นั่งสมาธิ ง่ายๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา
หลายคนยังมองว่าการนั่งสมาธิเป็นเรื่องของพระภิกษุที่ต้องนั่งทุกวัน แล้วฆราวาสอย่างเรามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องนั่งสมาธิทุกวันเหมือนกับพระภิกษุ แล้วถ้าทำอย่างนั้นได้จริงๆ แล้วจะเกิดผลดีกับตัวเราเองอย่างไร
คนเราประกอบด้วย “ กาย ” กับ “ ใจ ” พระภิกษุก็มีกายกับใจ ฆราวาสเองก็มีกายกับใจเช่นเดียวกัน คนเราต้องกินข้าวทุกวัน ต้องอาบน้ำเป็นประจำทุกวันเพราะ “ อาหารกาย ” คือ ข้าวปลาอาหาร พอร่างกายเรามีฝุ่นละอองจับมีเหงื่อไคลมากเข้า เราก็ต้องอาบน้ำชำระสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วใจเราล่ะ “ อาหารใจ ” คือธรรมะ คือบุญ และการชำระใจให้สะอาดผ่องใส ก็คือ การสวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา
ตรองเพียงแค่นี้เราก็จะได้คำตอบแล้วว่า ผู้ที่จะต้องสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาเป็นประจำไม่ใช่เฉพาะพระภิกษุเท่านั้น แต่ฆราวาสญาติโยมก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน เพราะเราก็มีกายกับใจเหมือนกันกับพระภิกษุนั่นเอง เพียงแต่พระภิกษุต้องปฏิบัติอย่างเต็มที่ เพราะว่ามีเป้าหมายโดยตรงที่จะบวชเพื่อมุ่งนิพพาน
ผู้ใดที่สวดมนต์ ทำสมาธิภาวนาอย่างสม่ำเสมอ ใจก็จะถูกชำระให้สะอาด เกิดความผ่องใส อารมณ์ดี เบิกบาน ไม่หงุดหงิดโมโหง่าย เพราะใจถูกสะสางจัดระเบียบไปเรื่อยๆ ความเครียดในใจก็ลดลง ใจโปร่ง เบาสบาย มีความสุข
แต่สำหรับผู้ที่ไม่เคยสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาเลย จะมีความเครียดสั่งสมโดยไม่รู้ตัว หน้านิ่วคิ้วขมวด สุดท้ายสติขาดพร่ามัวไปเลยก็มี แต่ถ้าสมาชิกในครอบครัวใดสวดมนต์ทำภาวนาเป็นประจำ บ้านก็เย็น ใครเข้าใกล้ก็รู้สึกสบายใจ
การนั่งสมาธิอย่างถูกวิธี
การทำสมาธิในท่ามาตรฐาน คือ นั่งขัดสมาธิ แต่สำหรับผู้ฝึกนั่งใหม่ๆ อาจจะยังไม่คุ้นชิน ก็ให้พยายามฝืนแล้วจะค่อยๆ นั่งได้นานขึ้นไปเอง บางคนยังไม่คุ้น นั่งได้แค่ 5 นาที ก็รู้สึกว่าเมื่อยแล้ว แต่พออดทนทำไป ผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ก็จะนั่งได้นานขึ้นๆ บางท่านนั่งนานเข้าๆ ก็นั่งได้ถึง ครึ่งชั่วโมง 1 ชั่วโมง หรือ 2 ชั่วโมงเลยก็มี
ถ้าเรารู้สึกว่าเมื่อยมากจริงๆ ก็สามารถเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งพับเพียบแทนก็ได้ แต่ขณะเปลี่ยนท่าก็ให้รักษาใจนิ่งๆ เอาไว้ที่กลางท้อง แล้วจึงเปลี่ยนท่าโดยไม่จำเป็นต้องลืมตา เพื่อที่เราจะได้ทำสมาธิต่อไปได้
สำหรับผู้ฝึกนั่งสมาธิที่มีอายุมาก เข้าสู้วัยชรา หรือเคยประสบอุบัติเหตุมาก่อนส่งผลให้มีปัญหาทางด้านร่างกาย ก็สามารถนั่งทำสมาธิบนเก้าอี้ได้
สมาธินั้นทำได้ทุกท่า จะนั่งพื้นก็ได้ นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือนั่งเก้าอี้ก็ได้ กระทั่งคนป่วยที่อยู่บนเตียง ในท่านอนก็ยังทำสมาธิได้ แต่ผู้ที่แข็งแรงอยู่ไม่ควรทำสมาธิในท่านอนเพราะว่า มักจะทำได้ไม่นานแล้วก็เผลอหลับไป เพราะฉะนั้นท่าที่เหมาะที่สุดคือ ท่านั่งขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าพื้นฐาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก้ในท่านี้เอง ให้เราฝึกทำให้คุ้น ถ้ารู้สึกเมื่อยจริงๆ จึงค่อยขยับเปลี่ยนท่าโดยรักษาใจนิ่งๆไว้
