ฉบับที่ 106 สิงหาคม ปี2554

ป้าแต๋ว หรือ กัลฯ สุนาทร นุตผลิน

สมาธิกับชีวิต
เรื่อง : ธัมม์ วิชชา





อยู่ในบุญ
อยู่ในองค์พระ
"สัมมา อะระหัง"
ต่อชีวิต

ป้าแต๋ว หรือ กัลฯ สุนาทร นุตผลิน

          "หมอบอกว่า อีก ๓ เดือนจะตาย ตอนนี้อยู่มาตั้งหลายปีแล้วยังไม่ตาย" แล้วป้าทำอย่างไร "ป้าก็ไม่ได้ทำอะไร มองแต่องค์พระ แล้วก็ สัมมา อะระหัง อย่างเดียว"

           คำพูดประโยคเบื้องต้นเป็นบทสนทนาที่ข้าพเจ้า ได้พูดคุยกับป้าแต๋ว หรือ กัลฯ สุนาทร นุตผลิน ซึ่งปัจจุบันอายุได้ ๗๐ ปีแล้ว ตลอดระยะเวลาที่คุยกัน ดูคุณป้ามีความสุขมาก ๆ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า นี่คือบุคคลที่เคยผ่านการเจ็บป่วยมาอย่างหนัก และคุณหมอเคยพยากรณ์วันตายให้ล่วงหน้าแล้ว แต่ทุกวันนี้คุณป้ายังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไปพร้อม ๆ กับกิจวัตรหลัก คือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ไปวัดทำบุญทุกบุญ ทำหน้าที่ผู้นำบุญ และเดินสาย ไปปฏิบัติธรรมตามที่ต่าง ๆ ของทางวัด จนกระทั่ง เข้ารับการอบรมอุบาสิกาแก้วในรุ่นต่าง ๆ

          ป้าแต๋วเล่าเรื่องของท่านให้ฟังว่า

          "ป้าไปปฏิบัติธรรมและสร้างบารมีที่วัดพระ-ธรรมกายตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๒๓ เพราะ มีความทุกข์ทางใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร แก้ปัญหาไม่ได้ อยากมีความสุข ก็เลยอธิษฐานว่าขอให้ได้พบวัดที่เป็นเนื้อนาบุญŽ




"ใจป้าจะอยู่กับดวงแก้วอยู่ กับ "สัมมา อะระหัง" ตลอด ข้างในมันสว่างโพลงเลย"

                                                                                                                                                         จริง ๆ แล้วป้าแต๋วเป็นคนบางปะกง แต่พ่อบ้านย้ายไปทำงานที่สถานีวิทยุคลองห้า เมื่อก่อน ป้าแต๋วนั่งรถผ่านวัดพระธรรมกาย เห็นโบสถ์รูปร่าง แปลก ก็เลยอยากเข้าไปดู แต่ก่อนที่จะเข้าวัดนี้ ป้าแต๋วทำบุญที่วัดใกล้บ้าน ขี่จักรยานไป วันพระก็ทำอาหารไปถวายพระ แต่ใจก็อยากเจอพระที่สอนเรื่องสมาธิ พอเห็นวัดพระธรรมกายจึงลองไปดู
                                                                                                      
          "ขี่จักรยานจากคลองห้าไปคลองสาม วันนั้น ใส่งอบกับเสื้อแขนยาวสีแดงแจ๊ดเลย ใจคิดว่าถ้าวัดนี้ถ้าแน่จริง ขอให้แดดร่ม แล้วก็ท่อง "พุทโธ"ž ไป เรื่อย ทั้ง ๆ ที่เห็นแดดระยิบ ๆ แต่เรารู้สึกเหมือนมีร่มกางให้ตลอดทาง เราขี่จักรยานไปที่ศาลาจาตุ-มหาราชิกา ตอนนั้นเวลาประมาณบ่ายโมง ได้เข้า ไปนั่งสมาธิ จากนั้นก็เข้าวัดมาเรื่อย ๆ ไปวัดทุกวันเสาร์ ไปกวาดใบไม้ เอาลูกไปด้วย ๒ คน ไปกวาดใบไม้ด้วยกัน พอทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็กลับบ้านประมาณบ่ายสองโมง แล้ววันอาทิตย์ก็ไปใหม่

