.....เป็นไปได้หรือ ที่ปุถุชนคนธรรมดา จะสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์ได้ เมื่อยังต้องอยู่ท่ามกลางสิ่งล่อลวงใจ หรือตกอยู่ในภาวะขัดสน หรือแม้แต่อยู่ในที่ลับตาปราศจากการรู้เห็นของผู้คน เป็นไปได้หรือที่มนุษย์ปุถุชน จะหักห้ามใจไม่ล่วงละเมิดศีลได้
.....คำตอบคือเป็นไปได้ เพราะการรักษาศีลนั้น สามารถทำได้อย่างสะดวกสบาย ง่ายดาย หากว่ามี หิริ และ โอตตัปปะ เป็นธรรมะประจำใจ
เพราะ หิริ คือ ความละอายใจต่อการทำชั่ว สิ่งใดก็ตาม หากเป็นความชั่วเลวทราม จะไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ด้วยความที่รังเกียจและขยะแขยง เห็นเป็นสิ่งสกปรก
ส่วน โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อผลของความชั่ว เมื่อรู้ว่าการทำความชั่วจะมีผลร้ายตามมา จึงเกรงกลัวอันตรายของความชั่ว ราวกับกลัวงูพิษ
เมื่อ หิริ และ โอตตัปปะ เป็นคุณธรรมที่ทำให้เกลียดกลัวความชั่วเช่นนี้ ผู้มีหิริ โอตตัปปะ เป็นธรรมประจำใจ ย่อมมีศีลบริสุทธิ์เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อย่างไร จะต่อหน้าหรือลับหลังใคร ก็จะไม่ยอมให้ความชั่วใด ๆ มาแปดเปื้อนเลย
ดังเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเล่าแก่ภิกษุทั้งหลายในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่ง พระภิกษุ ๕๐๐ รูป ณ วัดเชตวัน ได้เกิดกามวิตกขึ้นในยามค่ำคืน ต่างคิดถึงความสุขที่เกิดจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เคยพบมา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงใช้ทิพยจักขุญาณตรวจดูวาระจิตของภิกษุเหล่านั้นด้วยความห่วงใย ดุจบิดามารดาห่วงใยบุตร ทรงเล็งเห็นทุกข์ภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงโปรดให้พระอานนท์ จัดการให้พระภิกษุเหล่านั้นมาประชุมพร้อมกัน แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า
....."ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่ลับย่อมไม่มีในโลก
บัณฑิตในกาลก่อน เห็นอย่างนี้แล้ว จึงไม่ทำบาปกรรม"
จากนั้นพระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาแสดงแก่ภิกษุเหล่านั้น
.....สีลวิมังสชาดก*
.....เมื่อครั้งที่พระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยก็ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยา ในสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งกรุงพาราณสี และได้เป็นหัวหน้าของมานพ ๕๐๐ คน ซึ่งเล่าเรียนอยู่ในสำนักเดียวกัน
ท่านอาจารย์มีธิดาผู้กำลังเจริญวัย ซึ่งท่านคิดจะยกให้กับมานพผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ท่านจึงคิดจะทดสอบการรักษาศีลของมาณพเหล่านั้นดู
อาจารย์จึงเรียกมานพทั้งหลายมา แล้วกล่าวว่า
....."ธิดาของเราเจริญวัยแล้ว เราจะจัดงานวิวาห์ให้แก่นาง จึงจำเป็นต้องใช้ผ้า และเครื่องประดับต่าง ๆ พวกเธอจงไปขโมยผ้าและเครื่องประดับจากหมู่ญาติของเธอมา โดยอย่าให้ใครเห็น เราจะรับเฉพาะผ้าและเครื่องประดับที่ขโมยมาโดยไม่มีใครเห็นเท่านั้น ของที่มีคนเห็นเราจะไม่รับ"
.....มานพทั้งหลายรับคำ แล้วก็ไปขโมยของจากหมู่ญาติของตน โดยไม่ให้ใครเห็น จากนั้นก็นำมามอบให้กับอาจารย์ คงมีเพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้น ที่ไม่นำสิ่งใดมาเลย อาจารย์จึงถามพระโพธิสัตว์ว่า "เธอไม่นำสิ่งใดมาเลยหรือ" พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า "ครับ อาจารย์"
เมื่ออาจารย์ถามถึงเหตุผล พระโพธิสัตว์จึงตอบว่า "เพราะว่าอาจารย์จะรับเฉพาะของที่เอามาโดยไม่มีใครเห็น ผมคิดว่าไม่มีการทำบาปใด ๆ จะเป็นความลับไปได้เลย"
.....แล้วพระโพธิสัตว์จึงกล่าวพระคาถาว่า
"ในโลกนี้ ย่อมไม่มีที่ลับแก่ผู้กระทำบาปกรรม
ต้นไม้ที่เกิดในป่า ยังมีคนเห็น
คนพาล ย่อมสำคัญผิด คิดว่าบาปกรรมนั้นเป็นความลับ
ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ แม้ที่ว่างเปล่าก็ไม่มี
ในที่ใดว่างเปล่า ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่เห็นใคร
ที่นั้น ย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า"
......เมื่ออาจารย์ได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในตัวพระโพธิสัตว์ยิ่งนัก จึงกล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า
"ดูก่อนพ่อ ในเรือนของเราไม่มีทรัพย์สินอะไร แต่เรามีความประสงค์จะมอบธิดาของเราให้แก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล เราต้องการทดสอบมาณพทั้งหลาย จึงได้ทำอย่างนี้ และธิดาของเราเหมาะสมกับท่านเท่านั้น" แล้วประดับตกแต่งธิดามอบให้แก่พระโพธิสัตว์ พร้อมทั้งกล่าวกับมาณพทั้งหลายว่า
"สิ่งของที่พวกเธอได้นำมา จงนำกลับไปคืนยังเรือนของพวกเธอเถิด".
ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงพระธรรมเทศนานี้จบลง ภิกษุเหล่านั้นจึงเกิดความละอายและเกรงกลัวบาปอกุศล ต่างรักษาสติอยู่ในธรรมจนกระทั่งจิตเป็นสมาธิ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่าจิตของภิกษุเหล่านั้นเป็นสมาธิดีแล้วจึงทรงประกาศอริยสัจ
ในเวลาจบอริยสัจนั้นเอง ภิกษุทั้ง ๕๐๐ รูปได้ตั้งอยู่ในพระอรหัตผล
อ้างอิง : พระสูตรและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏฯ เล่มที่ ๕๘ หน้า ๔๐๖