อานุภาพหลวงปู่วัดปากน้ำ ตอน สยบกองทัพงู ณ วัดปากน้ำ
ในสมัยก่อน ที่วัดปากน้ำ มีงูชุกชุมมาก ซึ่งถ้าชุม แล้วต่างคนต่างอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่ เจ้างู มันเล่นมากัดพระ กัดเณร กัดแม่ชีกันเยอะ ถึงขนาด กลายเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้แม่ชีหลายคน ต้องหัด จับงูให้เป็น อย่างเช่น แม่ชีปุก ท่านจะมีบ่วง เอาไว้คล้องคองูโดยเฉพาะ ซึ่งพอคล้องได้ ก็จะเอาไปปล่อย หรืออย่างแม่ชีนาค ท่านก็โดนงูกัดเป็นอาชีพ จนเจ้าหน้าที่สถานเสาวภา จำหน้าท่านได้ เพราะต้องนั่งเรือ ไปฉีดเซรุ่มแก้พิษงู อยู่เป็นประจำ
เรื่องก็มีอยู่ว่า แม่ชีนาค ท่านเป็นแม่ชีที่ได้ธรรมกาย มีญาณทัสสนะแม่นยำมาก เพราะท่านรักการปฏิบัติธรรม และมีอัธยาศัย ชอบไปปลักกลด อยู่ในป่าช้า ที่เขาเก็บศพ ยังไม่ได้เผาเอาไว้ เป็นป่าช้าที่อยู่ ในวัดปากน้ำ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้ง ของตึกคณะเนกขัมม์) ซึ่งป่าช้าที่ว่านี้ มีหญ้าขึ้นรก เต็มไปหมด ดังนั้น จึงเป็นที่ซ่องสุม ของบรรดางูต่าง ๆ อย่างมากมาย แต่เนื่องจากป้าช้า เป็นป่าช้าที่เงียบสงบ เย็นสบาย จึงทำให้แม่ชีนาคชอบไปมาก และพอไปทีไร ก่อนจะเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านจะสวด เจริญพระพุทธมนต์ อิติปิโส 108 จบก่อน และที่น่าทึ่ง ก็คือ ท่านจะสวดไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องมีลูกประคำ มานั่งนับเลย
ซึ่งโดยปกติ เวลาคนทั่วไป สวดครบหนึ่งจบ เขาจะเลื่อนลูกประคำ เพื่อนับไปลูกหนึ่ง ซึ่งพอเลื่อนไป จนครบทั้งเส้น ก็เท่ากับสวดครบ 108 จบ พอดี (เพราะสร้อยประคำเส้นหนึ่ง มีลูกประคำอยู่ 108 ลูก) แต่เนื่องจากแม่ชีนาค มีวิชชาธรรมกาย ท่านจึงไม่ต้องนับลูกประคำ ให้เสียเวลา คือ ท่านจะเข้ากลาง สวดไปเรื่อย ๆ พอครบ 108 จบ พระธรรมกายในตัวท่าน จะบอกว่าครบ พอดี โดยไม่ขาดไม่เกิน และนี่ก็คือ ความอัศจรรย์ ของวิชชาธรรมกาย
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่แม่ชีนาคนั่งสมาธิอยู่ ท่านก็เห็นในญาณว่า วันนี้ท่านจะโดนงูเห่ากัด แถมงูที่ว่านี้ จะยกพวก เลื้อยเข้าจู่โจม รุมกัดท่านที่แขน พร้อมกันทีเดียวถึง 3 ตัว แถมท่านยังเห็นว่า งูมันจะกัด ท่านที่แขน ในตำแหน่งไหน อีกด้วย ซึ่งเมื่อแม่ชีนาคเห็นดังนั้น ก็รีบบอกโยมแผ้วว่า “น้า ๆ ฉันเห็นในญาณนะว่า วันนี้ฉันจะโดนงูกัดทีเดียว 3 ตัว” เมื่อโยมแผ้วได้ฟังดังนั้น ก็พากันไปเรียนให้หลวงปู่ ทราบ ซึ่งแม่ชีนาค ก็รายงานหลวงปู่ว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ ลูกเห็นในญาณว่า วันนี้ตอนไปเจริญพระพุทธมนต์ ในป่าช้า จะโดนงูเห่ากัด 3 ตัว”
พอหลวงปู่ได้ฟังดังนั้น ท่านก็พูดว่า “มันจะทำได้ เฉพาะเวลาทุ่มหนึ่ง ถ้าเลยทุ่มไปแล้วนี่ มันจะทำไม่ได้ แล้ว เพราะฉะนั้นนี่ ก่อนเวลาทุ่มหนึ่ง เอ็งอย่าออก ไปไหนเด็ดขาด" (ที่หลวงปู่ท่านห้ามออกไป เพราะมันเป็นช่วงเวลา ที่วิบากกรรมส่งผล ซึ่งถ้าช่วงนี้ เราอยู่ในที่ของเรา และก็อยู่ในธรรม วิบากกรรมมันก็จะผ่านไป)แต่หลวงปู่ท่าน ก็เผื่อเหนียวไว้ จึงสั่งให้โยมแผ้ว ไปเตรียมเรือ และให้เอาน้ำมันใส่เรือ ซึ่งโยมแผ้ว ก็ได้เตรียมเรือไว้ก่อนหน้า นี้แล้ว เพราะสมัยนั้น ต้องเดินทางกันทางน้ำ คือ ถ้าโดนงูกัด ก็จะได้รีบพาไป สถานเสาวภาได้ทันเวลา
แต่อนิจจา เรื่องที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งๆ ที่ก่อนแม่ชีนาค จะออกไปปลักกลด เจริญพระพุทธมนต์ในป่าช้า ท่านก็พยายาม ดูนาฬิกาแล้วดูนาฬิกาอีกแต่ด้วยวิบากกรรมอย่างไร ก็ไม่ทราบ ตาท่านลาย ทำให้มองเห็นเข็มนาฬิกาเลย 1 ทุ่มไปแล้ว ท่านถึงได้ ตัดสินใจออกไป แต่จริง ๆ แล้ว ขณะนั้น ยังไม่ถึง1ทุ่ม เลยและทันใดนั้นเองสักครู่เดียว หลังจากที่แม่ชีนาค ปักกลดเสร็จ อยู่ ๆ แม่ชีนาค ก็ตะโกนเสียงหลงขึ้นมา เลยว่า “น้าแผ้วๆ นี่ฉันโดนกัดแล้ว 3 ตัว ”
จากนั้นจึงไม่รอช้า รีบพากันไปกราบหลวงปู่ ซึ่งสิ่งแรก ที่หลวงปู่ทำก็คือ รีบมองดูนาฬิกา และก็พูดขึ้นทันทีว่า “นี่มันยังไม่ถึง 1 ทุ่มนี่” แล้วท่านก็หันไปบอกแม่ชีนาคว่า “กูบอกมึงแล้วนะว่า ให้เลยทุ่มก่อน นี่ยังไม่ถึงทุ่มเลย" จากนั้น หลวงปู่ก็สั่งโยมแผ้ว ให้ติดเครื่อง พามาชีนาคใส่เรือ ไปส่งสถานเสาวภา
และมีอีกครั้งหนึ่ง ที่หลวงปู่ท่าน ได้เจอกับตัวเอง ในขณะที่ท่าน กำลังขุดแก้วบรมจักร ซึ่งแก้วดวงนี้ หลวงปู่บอกว่า หากขุดขึ้นมาได้ จะสามารถเลี้ยงคน ได้ทั้งโลก โดยไม่ต้องทำมาหากิน และชาวโลก จะได้เอาเวลา มาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว ซึ่งในช่วงที่ขุดแก้วนั้น หลวงปู่ท่านนั่งอยู่ ที่ปลายแคร่แบบหมิ่น ๆ นั่งคุมพวกที่ได้ธรรมกาย ทำวิชชา เพื่อเรียกให้แก้วขึ้นมา ซึ่งหนึ่งในนั้น ก็มีหลวงตาอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งเวลาทำวิชชา ท่านก็จะตะบันหมากไปด้วย เคี้ยวไปด้วย หลวงปู่ท่านก็จะมักดุบ่อย ๆ ว่า “เดี๋ยววิชชาก็ไม่ทันเขาหรอก” พอหลวงปู่ดุทีหนึ่ง ท่านก็หยุดตะบันทีหนึ่ง
แต่อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งตะบันหมากอยู่ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังตุ๊บ คือ มีงูเห่าตัวใหญ่ขนาดเท่าน่อง หล่นลงมาจากต้นข่อย จากนั้นเสียงตะบันหมากก็หยุด ทันที หลวงปู่ท่านก็เลยสงสัยว่า ทำไมวันนี้ เสียงตะบันหมากหยุดไปนาน ท่านจึงหันไปดู ซึ่งปรากฏว่า หลวงตาหยุดตะบันหมาก และกำลังจ้องไปที่ ตางูเห่าตัว นั้น งูเห่าตัวนั้น ก็จ้องกลับมาที่ตา ของหลวงตา ซึ่งหลวงตาเล่าว่า “เราก็ตรึกอยู่ในธรรมกาย แล้วก็จ้อง งูมันจะทำอะไรเราไม่ได้ แต่เราทำอะไรงู ไม่ได้เหมือนกัน”
แต่กับหลวงปู่ ซึ่งมีวิชชาเชี่ยวชาญกว่ามาก ทันทีที่หลวงปู่หันไปมองงูงูมันก็หันเปลี่ยนทิศ มองมาที่หลวงปู่แทน และทันทีที่สายตาของหลวงปู่ สบกับตางู โยมแผ้วก็ได้เห็นแสงสว่าง พุ่งปร๊าด ออกจากตาของหลวงปู เหมือนแสงจากลำไฟ ฉายพุ่งไปที่ตางูทันที จากนั้นงูก็ตกใจสุดขีด สะดุ้งตัว พุ่งเข้ารั้วสังกะสี หนีไปทันที จากนั้นหลวงปู่ ท่านสั่งพวกที่ทำวิชชาว่า ให้เข้าที่ ไปตามหัวหน้างู บอกหัวหน้างู ไปเจรจากระจายข่าว บอกลูกน้องงูทั้งหลายว่า ให้อพยพไปจากวัดปากน้ำ เสีย คือ ย้ายที่อยู่ไปเลย เพื่อขอเวนคืนที่ดินตรงนี้ ให้พระ แม่ชี เขาปฏิบัติธรรมกัน
นับจากวันนั้น งูก็ไม่มาอีกเลย เป็นอัศจรรย์...