          "จากนั้นเราก็นั่งสมาธิทุกวันไม่เคยขาด แม้ไม่ได้ไปวัดก็นั่งเองที่บ้าน นั่งตี ๔ ตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้า หลังจากนั้นก็ทำกับข้าว ช่วงสายก็นั่งตั้งแต่ ๙ โมงครึ่ง ถึง ๑๑ โมง ตอนเที่ยงก็มาทำกับข้าวอีกเพราะพ่อบ้านต้องมากินข้าว ใจป้าผูกพันอยากจะนั่งแต่สมาธิตลอด

          "วันหนึ่งได้ดวงแก้วมาจากวัด ใสมาก ป้าเอา มาใส่ในขันน้ำ ก็ยิ่งใสเป็นประกายเข้าไปใหญ่ เลยนึกว่า อยากให้ดวงแก้วนี้เข้าไปอยู่ในท้องของเราจังเลย พอนั่งสมาธิก็นึกเหมือนกับว่าเรากำลังเอาหลอดดูดน้ำลงไปในท้อง ดวงแก้วก็ไหลขึ้นมาตามหลอดด้วย ไหลลงไปในท้องของเรา ปรากฏว่า พอดวงแก้วไหลเข้าไปในท้อง ใจนิ่งเลย เห็นแต่ดวงแก้ว ลอยเด่นอยู่ตรงศูนย์กลางกายพอดี ในดวงแก้วก็มีจุดเล็กใส ๆ มีแสงสว่างเหมือนสปอตไลต์ ก็นึกว่าแสงจากข้างนอกคงส่องเข้ามา เลยเอาหมวกมาใส่ ปิดหน้าไว้ แสงสว่างก็ยังอยู่ จึงรู้ว่านี่ไม่ใช่สปอตไลต์ แล้ว เป็นแสงจากข้างในจริง ๆ แล้วดวงแก้วก็ขยาย ได้ จากดวงเท่าเม็ดถั่วเขียวก็ขยายเท่ากับเขียงที่ เขาใช้สับไก่ทำข้าวมันไก่ ป้าก็นึกว่า โอย..ถ้าใหญ่ไปกลัวจะคับท้อง ใหญ่มากไม่ดีเอาแบบสบาย ๆ ดวงแก้วก็ย่อลงมา หลังจากนั้นไม่ว่าจะทำอะไร ใจป้า จะอยู่กับดวงแก้ว อยู่กับ สัมมา อะระหังž ตลอด ข้างในมันสว่างโพลงเลย จะนั่งรถเมล์เดินทางไปไหน มาไหนก็นั่งหลับตามองดวงแก้วไปเรื่อย ๆ คราวหนึ่ง ขณะที่กำลัง สัมมา อะระหังž มองดวงแก้วเพลิน ๆ อยู่ องค์พระก็โผล่พรวดขึ้นมา เศียรโผล่ทะลุไปถึงหลังคา สว่างจ้า และใจก็มีความสุขมาก ๆ

          "พอไปนั่งกับหลวงพ่อที่ศาลาดุสิต ท่านก็ชี้มา ที่เรา ถามว่านั่งสมาธิเป็นอย่างไรบ้าง เราก็ตอบว่า นั่งแล้วมันเจ้าค่ะ คนก็เฮกันทั้งศาลาดุสิตเลย เราก็งงว่าเขาเฮอะไรกัน แล้วหลวงพ่อก็ถามมาอีกคำหนึ่ง ว่า มันคืออะไร เราก็ตอบหลวงพ่อไปว่า มันคือนั่งแล้วมันไม่อยากเลิกเจ้าค่ะ คือ นั่งแล้วมันติดใจ ใจ มันติดอยู่กับธรรมะ แล้วก็ติดวัดตลอด

