ฉบับที่ 89 มีนาคม ปี2553

อุบาสิกาแก้ว ทหารหญิงจักรพรรดิ

ปณิณกธรรม

เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ. ๙




         อุบาสิกา ฐานะอันสูงส่งฝ่ายหญิงในพระศาสนา ๑ ใน ๔ เสาหลักที่พุทธบริษัทขาดมิได้ เฉกเช่น มหาอุบาสิกาวิสาขา ...ผู้เป็นกองเสบียงใหญ่ให้กับพระศาสนา หรือแม้วิชชาอันลึกซึ้งของพระสัมมา-สัมพุทธเจ้านั้น สตรีเพศธรรมดาผู้อยู่ครองเรือนก็สามารถแทงตลอดได้เหมือนกัน




         ในสมัยพุทธกาล มีอุบาสิกา ชื่อ มาติกมารดา (มา-ติ-กะ-มาน-ดา) อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านริมเชิงเขาลูกหนึ่งในแคว้นสาวัตถี นางเป็นแม่ของผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านแห่งนี้ ในช่วงเข้าพรรษา นางเห็นคณะสงฆ์ ๖๐ รูป เดินธุดงค์ผ่านมาที่หมู่บ้าน จึงคิดอย่างผู้มี ดวงปัญญาว่า เนื้อนาบุญมาโปรดเราถึงที่แล้ว เป็นโอกาสดีที่จะได้สั่งสมบุญอย่างเต็มที่ จึงก้มกราบ ปวารณาว่า "พระคุณเจ้าได้โปรดอยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านแห่งนี้เถิด พวกโยมจะคอยถวายอาหารเป็นประจำ" เมื่อคณะสงฆ์รับอาราธนา นางจึงบอกใหคน ในหมู่บ้านช่วยกันทำความสะอาดสถานที่แห่งหนึ่งใกล้หมู่บ้าน เพื่อให้พระภิกษุใช้บำเพ็ญสมณธรรมกัน อีกทั้งอุปัฏฐากดูแลเป็นอย่างดี ดุจเป็นโยมมารดาของ พระก็ว่าได้

         ภิกษุเหล่านั้นต่างก็ไม่ประมาทในการบำเพ็ญสมณธรรม ได้สร้างกติกาในการอยู่ร่วมกันว่า "เพื่อ ให้ไม่เกิดการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ พวกเราควรแยก กันอยู่ แต่ว่าจะมาพบกันในเวลาบิณฑบาตยามเช้าและอุปัฏฐากพระเถระยามเย็น นอกนั้นก็ให้ต่างคน ต่างอยู่ งดการพูดคุยสนทนาต่าง ๆ แต่ถ้ารูปใดเจ็บ ไข้ได้ป่วย ก็ให้มาตีระฆังบอกใหทราบทั่วกัน เพื่อ ช่วยกันปรุงยาถวายรูปนั้น"

         วันหนึ่งอุบาสิกาพร้อมลูกบ้านได้นำน้ำปานะ มาถวายพระ แต่ไม่พบพระรูปใดเลย คนที่ทราบกติกาสงฆ์ก็ได้บอกนางว่า "ไปตีระฆังสิ เดี๋ยวพระ ท่านก็จะมารวมตัวกันเอง" นางก็ใช้ให้คนไปตีระฆัง ภิกษุสงฆ์เมื่อได้ยินเสียงระฆังจึงออกมาจากที่พัก อุบาสิกานึกว่าพระทะเลาะกัน เพราะแต่ละรูปไม่มีใครมาทางเดียวกันเลย จึงถามสาเหตุนั้น พระท่าน ตอบออกไปว่า "โยมแม่ พวกอาตมาแยกกันบำเพ็ญ สมณธรรม สมณธรรมนั้นเป็นอย่างไร" "สมณธรรม ก็คือ การทำสมาธิ พิจารณาอาการ ๓๒ ในร่างกายนี้ ว่าเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาให้เห็นความเสื่อมและความสิ้นไป" นางถามต่อไปว่า "แล้วโยมสามารถทำสมาธิได้ไหม โยมแม่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้าม ไว้ โยมก็ทำสมาธิได้จ้ะ"

