สัมมาทิฏฐิ (๒)

วันที่ 29 มค. พ.ศ.2551

 

.....เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการสร้างบารมี เมื่อผ่านไปแล้ว ย่อมไม่สามารถเรียกคืนมาได้ เหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลผ่านไปแล้ว ไม่อาจหวนกลับ ชีวิตเราก็เช่นกัน ต้องก้าวไปพร้อมกับกาลเวลา ก้าวไปพร้อมกับการสร้างความดี เราต้องใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ สร้างบารมีให้เต็มที่ เพื่อทำสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดให้เกิดขึ้นต่อตัวเราและชาวโลก ด้วยการประพฤติธรรม ทำใจให้หยุดนิ่ง เพราะเวลาแห่งใจหยุดนิ่ง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา

 

มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน ปุพพังคสูตร ความว่า

.....“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย คือ แสงเงินแสงทอง ฉันใด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เริ่มต้นเป็นนิมิตเบื้องต้น แห่งกุศลธรรมทั้งหลาย คือ สัมมาทิฏฐิ ฉันนั้น”

 

.....สัมมาทิฏฐิ แปลว่า มีความเห็นชอบ ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เป็นคุณธรรมข้อแรกในหลักปฏิบัติมัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายกลางที่จะทำให้เรา พบกับความสุข ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ เป็นต้นทางให้เราได้ทั้งสวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ และสามารถนำพาชีวิตเราสู่เป้าหมายอันสูงสุด คือ การบรรลุ มรรคผลนิพพานกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม

 

.....มนุษย์ทุกคนล้วนอยากเป็นคนดี ละโลกแล้วก็อยากมีสุคติเป็นที่ไปทั้งนั้น ไม่มีใครอยากไปเสวยวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานในนรก แม้ไปเกิดเป็นเปรต อสุรกายหรือสัตว์เดียรัจฉาน ก็ไม่มีผู้ใดปรารถนา หรือเมื่อบำเพ็ญภาวนา ก็อยากบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่เนื่องจากจะหาบุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิครบบริบูรณ์ ที่จะมาแนะนำให้เราดำรงชีวิตอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบางครั้งความเข้าใจในเรื่องบุญบาปของพ่อแม่ หมู่ญาติ หรือคนใกล้ชิด อาจไม่บริบูรณ์ ทำให้มีโอกาสเห็นผิดเป็นชอบได้ ฉะนั้นการดำรงชีวิตบนเส้นทางที่ ถูกต้องในโลกนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกัลยาณมิตร

 

.....บางครั้งกว่าจะพบยอดกัลยาณมิตร เราอาจพลั้งเผลอไปคบหาสมาคม กับผู้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไปแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อจะกลับตัวกลับใจเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ จึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะทิฏฐิมานะบ้าง เพราะถูกโมหะเข้าครอบงำจิตใจ บ้าง เหมือนคนที่ติดยาเสพติด แม้รู้ว่าเสพแล้วไม่ดี เป็นอันตรายต่อสุขภาพ อีกทั้งยังทำให้เสียเงิน เสียเวลา และไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม แม้รู้ว่าตัวเองถลำลึกลงไปแล้ว ในใจอยากจะเลิก อยากกลับตัวกลับใจ อยากเป็นคนดีที่พ่อแม่และสังคมต้องการ แต่เลิกไม่ได้ เพราะจิตใจไม่เข้มแข็งพอ ซึ่งมีตัวอย่างให้เราเห็นกันอยู่มากมาย

 

.....เพราะฉะนั้น วันนี้จะนำเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติสวนทางกับพระนิพพาน มาเล่าสู่กันฟัง เป็นเรื่องของผู้ที่ในใจลึกๆ นั้น มีความปรารถนาอยากบรรลุมรรคผลนิพพาน แต่ด้วยวินิจฉัยยังไม่สมบูรณ์ จึงเข้าใจว่าตนเป็นพระอรหันต์ แม้กระนั้นก็ตาม ด้วยความเป็นยอดกัลยาณมิตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ท่านกลับใจ และในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ เรื่องของท่านมีอยู่ว่า

 

.....*เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมใหม่ๆ ทรงตั้งพระทัยว่า จะเสด็จไปโปรด พระเจ้าพิมพิสาร ที่แคว้นมคธ ระหว่างทางพระพุทธองค์เสด็จถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์มากถึง ๓,๕๐๐ อย่าง เพื่อให้ชฎิลละความเห็นผิด โดยวันแรกที่เสด็จไปถึง อุรุเวลกัสสปะให้พระพุทธองค์ไปพักในโรงไฟ ซึ่งมีพญานาค อาศัยอยู่ พญานาคไม่พอใจ จึงบังหวนควันใส่พระพุทธองค์ ทำให้เกิดประลองฤทธิ์กัน แต่ฤทธิ์ของพญานาคย่อมสู้พุทธานุภาพไม่ได้

(*มก. อุรุเวลกัสสปเถราปทาน เล่ม ๗๒ หน้า ๓๐๐)

 

.....รุ่งเช้า พวกชฎิลเห็นพระพุทธองค์จับพญานาคใส่ไว้ในบาตร ทำให้พวกชฎิลอัศจรรย์ใจมาก แต่ยังมีทิฏฐิว่า ถึงจะเก่งอย่างไร แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนพวกตน คืนต่อมาท้าวมหาราชทั้งสี่ เสด็จมาจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธองค์ จากนั้นพระอินทร์ ก็เสด็จมาอีก ทำให้บริเวณที่พักของพวกชฎิลสว่างไสวเหมือนเวลากลางวัน พวกชฎิลเกิดความอัศจรรย์ใจ จึงเข้าไปไต่ถามว่า

