบ่งปัน แบ่งปัน ไม่แบ่งปัน ไม่แบ่งปัน แบ่งปัน ไม่แบ่งปัน ไม่แบ่งปัน แบ่งปัน แบ่งปัน |
ไม่ทำบุญ
ไม่ทำบุญ ทำบุญ ไม่ทำบุญ ไม่ทำบุญ ทำบุญ ไม่ทำบุญ ไม่ทำบุญ ทำบุญ ทำบุญ |
ไม่มีปัญญา
ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญา มีปัญญา |
.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสชมอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่าอยู่ในกลุ่มที่ ๑๐ นั่นเอง โดยพระองค์ตรัสชมว่าในบรรดากามโภคีบุคคล ๑๐ จำพวกนี้ กามโภคีบุคคลที่แสวงหาโภคทรัพย์โดยชอบธรรม ด้วยการงานที่ไม่ผิด ครั้นแสวงหาได้แล้ว บำรุงตนให้เป็นสุข และแจกจ่ายทำบุญ ทั้งเป็นผู้ไม่มัวเมา ไม่หมกมุ่น ไม่จดจ่อ เห็นโทษแห่งกาม มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก ใช้สอยโภคทรัพย์เหล่านั้น นี้เป็นผู้เลิศ ประเสริฐ เป็นหัวหน้าที่สูงส่งล้ำเลิศ