          "เข้าวัดมา ๓๑ ปีแล้ว ไม่เคยขาดการไปวัดเลย นอกจากเวลาป่วย แต่เราก็ทำสมาธิอยู่ที่บ้านไม่ได้ขาด ตั้งแต่เข้าวัดรู้สึกว่าความทุกข์ค่อย ๆ น้อย ลง มีความสุขมากขึ้น ต่อมาได้ไปดอยสุเทพครั้งแรก ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ ไปแล้วมีความ สุขมาก ทีนี้เขาจัดปฏิบัติธรรมที่ไหนป้าก็ไป จนถึงทุกวันนี้ไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว ๗๑ ครั้ง เฉพาะดอย สุเทพ ๒-๓ ครั้ง ครั้งแรกที่ไปดอยสุเทพ เอาเงินไป ๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินที่เราเก็บหอมรอมริบทีละเล็กทีละน้อย เราก็อธิษฐานว่าถ้าไปแล้วขอให้ได้เจอหลวงพ่อ ได้ถวายปัจจัยท่าน และให้ได้นั่งที่ดี ๆ

" เข้าวัดมา ๓๑ ปีแล้ว ไม่เคยขาดการไปวัดเลย นอกจากเวลาป่วย แต่เราก็ทำสมาธิอยู่ที่บ้านไม่ขาด ตั้งแต่เข้าวัดรู้สึกว่า ความทุกข์ค่อยๆ น้อยลง มีความสุขมากขึ้น..


          "ก่อนขึ้นดอยสุเทพ วันนั้นเราหกล้มก้นกบกระแทกพื้น แต่ก็คิดว่าอย่างไรก็จะไปให้ได้ ย่างก้าว จากบ้านก็จะ สัมมา อะระหังž ไปจนกว่าจะขึ้นรถ พอขึ้นรถก็ "สัมมา อะระหังž" ไปจนถึงดอยสุเทพ ท้ายสุดก็ได้นั่งในที่ที่ต้องการ คือแถวที่ ๔ คนที่ ๒ นั่งตรงกับองค์พระธรรมกายพอดี พอนั่งวันที่สองก็เป็นเหน็บชา แมลงก็กัดที่หลังมือ จะยกมือขึ้นปัดก็ยกไม่ขึ้น มันแข็งไปหมด เราก็นึกว่า วันนี้ฉันยอมตาย ตอนนั้นความปวดไปถึงเข่า ทรมานมาก ๆ แล้วปวดลามไปถึงบั้นเอว ปวดมาก ทีนี้จากที่ท่อง "สัมมา อะระหังž" เราก็เปลี่ยนเป็น ตายเป็นตาย ตายเป็นตายž แป๊บเดียวคำว่าตายเป็นตายก็หายไป แต่กระดูกลั่นดังเปรี๊ยะเหมือนโดนทุบด้วยก้อนหิน องค์พระที่เคยเห็นก็ผุดขึ้นมาอีกรอบ โอ๊ย..มีความสุข เหมือนติดปีกแล้วบินได้ ตั้งแต่เข้าวัดมาไม่เคยมี ความสุขเท่านี้มาก่อน วันนี้เป็นวันแรกที่สุขขนาดนี้ คืออยู่ดี ๆ ความปวดก็หายไปเลย มีความสุขเข้ามาแทน สุขจริงหนอ ๆ ความปวดที่ก้นกบและที่เป็น เหน็บชาหายไปหมด ไม่รู้หายไปไหน ตอนนั้นมีความ สุขมาก แล้วก็รู้สึกอยากให้ทุกคนมานั่งปฏิบัติธรรม

          "อยู่มาวันหนึ่ง เราได้ไปนั่งปฏิบัติธรรมที่โรงแรมแห่งหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ ช่วงนั้นคิดว่า เอ๊ะ! ทำไม เราผอมลง ทำไมท้องเราใหญ่ขึ้นเหมือนคนท้อง ๓ เดือน ข้างในก็บอกว่าให้ไปหาหมอ ไปตรวจเสีย แต่ เราไม่เชื่อ พอเราไปหาหมอ ครั้งแรกหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรเลย พอกลับบ้านอาการก็เหมือนเดิม ก็ เลยไปหาหมออีกครั้ง ตอนนั้นปลายปี ๒๕๔๗ หมอ บอกให้อัลตราซาวด์ และเข้าเครื่องตรวจเป็นการใหญ่ พอตรวจเสร็จหมอก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เราก็เลยถามหมอไปตรง ๆ ว่า ฉันเป็น ม ม้า (มะเร็ง) ใช่มั้ยž หมอก็บอกว่า ใช่...เป็น ๕ แห่ง คือ ที่มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ไส้ติ่ง และสำไส้ใหญ่ เป็นเหมือนใยแมงมุมเลย ต้องเอาออกทั้งยวง จะอยู่ได้ไม่เกิน ๓ เดือนž หมอบอกตรง ๆ จากนั้นเราก็เข้ากลางอย่าง เดียว ไม่สนใจอะไรเลย ไม่กลัว ไม่ตกใจ