 

.....“ผู้ที่มาเยี่ยมพระองค์เป็นใคร ทำไมจึงมีรัศมีกายสว่างไสวเหลือเกิน” ครั้นรู้ความจริงแล้ว ก็ยังไม่ยอมละทิฏฐิอยู่ดี

 

.....บางวันชฎิลมาทูลนิมนต์ให้พระพุทธองค์ไปฉันอาหาร พระพุทธองค์ทรงให้เหล่าชฎิลล่วงหน้าไปก่อน ครั้นชฎิลไปแล้ว พระพุทธองค์ทรงหายวับไปเก็บผลหว้า ซึ่งเป็นผลไม้ประจำชมพูทวีป แล้วเสด็จไปประทับนั่งรอ บางครั้งพระพุทธองค์เสด็จไปเก็บดอกปาริฉัตรบนสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์มาให้เหล่าชฎิลดู ทำให้หมู่ชฎิลเกิดความอัศจรรย์ใจ แต่ก็ยังมีทิฏฐิมานะว่า ถึงอย่างไรสมณะนี้ ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนพวกตน

 

.....บางคราวพวกชฎิลผ่าฟืนท่อนใหญ่ไม่ได้ ต่างไปขอความช่วยเหลือจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธองค์ทรงอนุญาตเท่านั้น พวกชฎิลก็ผ่าฟืน ๕๐๐ ท่อนได้ในคราวเดียวกัน คราวจะก่อไฟ ไฟเกิดไม่ติด แต่ทันทีที่พระพุทธองค์ ตรัสอนุญาตว่า “ให้จุดได้แล้ว” เพียงสิ้นเสียงพระพุทธองค์เท่านั้น ไฟก็ติดพร้อมกันทั้ง ๕๐๐ กอง เมื่อเลิกบูชาไฟแล้ว จะดับไฟก็ดับไม่ได้ ต้องขอร้องให้พระพุทธองค์ช่วยดับให้ พระพุทธองค์ทรงอนุญาต ให้ดับไฟได้ ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ก็ดับพร้อมกันเป็นอัศจรรย์ พวกชฎิลก็ยังคงมีทิฏฐิมานะเหมือนเดิม

 

.....วันหนึ่ง เกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ยกเว้นบริเวณรอบ ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงเสด็จจงกรม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่ายชฎิลคิดว่า พระมหาสมณะคงถูกน้ำพัดไปแล้ว จึงพากันพายเรือไปบริเวณที่พักของพระพุทธองค์ เมื่อไปถึงต่างเกิดความอัศจรรย์ใจ เพราะน้ำไม่ท่วมบริเวณนั้น พวกชฎิลทูลเชิญให้พระพุทธองค์เสด็จขึ้นเรือ พระพุทธองค์ทรงเสด็จเหาะขึ้นไปประทับนั่งบนเรือ นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังแสดงปาฏิหาริย์อื่นอีกมาก เพื่อให้ชฎิลเหล่านั้นคลายทิฏฐิมานะ หันมาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย

 

.....เมื่อแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างแล้ว พระพุทธองค์ทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้ มัวคิดว่า ตนเป็นพระอรหันต์ ไม่ยอมรับความจริง จึงตรัสว่า “ดูก่อนกัสสปะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งยังไม่พบทางที่จะเป็นพระอรหันต์ แม้ปฏิปทาของท่าน ที่จะไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มี ท่านอย่ามัวถือทิฏฐิมานะอยู่เลย ทิฏฐิของพวกท่านจะทำให้ท่านและมหาชนไปสู่มหานรก ทนทุกข์ทรมานในอบาย อีกยาวนานนับภพนับชาติไม่ถ้วน”

 

.....อุรุเวลกัสสปะฟังดังนั้น เกิดความสังเวชสลดใจ เพราะรู้ว่าตนยังคงเป็นผู้มาก ไปด้วยราคะ โทสะ และโมหะ จึงซบศีรษะแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า พลางทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ เมื่อน้องชายทั้งสองรู้ว่าพี่ชายบวชแล้ว ต่างพากันออกบวชตาม เมื่อฟังธรรมแล้วทั้งหมดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในที่สุด

 

.....เห็นไหมว่า หากสภาพแวดล้อมรอบตัวปลูกฝังความเชื่อไว้อย่างไร เรามักยึดติดในความเชื่อนั้น ถ้าเป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา เป็นสัมมาทิฏฐิ ชีวิตย่อมปลอดภัย แต่ถ้าไม่ใช่ก็อันตราย และการไปแก้ไขคนที่มีความเห็นผิด ให้มาเข้าใจเรื่องโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริงนั้น เป็นงานใหญ่ที่จะต้องอาศัย พลังใจอย่างมาก แต่ถ้าเราทำได้ก็เท่ากับว่า เปิดหนทางสวรรค์และนิพพาน ให้กับเพื่อนร่วมโลก

 

.....สัมมาทิฏฐิที่เข้าไปอยู่ในใจเขา เปรียบเหมือนแสงสว่าง ที่เข้ามาแทนที่ความมืด เมื่อชาวโลกมีสัมมาทิฏฐิครบถ้วนบริบูรณ์ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ หรืออย่างน้อย เมื่อละโลกนี้ย่อมมีสุคติโลกสวรรค์ เป็นที่ไป เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราเกิดมาในยุคที่พระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงอยู่ ขอให้หมั่นศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ และตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ดำเนินชีวิตบนเส้นทางสายกลางเพื่อไปสู่ อายตนนิพพานกันทุกคน

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013993302981059 Mins