เมื่อหมดอายุขัย ณ ที่นั้นแล้ว เราได้ไปเกิดในพรหมโลก เราอยู่ในพรหมโลกนั้น ตราบเท่าหมดอายุ แล้วมาบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เป็นจอมเทวดา (พระอินทร์) เสวยทิพยสมบัติในเทวโลก ๘๐ ครั้ง เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณานับมิได้
เราได้เสวยผลบุญจากการบูชาดอกกระดึงทองเหล่านั้น ดอกกระดึงทอง ๒๒,๐๐๐ ดอก แวดล้อมเราทุกภพ เพราะเราเป็นผู้บำเรอพระสถูป ฝุ่นละอองย่อมไม่ติดที่ตัวเรา เหงื่อไม่ไหล เรามีรัศมีซ่านออกจากตัว”
ท่านอุทานด้วยความปีติใจว่า “โอ พระสถูปเราได้สร้างไว้ดีแล้ว ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ได้บรรลุธรรมอันไม่หวั่นไหว ก็เพราะได้ก่อพระสถูปทราย เราทำในสิ่งที่บุคคลผู้ปรารถนาจะกระทำกุศล ควรยึดเอาเป็นสาระ บุรุษผู้มีกำลัง มีความอุตสาหะที่จะข้ามทะเลหลวง ถือเอาท่อนไม้เล็ก วิ่งไปสู่ทะเลหลวงด้วยคิดว่า เราอาศัยท่อนไม้นี้ จักข้ามทะเลหลวงไปได้ แล้วข้ามทะเลหลวงไปด้วยความเพียรอุตสาหะได้ ฉันใด เราก็ฉันนั้น อาศัยกรรมเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้ทำไว้แล้วจึงข้ามพ้นวัฏฏสงสารได้”
(ตลอดชีวิตของท่าน ท่านไม่เคยเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แต่อาศัยการบูชาพระเจดีย์ทรายและดอกไม้ (อันเป็นอามิสบูชา) ว่าเปรียบเหมือนไม้เล็ก ส่วนในยุคของเรา แม้จะไม่เห็นพระวรกายจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีภาพวาด รูปหล่อ รูปปั้น ฯลฯ ที่มีลักษณะงดงาม เป็นปูชนียวัตถุเทียบเคียงให้เราได้ระลึกถึงพระพุทธองค์
หากเรามีใจจดจ่อในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการตรึกระลึกนึกถึงภาพองค์พระที่เราชอบใจ ด้วยความเลื่อมใส อย่างนี้เรียกว่า เจริญพุทธานุสติ เป็น”ปฏิบัติบูชา” ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสยกย่องว่าเป็นการบูชาอันเลิศ การกระทำอย่างนี้ มิใช่เปรียบเหมือนท่อนไม้เล็กแล้ว แต่เปรียบเหมือนเรือลำใหญ่ ที่ทั้งคงทน แข็งแรง สามารถที่จะนำพาเราข้ามพ้นจากห้วงวัฏฏสงสาร ด้วยความสะดวกสบายและปลอดภัยได้)