          "หลังจากนั้นก็ไปโรงเรียนฝันในฝันวิทยาตอน กลางคืน เข้าไปกราบหลวงพ่อ ซึ่งตอนที่ไปกราบหลวงพ่อ วันนั้นหมอบอกแล้วว่าจะนัดผ่าตัด หลวงพ่อ ท่านถามว่า องค์พระยังอยู่ไหมž เราก็ตอบว่า อยู่เจ้าค่ะž หลวงพ่อก็บอกว่า เรามีหน้าที่เข้าไปใน องค์พระ หน้าที่ผ่าตัดเป็นเรื่องของหมอ หมอจะทำ อะไรก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป หน้าที่ของเราคือ เข้ากลางองค์พระž

          "ทีนี้ไปหาหลวงพ่อทัตตชีโว ท่านบอกว่าสบาย มาก ทำใจใส ๆ เราก็ใจชื้นว่าได้พรมาแล้วทั้ง ๒ องค์ ก่อนหน้านี้เราเคยไปกราบคุณยาย ตอนที่ท่าน ยังมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกเราว่า ถ้ามีปัญหาอะไร ยายจะช่วยž เราก็จำคำท่านไม่ลืม พอเราป่วยก็นึกถึง คำท่าน เสร็จแล้วเราก็ไปโรงพยาบาล เพราะว่าตอน ตรวจเจอเป็นมะเร็งระยะที่ ๓ แล้ว เราก็อธิษฐานว่าขอให้เจอหมอดี ยาดี แล้วหมอก็สั่งให้ผ่าเลย เพราะมีห้องว่างพอดี ช่วงนั้น ๔ อิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน เราก็เข้าองค์พระอย่างเดียว ถ้าหมอทำไม่ได้ เลาะไม่ออก ช่วยด้วยนะเจ้าคะ ขอให้ลูกได้รอดไปทำบุญด้วยเถิด แล้วป้าก็ สัมมา อะระหังž เข้ากลาง ไปเรื่อย เข้าห้องผ่าตัดตอน ๙ โมงเช้า ออกจากห้อง ตอน ๔ ทุ่ม จนมารู้สึกตัวอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียง สัมมา อะระหังž ที่ข้างหู ตื่นมาในห้องพิเศษก็บอก ให้ลูกสาวเอาเทปบทสวดมนต์เสียงหลวงพ่อมาเปิด ให้ฟัง

          "มีคนถามว่า เลือดหายไป ๖,๐๐๐ ซีซี รอดมาได้อย่างไร เราก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เรารู้ว่าหลวงปู่ ช่วย เพราะหมอเล่าให้ลูกสาวฟังว่าตอนที่ผ่า หมอเอาส่วนที่ต้องการออกไม่ได้ เพราะมันติดพังผืด หมอ ก็เลยประชุมกันว่าจะเอาอย่างไร พอหมอหันกลับมา อีกที ปรากฏว่าพังผืดหลุดเองเลย ที่หลุดออกไปถ้า ไม่ใช่เพราะหลวงปู่แล้วจะเป็นเพราะใคร

          "หลังออกจากห้องผ่าตัด ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีก ๒๐ วัน ตอนแรกหมอบอกว่า ต้องผ่าตัด เอาสายขับถ่ายไว้ที่หน้าท้อง แล้วต้องเอาอุจจาระออก ทางหน้าท้องไปตลอดชีวิต แต่ก่อนหน้านี้ เราอธิษฐาน ไว้แล้วว่า ผ่าแล้วขอให้อยู่ได้อย่างปกติž นึกให้หลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยาย คลุมห้องผ่าตัดให้หมด คลุมทั้งหมอด้วย

          "พอมานอนที่ห้องพิเศษ นอนอยู่ ๑๕ วัน ให้ น้ำเกลือไป ๓๖ ขวด ไม่ได้กินข้าวเลย แล้วก็เจาะสายยางเอาปัสสาวะออกหน้าท้อง ไม่มีอุจจาระเลย เพราะไม่ได้กินอะไร ระหว่างนี้เราก็ทำสมาธิตลอด แล้วก็นิมนต์พระไปรับปัจจัยที่โรงพยาบาล ทำบุญเสาวิหารคด

          "พอหมอมาเจาะเลือด หมอก็ถามว่าทำไมเส้นเลือดของป้าถึงไม่แข็ง ทำไมถึงเจาะง่าย แหม.. เราจะบอกอย่างไรดีว่าเราใช้วิชชา สัมมา อะระหังž ของหลวงพ่อ หลังจาก ๑๕ วันได้กินข้าวช้อนหนึ่ง ก็ถ่ายออกมา กินอะไรก็ถ่ายเองได้ สรุปว่าไม่ต้องใช้สายยางเจาะที่หน้าท้องเพื่อขับถ่ายทางหน้าท้องอย่างที่หมอบอกเอาไว้เลย

          "หลังจาก ๑๕ วัน หมอก็เริ่มให้กินอาหาร อ่อน ๆ กินไม่อร่อย ลิ้นชา ไม่รู้รส หูก็เพี้ยน ฟังไม่ค่อยได้ยิน เวลากินแต่ละคำก็นึก สัมมา อะระหัง อร่อย ๆž อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ให้กินให้ได้ หลังจากพักฟื้นแล้วต้องทำคีโมอีก ๑ คอร์ส ทั้งหมด ๖ ครั้ง พอให้เข็มที่ ๒ อาเจียนเป็นวรรคเป็นเวรเลย น้ำหนัก เหลือแค่ ๓๓ กิโล ใคร ๆ มาเยี่ยมก็คิดว่าตายแน่ แต่ที่อยู่ได้เพราะกำลังใจเราดี เข้ากลางอย่างเดียว หลวงปู่ หลวงพ่อให้ลูกอยู่เถิด ลูกจะทำบุญไปตลอด ชีวิต พอคีโมเข็มที่ ๓ จำได้ว่าเป็นช่วง ๒๒ เมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ หมอบอกว่าไม่ให้ไปวัดแล้ว กลัวจะติดเชื้อ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่เราก็ไปจนได้ ได้ถวายเงินหลวงพ่อ และถวายเรื่อย ๆ และได้ทำบุญอื่น ๆ อีกด้วย

          "พอคีโมเข็มที่ ๔ เราก็เริ่มกินข้าวได้มากขึ้น จาก ๑ ช้อน ก็กินได้ ๑ ชาม ต้องทำคีโมทั้งหมด ๖ เข็ม จะให้เข็มที่เท่าไร เราก็ไปวัด ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ดูดาวธรรม หลังจากทำคีโมเสร็จแล้ว หมอก็นัด ๓ เดือนครั้ง พออาการดีขึ้น ก็นัด ๖ เดือนครั้ง ครั้งนี้หมอก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้ว หมอยังแปลกใจว่าเราหายได้อย่างไร จากน้ำหนัก ๓๓ กิโล ตอนนี้หนัก ๔๐ กิโล จากที่หมอบอกว่าจะอยู่ได้แค่ ๓ เดือน ก็อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน เราก็แค่ใช้ทุกกิริยาอาการของเราให้เป็นบุญ สัมมา อะระหังž ตลอดเวลา ใจอยู่กับองค์พระ ท่านคลุมตัวป้าตลอด เหมือนเรา กับองค์พระเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใครจะชวนพูดเรื่องไร้สาระเราก็ไม่สนใจ เพราะไม่มีประโยชน์ แม้แต่ ความคิด เวลานั่งสมาธิป้าก็ไม่คิดอะไรเลย ถ้าความ คิดอย่างอื่นตั้งท่าจะแล่นเข้ามา เราก็บอกใจเราว่าไม่ใช่เวลาคิด มองแต่องค์พระ เข้ากลางของกลาง สัมมา อะระหังž ของเราไปเรื่อย

เราก็แค่ใช้ทุกกิริยา อาการของเราให้เป็นบุญ "สัมมา อะระหัง" ตลอดเวลา ใจอยู่กับองค์พระ ท่านคลุมตัวป้าตลอด เหมือนเรากับองค์พระเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

                                                                                                      

          "ป้าหายได้ก็เพราะองค์พระนี่แหละ ทุกวันนี้ ไปเรียน DOU ไปเรียนอภิธรรม เพราะอยากฝึกสมอง ด้วย ไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์ ความเครียดไม่มี มีแต่ ความสุข ทุกข์มีนะ แต่แก้ได้ทุกอย่าง ขนาดเรารักลูกมาก แต่พอถึงเวลานั่งสมาธิ เราก็เอาใจออก จากความผูกพันได้ เราให้ลูกทำบุญ ให้รักบุญให้ได้ นี่ลูกชายก็บวชให้แม่ บวชมา ๔ ครั้งแล้ว ครั้งที่แล้วก็บวชให้ ๑ พรรษาด้วยŽ
                                                                                                      
          ทุกวัน ป้าแต๋วจะตื่นตั้งแต่ตี ๔ แล้วสวดมนต์ นั่งสมาธิ จนกระทั่ง ๖ โมงเช้า แล้วก็หุงข้าว ทำกับข้าวให้ลูก ๆ พอทานข้าวเสร็จก็ทำกิจธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ภายในบ้าน จากนั้นก็มานั่งสมาธิพร้อม เสียงหลวงพ่อทาง DMC เวลาเที่ยงก็พักทานข้าว พอบ่าย ๆ ก็นั่งสมาธิพร้อมเสียงหลวงพ่อทาง DMC อีกรอบ จนกระทั่งถึงบ่าย ๒ โมงครึ่ง ก็มาทำการบ้าน DOU ตอนนี้เหลือแค่ ๒ วิชา ก็จะจบแล้ว นอกนั้นก็อ่านหนังสือพระอภิธรรม ถักเสื้อ ถักหมวก ไหมพรม ป้าบอกว่า ทำไปเพื่อบริหารมือและให้ใจมีสติกำกับ ถักไปใจก็มององค์พระไป พิจารณาตัวเองไปด้วยว่า สังขารเรามันไม่เที่ยง มันเสื่อมสลาย ไปตามกาลเวลา ให้ใจอยู่กับธรรมะ เวลาจะพูดหรือ สนทนากับใครก็พูดแต่น้อย เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่ทำให้ใจเราออกไปข้างนอกŽ ป้ายังบอกอีกว่า อยู่คนเดียวเราก็ยิ้มให้ตัวเราเองได้ ยิ้มให้องค์พระที่ท่านผุดซ้อน ๆ ขึ้นมา สัมมา อะระหังž ไปทุกอิริยาบถ เพราะองค์พระ เพราะ สัมมา อะระหังž นี่แหละต่อชีวิตเรา และเป็นเพื่อนแท้ของเราจริง ๆŽ"

          เรื่องของป้าแต๋ว หรือ กัลฯ สุนาทร นุตผลิน เป็นเครื่องยืนยันถึงความสัตย์จริงของพระพุทธวจนะที่ว่า "ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารีŽ" "ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรมŽ" ดังนั้นบัณฑิตผู้ปรารถนาความสุขอันแท้จริง หรือผู้ใดที่ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์ภัยนานาประการที่กำลังประสบอยู่ พึงบ่ายหน้าเข้าหาธรรมะแล้วประพฤติธรรมเถิด ดังถ้อยคำที่ว่า

         " ไม้จันทร์ แม้แห้ง ยังไม่สิ้นกลิ่นหอม
           อ้อย แม้ถูกหีบ ยังไม่สิ้นรสหวาน
           เกลือ แม้ถูกสะตุ ยังไม่สิ้นรสเค็ม
           บัณฑิต แม้ตกทุกข์ ยังไม่เลิกประพฤติธรรมŽ"

 
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล