ฉบับที่ 110 ธันวาคม ปี2554

สิ่งที่สำคัญที่สุด... เราพบแล้ว หรือยัง?

ผลการปฏิบัติธรรม

เรื่อง : ธัมม์ วิชชา



         สิ่งที่สำคัญที่สุด...

         เราพบแล้ว

         หรือยัง?

         เลโอ ตอลสตอย นักเขียนชื่อดัง ที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นเพชรน้ำเอกแห่งวงการวรรณกรรมโลก เคยเขียนคำถามนำทางชีวิตไว้ ๓ ข้อ คือ

๑. คนสำคัญที่สุดคือใคร?

๒. เวลาที่สำคัญที่สุดคือเวลาไหน?

๓. งานที่สำคัญที่สุดคืองานใด?

พร้อมกับให้คำตอบว่า...

๑. คนสำคัญที่สุด คือ คนที่อยู่ตรงหน้าคุณ

๒. เวลาที่สำคัญที่สุด คือ เวลาปัจจุบันขณะ

๓. งานที่สำคัญที่สุด คือ งานที่ทำอยู่ในตอนนี้

         แม้คำถามและคำตอบทั้ง ๓ ข้อ นี้ จะเป็นปรัชญานำทางชีวิตที่น่าสนใจ แต่ถึงกระนั้นก็คงไม่สำคัญอะไรกับชีวิตของเรามากนัก ตราบใดที่...คนหรือใคร? เวลาไหน? และงานใด? ที่ว่าสำคัญนั้น ไม่อาจปลดเปลื้องความทุกข์และมอบความสุขให้กับชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง....

         แต่บุคคลตัวอย่างทั้ง ๓ ท่าน ที่อยู่ในคอลัมน์ นี้... ท่านได้พบสิ่งสำคัญและดีที่สุดสำหรับชีวิตของตัวเองแล้ว สิ่งนั้นคืออะไร....



         เจสซี่ แมคอินนิส หรืออดีตพระเจสซี สุทธิสัทโธ ชาวอเมริกัน ซึ่งได้เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อเดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ได้เล่าว่า คุณแม่ของผมบอกลูก ๆ อยู่เสมอว่า ให้ไปศึกษาหาความเชื่อด้วยตนเอง จะเป็นความเชื่ออะไรก็ได้ ที่สามารถค้นหาความจริงให้กับชีวิตได้ เพราะตัวคุณแม่เองนั้นถูกบังคับให้นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่เคยบังคับให้ลูก ๆ นับถือศาสนาอะไรเลย ประมาณ ๓ ปีที่ผ่านมา ผมก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับวัดพระธรรมกายจอร์เจีย เป็นครั้งแรก และในเดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๔ ผมก็ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ธรรมทายาท รุ่นอนุโมทนาบุญกฐิน รุ่นที่ ๖ ก่อนมาบวช ผมได้รับ การสอนให้ถือศีล ๘ และฝึกนั่งสมาธิ ด้วยการวางใจ ให้หยุดนิ่ง ๆ เบา ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ประสบการณ์การทำสมาธิของผมพัฒนาขึ้นอย่างเป็น ลำดับ

         "ผมได้เห็นคริสตัลบอลที่สว่างสดใสในศูนย์ กลางกาย สักพักลูกคริสตัลบอลนั้นก็เบ่งบานออก (ขยายออก) ทำให้ใจของผมสามารถเคลื่อนเข้าไปภายในลึก ๆ ของศูนย์กลางกายได้ หลังจากที่ ใจของผมได้เคลื่อนเข้าไปภายในดวงที่สว่างสดใสต่อเนื่องกันถึง ๖ ครั้ง ( ๖ ดวง ) ผมก็เริ่มที่จะเห็น ภาพของตัวเองจากมุมท็อปวิวปรากฏในกลางกายอย่างคมชัด และมีความรู้สึกที่สว่างไสวมาก ๆ อย่าง ไม่เคยเป็นมาก่อน ความสุขได้บังเกิดมากขึ้น ๆ เป็น ลำดับ ๆ ยิ่งถ้าผมได้หยุดใจลงไปในกลางมากเท่าไร ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้แหล่งที่มาของความสุขมากขึ้นเท่านั้น จากจุดกึ่งกลางนั้นเอง ผมสามารถที่จะเดินทางลึกลงไปในกลางของกลางศูนย์กลางกาย ของผมอีก ๖ ครั้ง จนรู้สึกว่ากายภายในของผมขยาย กว้างออกไปและ"ในที่สุดผมก็รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับกายภายในที่ใสสว่างนั้น ผมมีความสุขที่สุด เกิน จะพรรณนาจริงๆ ทุกอณูเซลล์ในร่างกายถูกอัดแน่น ไปด้วยความสุขอย่างแท้จริง"

