มิจฉาทิฐิเป็นผลผลิตของกิเลส

วันที่ 07 พค. พ.ศ.2546


......อนึ่ง เพราะเหตุที่ทรัพยากรตามธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด เมื่อถูกนำมาใช้อยู่ตลอดเวลา จึงลดน้อยร่อยหลอลงเรื่อยๆ สิ่งนี้ย่อมเป็นเหตุให้ผู้คนวิตกกังวลถึงความขาดแคลนที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต จึงพยายามสะสมกันอย่างเกินจำเป็น พฤติกรรมเช่นนี้นอกจากจะเป็นสาเหตุสำคัญที่กอ่ให้เกิดช่องว่างระหว่างผู้คนในสังคมเดียวกัน จนสามารถก่อให้เกิดมหาวิบัติขึ้นในสังคมได้อีกด้วย

.....อีกประการหนึ่ง ทรัพยากรตามธรรมชาติแต่ละอย่างล้วนอยู่กระจัดกระจายกันไปคนละแห่ง ตามภูมิภาคต่างๆ ของโลก เช่นบางประเทศก็อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ขาดแคลนแห่งอาหาร บางประเทศก็อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร แต่ขาดแคลนแหล่งเชื้อเพลิง บางประเทศก็อุดมสมบูรณ์ด้วยแหล่งแร่ธาตุอันมีค่า แต่ขาดแคลนทั้งแหล่งเชื้อเพลิงและแหล่งอาหาร เป็นต้น

.....ประเทศชาติที่ขาดแคลนสิ่งใด ก็ย่อมจะสามารถแสวงหาสิ่งที่ประเทศของตนขาดแคลนได้ด้วยการแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนมีกับประเทศอื่น ที่มีสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์ ถ้าการแสวงหาดำเนินไปอย่างถูกต้องทำนองคลองธรรม ในลักษณะถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน สัมพันธภาพระหว่างประเทศตลอดจนระหว่างประชาชนทั่วโลก ย่อมดำเนินไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพอย่างแน่นอน ถ้าเป็นเช่นนี้ ประชาคมโลกย่อมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข

.....แต่เพราะเหตุที่คระผู้บริหารประเทศมหาอำนาจบางประเทศ มีมิจฉาทิฏฐิแรงกล้า ปล่อยให้กิเลสตระกูลโมหะ คือความหลงมัวเมาเข้าครอบงำจิตใจ จึงใช้วิธีการเยี่ยงอันธพาลแสวงหาทรัพยากรตามธรรมชาติที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ในประเทศเล็กๆ มาสร้างความมั่งคั่งร่ำรวนให้แก่ประเทศของตน โดยการเบียดเบียนและเอารัดเอาเปรียบประเทศเล็กๆ อย่างไร้ยางอาย ทำให้ชนชาติที่ถูกรังแกอยู่เนืองๆ ไม่สามารถจะทนเฉยอีกต่อไปได้ จึงพยายามหาวิธีตอบโต้อย่างรุนแรง โดยการทำลายล้างกันด้วยอาวุธสงคราม ดังที่มีข่าวเป็นระยะๆ ในปัจจุบัน

.....เมื่อมีการรุกรานและตอบโต้กันอย่างรุนแรงดังที่เกิดขึ้นแล้วนี้ ย่อมยากที่จะยุติลงได้ นั่นคือ ต่อแต่นี้ไปสังคมโลกจะร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ อย่างยากที่จะหาสันติสุข คนเราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความวิตกกังวลและหวาดผวา

.....กล่าวได้ว่า ปัญหาความขัดแย้งที่ทวีความร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ นี้ ล้วนก่อกำเนิดขึ้นจากความโลภ ความโกรธ และความหลง ในใจของมิจฉาทิฏฐิบุคคล ที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตเป็นรากเหง้าสำคัญ ซึ่งส่งผลให้เกิดมหาวิบัติขึ้นในโลกอย่างกว้างขวาง

.....๓. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องเป้าหมายชีวิต ชาวโลกโดยทั่วไป ไม่รู้ว่าตนเองเกิดมาเพื่อการปฏิรูปตนเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า มีศาสดาองค์ใดในโลก สอนให้รู้ว่าคนเราเกิดมาทำไม แม้นักวิทยาศาสตร์ผู้ทรงอัจฉริยภาพ สามารถประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมืออันทรงคุณค่า สำหรับใช้ในการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยสภาวะธรรมชาติและความเป็นไปต่างๆ ทั้งในโลกและนอกโลกได้อย่างน่ามหัศจรรย์ใจ ก็ยังบอกไม่ได้ด้วยความมั่นใจว่า พวกเขาเกิดมาทำไม ชีวิตหลังความตายของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

.....เพราะเหตุที่ไม่รู้ว่าตนเกิดมาทำไมนี่เอง ปุถุชนจึงหลงตั้งเป้าหมายชีวิตกันอย่างผิดๆ ตามความคิดของตน ซึ่งมีความหลากหลายแตกต่างกันอยู่มากมาย กระนั้นก็ตามยังมีสิ่งที่ปุถุชนส่วนใหญ่หลงคิดเห็นผิดตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ความมั่นคงร่ำรวยเท่านั้นที่จะทำให้คนเราสามารถแสวงหาความสุขได้เต็มอิ่มเต็มใจตามปรารถนา เพราะฉะนั้นแต่ละคนจึงพุ่งเป้าไปที่การแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวย และสะสมโภคทรัพย์กันไว้มากๆ ชนิดที่ไม่รู้ว่าจะต้องมากเท่าไรจึงจะพอ

....ความหลงผิดไม่รู้จักพอนี้เอง ที่ผลักดันปุถุชนให้แสวงหาอำนาจอย่างทุจริต ประกอบการงานอาชีพอย่างทุจริตกันอย่างกว้างขวาง โดยไม่กลัวเกรงกฏหมาย ไม่กลัวและไม่อายบาป ครั้นเมื่อมีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยขึ้นแล้ว ปุถุชนก็จะพากันแสวงหากามสุข ซึ่งในเบื้องต้นพวกเขาอาจจะไม่มีความคิดที่จะก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้ แต่ในที่สุดพฤติกรรมของพวกเขาก็มีผลให้เกิดปัญหาทั้งแก่ตนเอง ผู้อื่น ตลอดถึงสังคมโดยรวม เช่น การสร้างค่านิยมใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยขึ้นในสังคม การนิยมชมชอบอบายมุขต่างๆ ซึ่งยังผลให้เป็นคนติดสิ่งเสพติด ติดการพนัน ติดการเที่ยวกลางคืน ติดโรคเอดส์ ฯลฯ พฤติกรรมต่ำทรามเหล่านี้ นอกจากจะบั่นทอนสุขภาพใจของผู้ประพฤติโดยตรงแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว และสังคมอีกด้วย

 

สุ. พูนพิพัฒน์.

 


ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.039348749319712 Mins