.....สัมมาทิฏฐิ หมายถึง มีความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เห็นว่าทานที่ให้แล้วมีผลจริง ยิ่งให้ทานกับทักขิไณยบุคคลย่อมเกิดผลอันไพบูลย์ และการให้ยังสามารถกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัวออกจากใจได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มพูนความปรารถนาดีต่อกัน ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ซึ่งจุดหมายที่แท้จริง เพื่อมุ่งให้เราเป็นคนไม่ตระหนี่ ไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
.....การสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามของมนุษย์ เริ่มต้นจากแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ และความใฝ่ฝันอันสูงส่ง ที่ทำให้อยากลงมือทำภาพที่อยู่ในใจให้เป็นจริงขึ้นมา แม้บางครั้งอาจล้มเหลว แต่ก็ถือเป็นบทเรียนที่มีคุณค่า อันก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุด
.....มนุษย์สามารถประดิษฐ์สิ่งมหัศจรรย์มากมาย ให้ปรากฏต่อสายตาของชาวโลก งานสร้างสันติภาพโลกเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากทุกคน ต้องใช้เวลา และพลังใจที่เข้มแข็ง ประกอบด้วยมหากรุณากันจริง ๆ หากใจเรากล้าคิดที่จะเป็นผู้หนึ่งในการสร้างสันติภาพโลก เราต้องเริ่มต้นลงมือทำ ด้วยการฝึกตนให้เป็นผู้มีกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์ มีศีลบริสุทธิ์ และทำใจให้หยุดนิ่งจนเข้าถึงพระรัตนตรัย สักวันหนึ่ง โลกในอุดมคติย่อมจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ว่า
.....“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง ที่มีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก คือ เป็นผู้ไม่โลภอยากได้ของผู้อื่นประการ ๑ เป็นผู้ไม่มีจิตคิดปองร้ายต่อคนอื่นประการ ๑ เป็นผู้มีความเห็นชอบ มีความเห็นไม่วิปริตว่า ทานที่ให้แล้วมีผล การเซ่นสรวงมีผล การบูชามีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่ โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นโอปปาติกะมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ดำเนินไปโดยชอบ ผู้ปฏิบัติชอบ ผู้ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญา อันยิ่งด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตามมีอยู่ในโลกประการ ๑
.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมบัติแห่งการงานทางใจ ๓ อย่าง อันมีความตั้งใจเป็นกุศล ย่อมมีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก อย่างนี้แล”
.....*การที่เราจะได้มนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติ เบื้องต้นจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ประการ สัมมาทิฏฐิ หมายถึง มีความเห็นชอบ เห็นถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เห็นว่าทานที่ให้แล้วมีผลจริง ยิ่งให้ทานกับทักขิไณยบุคคลย่อมเกิดผลอันไพบูลย์ และการให้ยังสามารถกำจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัวออกจากใจได้ ขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มพูนความปรารถนาดีต่อกัน ระหว่างผู้ให้กับผู้รับ ซึ่งจุดหมายที่แท้จริง เพื่อมุ่งให้เราเป็นคนไม่ตระหนี่ ไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง
(*มก. มหาจัตตารีสกสูตร เล่ม ๒๒ หน้า ๓๔๑)
.....ยัญที่ทำแล้วมีผลจริง คำว่ายัญมีความหมายหลายอย่าง ในที่นี้หมายถึงการทำสังคมสงเคราะห์ เมื่อเราสงเคราะห์คนที่ด้อยโอกาส ทำให้เขากลายเป็นผู้ได้โอกาส ตัวเราก็ปลื้มปีติที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก และยิ่งได้อนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรผู้ประพฤติธรรม เราจะยิ่งปลื้มปีติ เพราะได้ให้อายุพระพุทธศาสนา ให้ท่านมีโอกาสทำหน้าที่ของท่านอย่างแท้จริง คืองานสอนศีลธรรมแก่ชาวโลก นับเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างยิ่ง เพราะหากโลกนี้ขาดสมณะแท้ ผู้คอยปลูกฝังชาวโลกให้มีสัมมาทิฏฐิแล้ว โลกจะต้องวุ่นวายมากกว่านี้อย่างแน่นอน
.....การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผลจริง การบูชา คือ การนำสิ่งของที่สมควร ไปสักการะ หรือมอบให้ผู้ที่ควรบูชา ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ทำคุณงามความดี ทั้งแก่ตนและผู้อื่น จุดมุ่งหมายของการบูชา เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ผู้มีพระคุณต่อเรา เป็นการยอมรับนับถือ ประกาศเกียรติคุณของท่านเหล่านั้นให้โลกรู้ และยึดไว้เป็นแบบอย่าง เป็นการส่งเสริมให้เกิดกำลังใจในการทำความดียิ่ง ๆ ขึ้นไป และการบูชาบุคคลผู้ควรบูชา ถือเป็นมงคลอันสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิตอีกด้วย
.....วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง กรรม แปลว่า การกระทำโดยเจตนา คือการกระทำทางกาย วาจา และใจ ไม่ว่าดีหรือชั่ว ที่เกิดจากความตั้งใจของผู้กระทำ ถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาความสุข การที่เราตั้งใจศึกษาวิชาการต่าง ๆ นั้น เพื่อเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นคง และความสุขให้กับชีวิต แต่หากไม่รู้เรื่องกฎแห่งกรรม ก็อาจจะนำความรู้ที่ศึกษามาใช้ ในทางที่ผิด หากเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรมดีแล้ว เราจะได้เลือกทำแต่ความดี ละเว้นจากความชั่วและบาปอกุศลทุกชนิด
.....โลกนี้มีจริง โลกตามหลักพระพุทธศาสนามีความหมาย กว้างมาก คือ ครอบคลุมไปถึง ๓ เรื่อง ตั้งแต่สัตวโลก หมายถึง จิตใจของหมู่สัตว์ทั้งหลาย ขันธโลกหรือสังขารโลก หมายถึง สังขารร่างกาย ขันธ์ ๕ ของคนและสัตว์ทุกชนิด ที่ประกอบด้วยกายและใจ และโอกาสโลก หมายถึง สถานที่สัตวโลกได้อยู่อาศัย และที่ทำมาหากิน รวมถึงบรรยากาศรอบตัวด้วย
.....เนื่องจากโลกมีความสำคัญต่อเรา เพราะทำให้เราได้อาศัยสร้างบารมี และโลกใบนี้ก็เป็นโลกแห่งการแสวงบุญ ไม่ใช่โลกแห่งการเสวยบุญ ดังนั้นเราจะต้องเร่งรีบสั่งสมบุญกุศลให้มาก ๆ ไม่ประมาทหลงไปทำบาปอกุศลอีกต่อ ไป ต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ทำความดีให้เต็มที่
.....สัมมาทิฏฐิประการต่อไป คือ โลกหน้ามีจริง หมายถึง เชื่อว่าชีวิตหลังความตาย มีจริง ไม่ได้ขาดสูญ หากจะสูญ ก็สูญเฉพาะสังขารร่างกายนี้เท่านั้น แต่ถ้ายังไม่หมดกิเลส เราจะได้รูปกายใหม่ที่มีใจดวงเดิมเข้าไปครอง จะไปเป็นอะไรนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับบุญและบาปที่ได้ทำไว้ในภพชาตินี้ เพราะกรรมจะเป็นเครื่อง แบ่งแยกสัตว์ให้แตกต่างกัน เมื่อเข้าใจเช่นนี้ จะได้เตรียมตัวตายให้ถูกหลักพุทธวิธี เป็นการเตรียมตัวเดินทางไปสู่โลกหน้าอย่างปลอดภัยและมีชัยชนะ