        " พอถึงจุดนี้ผมได้พบความจริงของชีวิตแล้วว่า ผมต้องการอะไร และผมอยากแสดงให้ทุกคนรู้ถึงวิธีการที่แท้จริง ในการหลบหนีความทุกข์ทรมานของ ชีวิตและอยากให้ทุกคนรับรู้ว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้ เป็นเพียงวัฒนธรรมบางอย่างหรือเหมาะสำหรับบาง ภูมิภาคเท่านั้น แต่พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน"


พระสิทธิกร วรวิชฺโช
อายุ ๒๒ ปี พระนวกะ พรรษา ๑ 
ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ วัดพระธรรมกาย

         "กว่าที่จะได้มาอยู่ในเพศสมณะ อาตมาเคยเกะกะเกเรมาก่อน ทำตัวโจ๋จนแม่เป็นห่วงจึงไม่ยอม ให้เรียนต่อชั้น ปวช. เพราะกลัวจะไปก่อเรื่องวิวาทถูกไล่ฆ่าไล่ยิง จนกระทั่งล่าสุดอาตมาไปทำงานเป็น ช่างเชื่อมอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่งที่ จ.ปทุมธานี แต่ก็ยังเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายกลับยิ่งดื่มหนักและเล่นพนันทุกอย่างเหมือนถูกผีพนันเข้าสิง วันหนึ่ง พอสร่างเมา ตื่นขึ้นมาเห็นสภาพตัวเองแล้วรู้สึกสลดใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะใช้ชีวิตได้มั่วซั่วขนาดนี้ จนคิดอยากบวช พอไปบอกแม่ว่า "ผมอยากบวช" ท่านถึงกับอึ้ง เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง

         "ในวันที่โกนหัวเพื่อเตรียมบวชนั้นไม่รู้น้ำตามันมาจากไหน มันไหลอาบแก้มไม่หยุด และแม่ของ อาตมา ท่านพูดทั้งน้ำตาว่า "รู้มั้ย..แม่รอคอยวันนี้มานาน วันนี้ดีใจที่สุด ที่ลูกชายของแม่จะบวช"

         "ตั้งแต่มาบวชชีวิตของอาตมาก็เปลี่ยนไปใน ทางที่ดีขึ้นแบบคาดไม่ถึงจริง ๆ และยังได้ค้นพบว่า จริงๆ แล้ว เรามีชีวิตเพื่อสร้างบุญสร้างบารมี พอได้นั่งสมาธิก็ทำให้ได้ค้นพบตัวตนที่แท้จริงอีกด้วย วันหนึ่งอาตมาตื่นมานั่งสมาธิตอนตี ๓ โดยพยายาม ทำใจนิ่ง ๆ ไม่คิดอะไร สักพักใหญ่ๆ ใจก็เริ่มสงบ มันนิ่งไปเองเลย แล้วก็เห็นรอยยิ้มของญาติ ๆ เห็น รอยยิ้มของโยมพ่อโยมแม่ แล้วอยู่ๆ รอยยิ้มที่เห็นก็กลับกลายเป็นวงกลมใส ๆ หมุนอยู่ในท้อง หมุนไปหมุนมาก็กลายเป็นดวงแก้วที่สว่างโพลงเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ไม่ร้อนเหมือนดวงอาทิตย์ ดวงแก้ว นั้นใหญ่เท่ากำปั้น สว่างเด่นมาก ๆ แม้จะลืมตา ดวงแก้วก็ยังอยู่ วันนั้นอาตมายิ้มได้ทั้งวัน มีความสุข มากจนพูดไม่ถูก รู้สึกอิ่มเอิบใจตลอดเวลา"
 


พระพัชรธนาเรศ สมาจาโร
อายุ ๒๓ ปี พระนวกะ พรรษา ๑
ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ วัดพระธรรมกาย

