ถ้าเปรียบเวลาเหมือนเงิน
เริ่มต้นชีวิตทุกคนก็เหมือนเศรษฐี
ที่อยู่ๆเกิดมาก็มีใช้ไม่จำกัด
จึงประมาท และรู้สึกว่าไม่มีทางหมด
ไม่จำเป็นต้องวางแผนการใช้จ่ายใดๆ
อยากกิน อยากเที่ยว อยากนอนเล่น
อยากเหม่อ อยากฟุ้งซ่าน
ก็สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้แบบไม่ต้องคิด
ยังไงก็เหลือ ยังไงก็ไม่เห็นจะพร่องไปตรงไหน
ต่อเมื่อโตขึ้น รู้ความ และรู้ว่าคนเราต้องตาย
เวลาจึงดูมีค่าขึ้นมาวูบๆวาบๆ
เริ่มรู้สึกว่าไม่มีใครเป็น ‘เศรษฐีเวลา’ กันจริง
ทุกคนมีเวลาอยู่จำกัด
แต่พอหมดวูบของความรู้สึกเล็กๆนั้น
ยังไงก็กลับมาประมาทอยู่ดี
รู้สึกว่ายังมีใช้จ่ายแบบสิ้นคิดได้อยู่ดี
ไม่ต้องวางแผนจัดสรรอยู่ดี
กระทั่งล่วงเข้ามาครึ่งชีวิต หรือท้ายชีวิต
สัญญาณบอกว่า ‘เงินใกล้หมด’ เริ่มส่งเสียงเข้าหู
หรือส่งแสงกะพริบเข้าตากระตุกเตือนบ่อยๆ
อาจจะผ่านอวัยวะที่ชำรุดสึกหรอ
อาจจะผ่านโรควูบ
หรืออาจจะผ่านเสียงร้องแฮปปี้เบิร์ดเดย์ครึกครื้นของญาติๆ
นั่นแหละ ถึงเริ่มต้องการวางแผนบริหารเงิน
เริ่มคิดแล้วว่าเงินเหลืออยู่น้อยจะเอาไปซื้ออะไรที่น่าซื้อ
ไม่ใช่เอาไปซื้อดะ อยากซื้ออะไรกวาดซื้อหมดเหมือนเคย
อาจจะเพราะเหตุนี้
ชีวิตถึงเริ่มมีจุดหมายก็เกือบๆสาย
หรือเพราะเริ่มคิดถึงชีวิตหลังความตาย
คนเราจึงมักเข้าวัดฟังธรรมกันตอนแก่เพื่อต่อทุน
พออายุมากจริง เริ่มสนใจธรรมะจริง
จึงค่อยรู้ว่า ธรรมะประเภทอ่านๆฟังๆนั้น ใช้เวลาไม่มาก
แต่ธรรมะประเภทเข้าถึงจิต หรือจิตเป็นธรรมในตัวเองนั้น
ต้องใช้เวลาสั่งสมกันนาน
พระพุทธพจน์แค่บรรทัดเดียว
บางทีต้องใช้เวลากันครึ่งค่อนชีวิต
กว่าจะเข้าใจด้วยประสบการณ์ตรง
หรือเข้าถึงด้วยจิตเต็มๆดวง
ที่ร้ายกว่านั้น คือ
ไม่มีใครรู้ว่า ‘ครึ่งชีวิต’ ของตนอยู่ที่ตรงไหน ปีใด
ปลายชีวิตจะปรากฎเมื่อไหร่
ผมเขียนหนังสือ รู้จักคนเยอะ
จึงมีโอกาสเห็นแฟนหนังสือตายไปก่อนวัยอันควรจำนวนมาก
บางคนเขียนข้อความทางเน็ตอยู่คืนนี้
พรุ่งนี้นอนบนเตียงไม่ตื่นแล้วก็มี
ยุคเราสิ่งแวดล้อมไม่ดี เป็นยุคที่คนตายเร็ว
และไร้นิมิตหมายทักเตือนว่า หน้าตาแบบนี้ อายุแค่นี้
ถึงเวลาจากโลกไปวันนี้พรุ่งนี้แล้ว
เรื่องที่ไม่มีใครขำออกก็คือ
คนมีบุญจำนวนมาก
มักพบในช่วงท้ายๆว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไม่ใช่เงิน
แต่เป็นการใช้เวลาสะสมความสว่าง สะสมสติ
ใครจะครองคู่กันด้วยเหตุผลแบบไหน
ใครจะทำงานหาเงินด้วยกลวิธีฉลาดล้ำปานใด
ในที่สุดก็เหลือแค่ความจริงที่ว่า
แต่ละคนทำกรรมไว้กับใครดีหรือร้าย
ยังจิตช่วงท้ายๆให้มืดหรือสว่างมากกว่ากัน
บางคนรู้ทางเจริญสติที่ถูกต้อง
เห็นความสว่างของจิต เห็นความเจริญของสติ
เห็นกายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนได้ง่ายเพราะสังขารช่วย
ก็มักนึกเสียดายเวลาที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนๆกัน
กลัวจะ ‘ทำไม่ทัน’ เหมือนๆกัน
ชาวพุทธเป็น ‘เศรษฐีเวลา’ ที่โชคดี
แต่จะใช้โชคได้ดีแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับว่า ใจเริ่มเรียกร้องหาธรรมะได้เร็วเพียงใดด้วย
Dungtrin