.....มารดามีคุณจริง ถ้าหากเรามีความเห็นที่ถูกต้องว่า มารดามีคุณต่อเราอย่างน้อย ๓ ประการ คือ ให้ชีวิตแก่บุตร ให้ต้นแบบร่างกายที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเหมาะต่อการทำ ความดี และให้ต้นแบบทางจิตใจแก่บุตร โดยสรุปคือ ท่านได้เปิดโลกให้บุตร ฉะนั้นเราย่อมต้องหาโอกาสตอบแทนคุณท่านอย่างเต็มที่
.....บิดามีคุณจริง โดยทั่วไปบิดามีพระคุณต่อบุตร ๓ ประการ เช่นเดียวกับมารดา แต่มักมีผู้สงสัยว่า บิดาที่ไม่ได้ให้การเลี้ยงดูบุตร ไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อนั้น จะยังมีคุณต่อลูกหรือไม่ หลวงพ่อขอตอบแทนพ่อทุกคนว่า ท่านมีคุณต่อเรามาก เพราะเราต้องเกิดแบบชลาพุชะ คือ เกิดในครรภ์ จำเป็นจะต้องอาศัยพ่อและแม่ เป็นผู้ให้กำเนิด โดยเริ่มที่พ่อ ก่อที่แม่ แล้วกลายมาเป็นเรา จะขาดบิดาไม่ได้ ดังนั้นถ้าไม่มีพ่อ เราก็ไม่อาจเกิดมาได้ ในเมื่อท่านอนุญาตให้เป็นทางผ่าน เพื่อให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสร้างบารมี เช่นนี้นับว่ามีบุญคุณอย่างเหลือล้นแล้ว
.....สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง คือ เกิดแบบไม่ต้องอาศัยครรภ์มารดา สัมมาทิฏฐิข้อนี้เป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ต้องอาศัยหลักพุทธศาสตร์ คือ ศาสตร์แห่งใจหยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าชาวสวรรค์หรือเหล่าสัตว์นรก ที่ไปเกิดในอบาย เขาเกิดแบบโอปปาติกะกันอย่างไร แม้ตอนนี้เรายังพิสูจน์ไม่ได้ ขอให้รับฟังไว้ก่อนว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ เป็นความจริงที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อใดๆ
.....สัมมาทิฏฐิประการสุดท้ายคือ สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ชนิดที่ทำให้แจ้งเองด้วยความรู้ยิ่ง และประกาศโลกนี้โลกหน้ามีจริง หมายความว่าพระอรหันต์ผู้สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง ความเห็นที่ถูกต้องนี้ จะนำไปสู่ความศรัทธาเลื่อมใส และอยากทำบุญกับผู้หมดกิเลส หรืออย่างน้อย ให้ได้ทำบุญกับพระสงฆ์ที่ท่านกำลังฝึกหัดขัดเกลาตนให้หลุดพ้นจากกิเลส เราย่อมจะได้บุญใหญ่ ละโลกแล้วย่อมจะมีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป
.....สัมมาทิฏฐิเบื้องต้นทั้ง ๑๐ ประการนี้ เปรียบเสมือนลู่ที่ให้เราวิ่งไปตามทาง เหมือนแสงทองส่องนำชีวิตให้ก้าวไปสู่ความสุขความสำเร็จ จึงต้องตอกย้ำบ่อย ๆ เพื่อเป็นการทบทวนด้วยว่า เรามีสัมมาทิฏฐิครบถ้วนบริบูรณ์แล้วหรือยัง เมื่อไรที่ใจเราหยุดนิ่งได้ถูกส่วนที่ศูนย์กลางกาย ได้เข้าถึงพระธรรมกาย และได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย ความเชื่อที่เรามีอยู่แล้ว ย่อมจะถูกต้องสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะนอกจากเชื่อแล้ว ยังเห็นจริงและพิสูจน์ได้จริงตามที่เราเข้าใจอีกด้วย ดังนั้นให้ทุกคนหมั่นปฏิบัติธรรม ให้เข้าถึงพระธรรมกายภายในให้ได้กันทุกคน