ไขความลับการถอดจิต
การนั่งสมาธิแล้วถอดจิตออกไปนั้นสามารถทำได้ แต่ว่าไม่แนะนำให้ทำ เพราะการนั่งสมาธิที่ถูกแนวทางจริงๆ นั้น จิตของเราจะอยู่ในตัว ไม่ได้ออกไปไหน คนที่นั่งสมาธิแล้วยังไม่รู้หลักจริงบางท่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองมีกายอีกกายหนึ่งแยกออกมา เช่น ตัวของเรายังนอนอยู่บนเตียง แล้วก็มีกายอีกกายหนึ่งลอยขึ้นมาบนเพดาน มองลงมาแล้วเห็นตัวเองนอนอยู่ที่พื้นอย่างนี้ก็มี บางครั้งลอยไปถึงยอดตาลเลยก็มี ซึ่งไม่แนะนำให้ทำอย่างนี้ เพราะว่าเหมือนเอาใจออกจากตัว เหมือนทิ้งเรือนเอาไว้ไปอยู่ที่อื่น คนอื่นอาจจะมาอยู่แทนได้ เพราะฉะนั้นให้เอาใจอยู่ในตัวตามหลักที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญท่านสอนไว้ คือ “ เอาใจอยู่ในตัว ไม่ต้องไปไหน ”
คนไม่รู้หลักมักมีความรู้สึกว่า ถ้าอยากจะไปไหนเช่น อยากจะนั่งสมาธิแล้วไปดูนั่นดูนี่ก็ต้องถอดจิตออกไปดู แต่ถ้ารู้หลักจริงๆแล้ว ตั้งใจจะดูอะไรแล้วให้เอาใจนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ใจจะขยายออกไป จนสามารถคลุมได้ทั้งโลก คลุมได้ทั้งจักรวาล ถ้าจะดูโลกทั้งโลก ดูจักรวาลทั้งจักรวาล ก็ให้ดูที่ศูนย์กลางกายของเรา ไม่ต้องเอาใจไปนอกตัวเลย นี่คือความแปลกของของละเอียด คือ ถ้าเป็นของหยาบ “ ของเล็กอยู่ใน ของใหญ่อยู่นอก ” เช่น ตัวเราต้องเล็กกว่าห้อง เราถึงอยู่ในห้องนี้ได้ ของเล็กต้องอยู่ข้างใน ของใหญ่ต้องอยู่ข้างนอก แต่ของละเอียดนั้นตรงกันข้าม คือ “ ยิ่งเข้าไปข้างในยิ่งใหญ่ สิ่งที่ใหญ่ซ่อนอยู่ในสิ่งที่เล็ก ”
ในครั้งพุทธกาล เคยมีพระภิกษุสงสัยไปกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ พระพุทธเจ้าข้า กายพระองค์ก็ไม่ได้เล็กลง เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้น ทำไมพระองค์สามารถไปเดินจงกรมอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า “ ผู้ที่ยังไม่เข้าถึง พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ” จึงยื่นกระจกให้บานหนึ่ง แล้วให้ไปส่องที่พระสถูป เมื่อพระภิกษุหยิปกระจกไปส่องแล้ว จึงเห็นพระสถูปองค์โตสะท้อนอยู่ในกระจกบานเล็กๆ เลยคิดได้ว่ากระจกบานเล็กๆนั้นไม่ได้ใหญ่ขึ้นแล้วพระสถูปก็ไม่ได้เล็กลงแต่อย่างใด แต่พระสถูปองค์เบ้อเร่อ สามารถเข้าไปอยู่ในกระจกบานเล็กๆได้
พระภิกษุคล้ายจะเข้าใจ แต่ความจริงยังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก เพราะยังมีรายละเอียดที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านี้มาก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้พระภิกษุเกิดความเข้าใจ และคลายความสงสัยลงไปได้บ้างเท่านั้นเอง เมื่อใจเราสามารถเข้าถึงจุดที่เล็กยิ่งกว่าปลายเข็มให้ได้ ยิ่งละเอียดเท่าไรเราก็จะสามารถไปถึงสิ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าจักรวาลทั้งจักรวาล กาแล็กซีทั้งกาแล็กซี เอกภพทั้งเอกภพได้ ภายในศูนย์กลางกายของเรานี่เองที่จะขยายกว้างครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องถอดจิตไปดูอะไรที่ไหนทั้งสิ้น เอาใจดิ่งเข้าไปในกลางของกลาง แล้วจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในศูนย์กลางกายของเรา
