เรื่องที่ผ่านมา ผลบุญที่ได้ทำเอาไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้า ยังส่งผลถึงเพียงนั้น เรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องของผู้ที่มีใจผูกไว้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ได้สร้างบารมีมากมายกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายเท่านัก และพระองค์ก็ยังไม่ได้มาบังเกิดในพระครรภ์ของพระมารดา อีกทั้งนักบวชท่านนี้ ก็ยังไม่เตยเห็นพระวรกายจริงของพระพุทธองค์อีกด้วย เรื่องมีดังนี้
พระวสภะเถระ ท่านได้ระลึกชาติของท่านว่า บุญใดในอดีตที่สงผลให้ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบัน แล้วเล่าให้หมู่ภิกษุด้วยกันฟังว่า ย้อนกลับไปยาวนานถึง ๓๐,๐๐๐ กัป ในภพชาตินั้น ท่านได้ออกบวชเป็นชฎิล บำเพ็ญเพียรกระทั่งมีตบะใหญ่ มีคนเลื่อมใสศรัทธามาก มีลูกศิษย์มากถึง ๔๐,๐๐๐ คน
ในขณะที่หลีกออกเร้น ปลีกวิเวกอยู่ ได้มีความคิดว่า “มหาชนล้วนบูชาเรา ยกย่องเราเป็นอาจารย์ แต่เราเองไม่ได้มีสิ่งใดบูชาเลย แม้ผู้ที่จะมาสั่งสอนหรือตักเตือนก็ไม่มี เราไม่มีทั้งครูและอาจารย์ สิ่งที่ควรบูชา เราก็กำลังแสวงหาอยู่ แต่ก็ไม่พบ” เมื่อคำนึงอย่างนี้ ก็ระลึกได้ว่ามนต์ที่ท่านได้ร่ำเรียนมา มีเรื่องลักษณะมหาบุรุษของผู้ที่จะมาบังเกิดแล้วตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ศึกษาทบทวนในคุณธรรมของพระพุทธองค์แล้ว ท่านเกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งว่า จะมีผู้ที่ฝึกตนได้ดีเยี่ยมเช่นนี้มาบังเกิดขึ้นในโลก ท่านได้น้อมใจทำความเลื่อมใสทั้งๆ ที่ยังไม่เคยเห็นลักษณะมหาบุรุษมาก่อนเลย
ท่านนำทรายจากชายหากของแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาศรมมาก่อเป็นพระเจดีย์ทราย เพื่อเป็นเครื่องระลึกในใจแสดงถึงความเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมา ได้ก่อเป็นพระสถูปที่หาดทรายแล้วปิดทอง นำดอกกระดึงทอง ๓,๐๐๐ ดอก มาบูชาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ ประนมมืออัญชลีนมัสการทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น ไหว้พระเจดีย์ทรายเหมือนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในที่เฉพาะพระพักตร์ ท่านเล่าว่า
“ในเวลาที่กิเลสและความตรึกเกี่ยวด้วยกามเกิดขึ้น เราก็นึกถึงและเพ่งดูสถูปที่ได้ทำไว้ ตักเตือนตนว่า ท่านควรระวังกิเลสไว้ ดูก่อน ท่านผู้นิรทุกข์ การปล่อยให้กิเลสเกิดขึ้นไม่สมควรแก่ท่าน เมื่อเราคำนึงถึงพระสถูป ย่อมเกิดความเคารพขึ้นพร้อมกัน เราจึงบรรเทาวิตกที่น่าเกลียดเสียได้"