         "ก่อนจะมาบวชชีวิตของอาตมาก็สุขสบายดี การงานมั่นคง เพราะเป็นทันตแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาล ประจำอำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี แต่ละวันที่ ผ่านไป อาตมาเห็นใคร ๆ ต่างก็วุ่นวายอยู่กับการทำมาหากิน มันวุ่นวายจนเกิดความรู้สึกว่า โอ้.. ชีวิตแบบนี้ช่างน่าเบื่อหน่าย แล้ววันหนึ่งอาตมาได้ยินเสียงชวนบวชจากรถประชาสัมพันธ์ที่วิ่งผ่านมาพอดี จึงไปขอใบโบรชัวร์ และตกลงใจเขียนใบสมัครทันที  พอบวชแล้วอาตมามีความสุขทุกวันในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ และได้นั่งสมาธิโดยพระอาจารย์แนะนำให้ท่อง "สัมมา อะระหัง" ๕๐๐ ครั้ง อาตมาก็ลองทำตาม ท่องไป แล้วก็นับไป แต่ปรากฏว่านับอย่างไรก็ไม่เคยถึง ๕๐๐ เพราะนับได้แค่ร้อยกว่า ๆ ก็เริ่มรู้สึกนิ่ง โล่ง เบา เหมือนช่วงขาหายไป คล้ายกับลอยอยู่ในอากาศ แล้วเสียงก็เงียบเหมือนอยู่ตัวคนเดียว นิ่งได้สักพัก อยู่ดี ๆ องค์พระก็ผุดขึ้นมาที่กลางท้องเลย ขนาดเท่าฝ่ามือแล้วก็ขยายใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ จนขนาดเท่าบ้าน แล้วค่อย ๆ เลือนไป ทีแรกอาตมานึกว่าองค์พระจะหายไปแล้ว แต่อีกสักพักก็มีองค์พระองค์ใหม่ผุดขึ้นมาแทนที่แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วก็มีองค์พระอีกองค์ผุดขึ้นมาอีก ผุดซ้อนอย่างนี้เรื่อย ๆ หลายองค์เลย ก่อนหน้านี้  เวลาได้ยินใคร ๆ เขาบอกว่านั่งแล้วเห็นองค์พระ มีประสบการณ์ภายในต่าง ๆ อาตมาเองก็ยังไม่ค่อย แน่ใจ แต่ตอนนี้อาตมาหายสงสัยแล้ว

         "ล่าสุด อาตมานั่งเห็นดวงแก้วเป็นจุดเล็ก ๆ มองเข้าไปในดวงแก้วก็เห็นองค์พระแก้วใส  พอมองที่กลางองค์พระก็เห็นดวงแก้วผุดซ้อนสลับกันอย่างนี้  แล้วก็เห็นตัวเองใสเป็นแก้วอยู่ที่กลางท้องในเพศสมณะ จากนั้นก็เห็นดวงแก้วกับองค์พระผุดซ้อนสลับ กันไปเรื่อย ๆ รู้สึกมีความสุขมาก แม้ลืมตาก็ยังเห็น องค์พระที่กลางท้อง ชัด ใส ตลอดเวลา ตอนนี้อาตมารู้แล้วว่า ชีวิตในแบบที่ต้องการและแสวงหามาตลอด คือการบวชสร้างบารมี ฝึกฝนอบรมตนให้ เป็นพระแท้ที่โลกต้องการ อาตมามั่นใจว่า เส้นทางนี้ ดีกว่าดีที่สุดแล้ว อาตมาตั้งใจแล้วว่าจะขออุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา จะขอบวชชาติต่อชาติ ช่วยงาน หลวงพ่อ นำแสงสว่างส่องทางสู่เป้าหมายชีวิตที่แท้จริงให้กับชาวโลกตลอดไป"



         จากเรื่องราวของผู้มีบุญทั้ง ๓ ท่านที่เล่ามา ทำให้เราทราบว่า ไม่ว่าคนที่สำคัญที่สุดจะเป็นใคร เวลาที่สำคัญที่สุด คือ เวลาไหน หรืองานที่สำคัญที่สุด คือ งานใด ถ้าสามารถนำตัวเราไปสู่ความ หลุดพ้นจากทุกข์และพบความสุขที่แท้จริงได้ สิ่งนั้น จึงจะนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างแท้จริง ซึ่งเราจะพบสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตได้ก็ต่อเมื่อใจของเรา "หยุดนิ่ง" เพราะใจที่หยุดนิ่ง คือ ใจที่เต็มเปี่ยมด้วยสมาธิ ซึ่งเป็นทางมาแห่งปัญญา คือ ความรู้แจ้ง ...เพราะหนทางชีวิตที่แท้จริง...ต้องเริ่มต้นด้วยความ เชื่อ...แล้วพิสูจน์ด้วยความใส จึงจะรู้ว่า..สิ่งที่เชื่อ ..ใช่หรือไม่ใช่!

 
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล