"สองคนยลตามช่องฯ"
คหบดีท่านหนึ่ง
บ้านช่องสวยงามตระการตา
แต่อยู่ติดกับบ้านที่เป็นรั้วบ้านเก่าสังกะสีผุๆ
ท่านตื่นขึ้นมาทุกเช้า
มองออกไปเห็นบ้านเฮงซวยหลังนี้
ทิวทัศน์ ทัศนวิสัย แย่มาก
วันหนึ่งทนไม่ไหวแล้ว
เห็นตาแก่เจ้าของบ้านสังกะสีตื่นมาพอดี
จึงเดินเข้าไปหาและถามว่า
บ้านเจ้าขายเท่าไร ?
เราเห็นทุกวันอุบาทว์ตามาก
จะขายเท่าไรก็ซื้อ
เจ้าของบ้านสังกะสีอันซอมซ่อ
เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับพูดจานุ่มนวลอ่อนโยนว่า
ท่านผู้มีอันจะกิน ไม่ขายขอรับ
ทุกเช้าผมตื่นขึ้นมา
ก็ได้เห็นปราสาทที่งดงามของท่าน
ผมมีความสุขที่ได้เห็นแต่สิ่งที่สวยงามตระการตาทุกเช้าสายบ่ายเย็น
ถ้ากระผมขายบ้านให้ท่านไป
กระผมก็จะไม่ได้เห็นสี่งที่งดงามตระการตานี้อีกต่อไป
คหบดีถามต่อ
แล้วเจ้าไม่ดูบ้านตัวเองว่าอุจาดตาแค่ไหน อยู่ได้ยังไงนี่
ขอรับกระผม
กระผมก็แค่อาศัยอยู่ด้วยจิตที่เสาะแสวงหาแต่ความดีและความงาม
อะไรที่มันไม่งาม กระผมก็ไม่สนใจดู
กระผมดูแต่ความงามความดีเท่านั้น
อะไรที่ไม่ดีไม่งามกระผมก็ไม่ใส่ใจขอรับ
กระผมก็ไม่เข้าใจท่านเหมือนกัน
บ้านท่านออกใหญ่โตงดงาม
แต่ท่านกลับไม่สนใจ
ตื่นเช้ามาก็สนใจแต่บ้านเฮงซวยของกระผม
ถ้ากระผมเป็นท่าน
จะชื่นชมความงามพร้อมของบ้านตัวเอง
แต่ไม่สนใจบ้านที่เฮงซวยของคนอื่น
หยุดสักพัก หยุดเป็นตัวสำเร็จ
ท่านเศรษฐีก็คิดได้ว่า
เราคงบ้าไปแล้วที่เอาจิตของตัวเองไปจับแต่เรื่องเลวร้าย
บ้านของตัวเองที่สวยงามมากกลับไม่สนใจ
แถมยังไปวุ่นวายกับของนอกกายรอบข้างที่สกปรก
นับตั้งแต่นั้นมา
ท่านคหบดีก็เข้าใจในธรรมของผู้ยากไร้
และกลายเป็นกัลยาณมิตรกัน
จวบจนสิ้นอายุขัย.
HAPPY ENDING