จะต้องใช้เวลานานเท่าไรในการเข้าถึงธรรม
คนแต่ละคนจะใช้เวลาต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าพื้นภูมิที่เคยสั่งสม มายาวนานข้ามภพข้ามชาตินั้นมีมากขนาดไหน แต่ว่าทุกคนสามารถปฏิบัติได้ อย่าไปกลัวว่าเราจะทำไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่เราลงมือปฏิบัติ เราก็จะค่อยๆดีขึ้นๆ ทันที แล้วสิ่งที่เราทำไม่ได้มีผลเฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น แต่จะเป็นอุปนิสัยสั่งสมไปยังภพต่อไปด้วย ผลดีจะเกิดกับเราเอง เพราะฉะนั้นขอให้ทำเถิด
ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับเด็กที่เกิดมาแล้วยังไม่เคยทานข้าว เคยแต่รับสารอาหารทางสายสะดือจากแม่ บางคนอาจจะคิดว่าเด็กคงจะทานข้าวไม่ได้เพราะเขาไม่เคยทาน แต่จริงๆ เมื่อเขาค่อยๆทานเข้าไป กระเพาะและลำไส้ก็จะทำงาน แล้วตัวเขาก็จะโตขึ้นๆ แข็งแรงมากขึ้น
แต่ละท่านมีวิธีนั่งสมาธิทำให้ใจสงบต่างกัน บางท่านชอบนั่งเงียบๆ คนเดียว บางท่านชอบอาศัยเสียงนำนั่งสมาธิจากพระอาจารย์ หรือเสียงดนตรี ซึ่งขึ้นอยู่กับความถนัดและความคุ้นชินของแต่ละคน ผู้ที่นั่งสมาธิใหม่ๆ พอมีเสียงนำแล้วอาจจะรู้สึกว่ารวมใจได้ง่าย แต่ถ้าไม่มีเสียงนำใจมักชอบฟุ้งซ่าน เผลอไปคิดเรื่องอื่นเรื่อยเปื่อย เป็นต้น
การที่เราใช้เสียงนำนั่งสมาธิ กับการที่เรานั่งสมาธิแองนั้น มีผลทำให้สมาธิในการปฏิบัติก้าวหน้าได้ทั้งสองแบบ แต่สำหรับผู้ที่นั่งจนคุ้นแล้ว บางครั้งพอนั่งปุ๊บเขาก็เอาใจดิ่งเข้ากลางได้เลยทันที หากมีเสียงนำนั่งสมาธิที่เป็นเสียงนิ่งๆ เย็นๆ ก็ไม่ได้รบกวนอะไร เขาจะสามารถเชื่อมเครื่องเสริม ให้ใจดิ่งในธรรมะได้ เพราะฉะนั้นคนที่เคยนั่งสมาธิมาแล้วหลายๆปี กับผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิใหม่ๆ เมื่อฟังสียงนำแล้วก็สามารถนั่งสมาธิได้ทั้งคู่
---------------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่ม "เพราะไม่รู้สินะ" โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ
"จะทนทุกข์ไปทำไม ในเมื่อคุณสามารถลิขิตชีวิตตนเองได้ เพียงเปลี่ยนวิธีคิด ลองมองโลกในอีกมุมที่ต่างไป ลองเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต คุณอาจได้คำตอบว่า ความสุขนั้นหาได้ง่ายๆ ถ้าคุณคิดได้และคิดเป็น"
วางแผงจำหน่ายแล้วที่
ซีเอ็ดบุ๊ค
https://www.se-ed.com/product-search/เพราะไม่รู้สินะ.aspx?keyword=เพราะไม่รู้สินะ&search=name
ร้านนายอินทร์
https://www.naiin.com/product/detail/141416/เพราะไม่รู้สินะ
Book Smile
http://www.booksmile.co.th/ศาสนา-ปรัชญา/เพราะไม่รู้สินะ.html