         อุบาสิกาจึงได้ขอเรียนการทำสมาธิจากภิกษุสงฆ์ นางตั้งใจปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จนได้บรรลุ ธรรมเป็นพระอนาคามี และยังสามารถรู้วาระจิตคนอื่นได้ด้วย วันหนึ่งนางได้ตรวจดูการปฏิบัติของ เหล่าภิกษุจึงได้รู้ว่า "พระคุณเจ้ายังมิได้บรรลุธรรมอะไรเลย แต่ก็ยังมีอุปนิสัยที่จะเป็นพระอรหันต์ได้" นางจึงตรวจดูต่อไปว่า "ไม่ว่าจะเป็นเสนาสนะและบุคคลก็ล้วนเป็นที่สบาย ยังเหลือแต่อาหารเท่านั้นที่จะต้องทำให้เป็นที่สบาย" นางจึงนำอาหารถูกปาก มาถวายพระ เหล่าภิกษุได้อาหารเป็นที่สบายจึงปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์กันหมด จึงพากันสรรเสริญอุปการคุณของอุบาสิกาว่า "ถ้าพวกเราไม่ได้อาหารที่ถูกปาก จากโยมแล้ว การบรรลุธรรมคงเลื่อนออกไปอีกนาน เป็นแน่"

        เมื่อออกพรรษาภิกษุสงฆทั้งหมดก็ลาอุบาสิกา เพื่อไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา และทูลเล่าเรื่องการรู้วาระจิตของอุบาสิกาให้ทรงทราบ ภิกษุรูปหนึ่งได้ยินเรื่องราวของนางก็ยังไม่เชื่อ จึงปรารถนาจะไป พิสูจน์ด้วยตนเอง ท่านได้ทูลลาพระบรมศาสดาเพื่อ ไปบำเพ็ญสมณธรรมที่หมู่บ้านแห่งนั้น พอไปถึงก็ เกิดความคิดขึ้นมาว่า "ใคร ๆ ต่างก็ร่ำลือกันนักว่า อุบาสิกามาติกมารดาสามารถรู้วาระจิตได้ ตอนนี้เรา ยังเหนื่อยกับการเดินทาง ไม่มีแรงทำความสะอาดที่พักเลย ขออุบาสิกาจงส่งคนมาทำความสะอาดด้วยเถิด" อุบาสิกาก็ส่งคนมาทำความสะอาดในทันใด หรือเมื่อท่านต้องการจะฉันภัตตาหาร เพียงแค่นึก ก็จะมีคนนำมาถวายสมประสงค์ทุกคราวไป




         ต่อมา ภิกษุรูปนี้ต้องการที่จะพบตัวจริงของอุบาสิกา นางก็เดินทางมาให้พบตามประสงค์พร้อม กับนำภัตตาหารรสเลิศมาถวายอีกเช่นเคย พอพระ ฉันเรียบร้อยแล้วจึงถามขึ้นว่า "โยมรู้วาระจิตคนอื่น ได้จริงหรือ" "ลูกเอ๋ย คนที่รู้วาระจิตได้ก็มีถมไปนะ" "ฉันไม่ได้ถามถึงคนอื่น แต่ถามถึงตัวโยมคนเดียวนั่นแหละ" นางมิได้บอกตรง ๆ เพียงตอบเลี่ยง ๆ ว่า "ลูกเอ๋ย ธรรมดาคนที่รู้วาระจิตได้ ก็จะทำอย่างนี้ได้"

         ภิกษุนี้จึงคิดว่า "เรายังเป็นปุถุชน อาจจะมีความคิดดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่สมควร อุบาสิกาท่านนี้ก็จะรู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เราควรจะหนี ไปจากที่นี่เสีย" ว่าแล้วก็แอบหลบหนีกลับไปเข้าเฝ้า พระศาสดาพร้อมกับทูลเรื่องราวทุกอย่างให้ทรงสดับ พระพุทธองค์ก็ประทานโอวาทว่า "เธอควรกลับไปที่เดิม แต่ว่าเธอจงรักษาสิ่ง ๆ เดียว นั่นก็คือจิตของตัวเอง จงข่มจิตไว้ อย่าคิดถึงสิ่งอื่น ธรรมดาจิตนี้ข่มได้ยาก เพราะมักซัดส่ายไปตามอารมณ์ การ มีจิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้"

         ภิกษุนี้ไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำต้องกลับไปยังหมู่บ้านนั้นตามเดิม พร้อมกับสำรวมกาย วาจา และ ใจ ไม่กล้าคิดฟุ้งซ่านอีกต่อไป ทางฝ่ายโยมอุบาสิกา นั้นรู้ว่า "พระลูกชายได้รับโอวาทจากอาจารย์แล้วจึงกลับมาหาเราอีกครั้ง" จึงทำหน้าที่เป็นกองเสบียง อย่างดีโดยนำภัตตาหารเลิศรสไปถวาย เพียงไม่กี่วัน พระภิกษุรูปนี้ก็สามารถทำใจหยุดนิ่งบรรลุธรรมเป็น พระอรหันต์ ท่านได้รับความสุขอันไม่มีประมาณนี้ จึงดำริขึ้นว่า "น่าขอบใจโยมแมของเราเหลือเกิน เราได้อาศัยมหาอุบาสิกานี้เป็นที่พึ่ง จึงสลัดตนให้พ้น จากกองทุกข์ได้" จากนั้นท่านก็ได้มีโอกาสแสดงธรรม เรื่องมรรคผลแก่มหาอุบาสิกาเป็นการตอบแทนนาง ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบรรลุธรรมของ ท่าน

         เราจะเห็นว่า ในชีวิตลูกผู้หญิงผู้มีบุญ ต้อง มีโอกาสฝึกตนด้วยการทำสมาธิภาวนา ประพฤติพรหมจรรย์อย่างต่อเนื่อง และยกตนให้ถึงพร้อมด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยการบวชเป็น "อุบาสิกาแก้ว" ธิดาพระชินสีห์ แม้บวชกายมิได้อย่างพระ แต่สามารถบวชใจละกามคุณพร้อมห่มครองอาภรณ์สไบแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ดุจสไบของมหาพรหม ประพฤติตนให้ปลอดพ้นจากพันธนาการ เพื่อการเข้า ถึงธรรมเป็นหน่อเนื้อแห่งพุทธะ ดุจหน่ออ่อนธรรมะ ที่รอวันแทงยอดเติบโตขยายเป็นลำต้นใหญ่ ก่อนที่จะมาเป็นทหารหญิง..กองกำลังสำคัญยิ่งในภารกิจเชิญชวนชายแท้มาอุปสมบทเป็นพระแท้ ๑๐๐,๐๐๐ รูปในช่วงเข้าพรรษา เพราะพลังมหาอุบาสิกาแก้วนั้น แกร่งกล้าไร้ขีดจำกัดไม่แพ้บุรุษเพศเลย สามารถจะยกใจชายแมนแมนผู้มีบุญให้เกิดศรัทธามาบวช ได้มากมายเป็นทับทวี

..................................................................................................



         อุบาสิกาแก้ว คือ ยอดอัศจรรย์หญิง ผู้ยอยกพุทธศาสนาให้สูงเด่น เหมือนมาติกมารดาที่คอยดูแล ให้พุทธบุตรจำนวนมากบรรลุธรรมได้อย่างง่ายดายเป็นอัศจรรย์

         อุบาสิกาแก้ว คือ หน่อแก้วแห่งพระรัตนตรัย ที่พร้อมจะนำผู้ชายแมนแมนมาเป็นพระแท้ ๑๐๐,๐๐๐ รูปในพรรษากาล เหมือนนางสุชาดาสนับสนุนพระมหาบุรุษจนได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

         อุบาสิกาแก้ว คือ ความหวังที่จะทำให พระพุทธศาสนาแผขยายกว้างไกลไปทั่วโลก เหมือน มหาอุบาสิกาวิสาขาที่คอยสนับสนุนงานพระศาสนา ตลอดชีวิต

          อุบาสิกาแก้ว ยอดวีรสตรีผู้กล้าดุจแม่พระธรณี พร้อมแล้วกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ ที่จะต่อสู้กับกิเลสร้าย ในใจของผองชน

         อุบาสิกาแก้ว ทหารหญิงจักรพรรดิ...ผู้ขับเคลื่อนกองทัพธรรม..กองกำลังหนุนสำคัญในงานพระพุทธศาสนา ให้เป็นแสงสว่างส่องทางสวรรค์และทางนิพพานแก่ชาวโลก

 
     
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล