ฉบับที่ 73 พฤศจิกายน ปี 2551

Know-how สู่การเป็นมหาเศรษฐีทุกฝีก้าว

สัมภาษณ์พิเศษ
เรื่อง : บริบูรณ์  โนรีเวช   ภาพ : เจริญ  เพ็ชรกิจ

 

 

 

       คนเราล้วนก้าวไปด้วยเท้าและลำแข้งของตนเอง และจังหวะการก้าวเดินของมนุษย์แต่ละคนสั้น ยาว ไม่เท่ากัน แต่ลำพังแค ่สองเท้าและลำแข้งที่ก้าวเดินนั้นเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตของเราประสบความสำเร็จได้จริงหรือ คุณศรัณย์ ภูริปรัชญา ผู้ร่ำรวยทุกก้าวย่างจะให้คำตอบนี้กับคุณ
ก่อนหน้านี้ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง?

        ก่อนเข้าวัดผมทำธุรกิจหลายอย่าง ชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ มาโดยตลอด ตอนนั้นชีวิตของผมก็เหมือนคนทั่วไป คิดดีทำดี แต่ไม่เข้าใจเรื่องบุญ ชีวิตหลัง ความตายนี่ไม่ต้องพูดถึงไม่รู้เรื่องเลย น้องสาวไปวัด เราก็ต่อต้าน พอน้องจะไปวัด เราก็ถามน้องว่าไปทำไม เพราะที่บ้านก็งานเยอะ เขากลับมาบอกเราว่า เขาไปช่วยงานวัด ไปช่วยตอกไข่ ทำโน่นทำนี่  จนกระทั่งพอปี ๒๕๓๖ ผมตัดสินใจเข้าวัดและบวชธรรมทายาท มีโอกาสได้ปฏิบัติธรรมและนั่งสมาธิ ผมโชคดีที่ นั่งเห็นดวงธรรม จึงทำให้เชื่อมั่น เลยว่า ดวงธรรมมีจริง ดวงบุญมีจริง องค์พระมีจริง วิชชาธรรมกาย ที่หลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านค้นพบมีจริง และเราก็คิดว่าสิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนนั้นจริงล้านเปอร์เซ็นต์ พอก่อนจะลาสิกขา ก็นั่งถามตัวเองว่า เราจะบวช เป็นพระดีหรือว่าเราจะออกไปเป็นกองเสบียง พอเลือกว่าเราจะไปเป็นกองเสบียง เพราะมั่นใจว่า เราน่าจะทำได้ ตั้งแต่วันนั้น จึงคิดว่า เราต้องออกไป เตรียมตัวรวย

 

 

ตั้งโจทย์ให้ตัวเองอย่างชัดเจนว่าต้องรวย?

           ใช่..พอคิดว่าจะต้องรวย เราก็คิดต่อว่า ถ้าจะ รวย ก็ต้องมีบุญ บุญเป็นสิ่งสำคัญ
           ผมชอบตรงที่หลวงพ่อท่านสอนว่า "หาบุญได้ใช้บุญเป็น" ผมมองว่า โอ้โฮ..นี่มัน Know-how ที่ทำให้รวยเลยนะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นเราออกไปรวย ดีกว่า ไปเป็นกองเสบียง ช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจทุนก็น้อย คุณพ่อมีเงินแต่ ก็ไม่เคยยืมเงินคุณพ่อเลย คุณพ่อท่าน ก็ทำของท่าน เราก็ทำของเรา เริ่มต้นด้วยตัวเราเอง ผมมีมอเตอร์ไซค์เก่าๆ ๑ คัน ต้องไปส่งของที่จตุจักร ขับมอเตอร์ไซค์ไปคนเดียว ไปรับออร์เดอร์ พอได้ออร์เดอร์ก็มาจัดของแล้ววันรุ่งขึ้นก็เอาไปส่ง ทำอยู่ อย่างนี้หลายปี ระหว่างนั้นผมก็มาวัดทุกวันอาทิตย์ไม่เคยขาดเลย
ในระหว่างนั้นไม่ทิ้งบุญเลย?

          ใช่ไม่เคยทิ้งเลย ผมมองว่ามันเป็นบุญลาภของผม เพราะตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ นับแต่หล่อรูปเหมือนทองคำหลวงปู่องค์แรก จนมาถึงวันนี้ไม่เคยว่างเว้น ในบุญเลย เอาง่ายๆ ว่า บูชาข้าวพระมาตั้งแต่เข้าวัดจนถึงทุกวันนี้ เท่าที่จำได้ผมขาด อยู่วันเดียวเท่านั้น ทำทุกเดือนตั้งแต่ร้อยสองร้อยจนมาถึงหลายๆ พัน ทำไปเรื่อยๆ ไม่เคยท้อ หลายๆ คนอาจจะคิดว่า เจ้าตี๋นี่มัน ไปวัดได้ยังไงทุกอาทิตย์ตั้ง ๑๐ กว่าปี เขาไม่ได้มองว่าคุณรวยนะ แต่เขาก็เชื่อว่าอย่างน้อย คุณน่ะเป็นคนดี สิ่งที่ผมได้คือ อิมเมจผมดี เป็นคนดี เจ้านี่ไม่โกงแน่ จากนั้นก็จะมีผู้ใหญ่เอ็นดูเรา จากคน ที่ไม่มีทุนก็อาศัยโรงงานเล็กๆ น้อยๆ ช่วยๆ กัน ทำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งขยายกิจการมาถึงปัจจุบัน

 

 

จำความรู้สึกที่ร่วมทำบุญหล่อหลวงปู่องค์แรกได้หรือเปล่า?

            ตอนนั้นก็เรียนให้ทราบตรงๆ นะว่าไม่ปลื้ม เสียดายที่ตัวเองทำได้น้อยเพราะเงินไม่ค่อยมี แต่รู้ว่า บุญนี้ดี เห็นเขาทำกัน เป็นกิโลๆ แต่เรามีเงินน้อย ก็ทำไปได้แค่ไม่กี่บาท พอถึงองค์ล่าสุดที่หล่อไป เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคมที่ผ่านมา ผมจึงทุ่มทำไป ๒ โกฏิแล้ว 
ถ้าย้อนกลับไปวันแรก...เคยคิดไหมว่า ตัวเองจะสามารถทำบุญได้เป็นโกฏิๆ?

            ไม่กล้าคิด แต่ฝันนะ ทำเป็นล้านเนี่ย แต่ก่อนมีเด็กยุวฯ คนหนึ่งเขานั่งได้ธรรมกาย เราก็ไปถามนะว่า ชีวิตนี้จะได้ทำบุญ เป็นล้านไหม เขาบอก ว่า พี่ได้ทำบ่อยๆ ทำอีกหลายๆ สิบครั้ง เราก็ดีใจแต่อีกใจก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่ปัจจุบันมันก็เป็นอย่างนั้น จริงๆ แล้วเราก็มานั่งดีใจ มันคือบุญต่อบุญน่ะ อย่างในทางโลกเขาว่าเงินต่อเงินน่ะมันไม่จริง มันต้อง บุญต่อเงินต่างหาก ถ้าไม่มีบุญ เงินมันจะต่อได้อย่างไร เงินต่อเงินมันมีสิทธิ์หมด แต่บุญต่อเงินเป็น Know-how เดียวที่ไม่มีวันหมด ยิ่งให้คุณยิ่งได้ เป็น สิ่งเดียวในโลกที่ยืนยันได้ว่า ยิ่งลงทุนกำไรยิ่งเยอะ มีแต่ได้กับได้
หลังจากทำบุญหล่อทองคำหลวงปู่ไปแล้ว วันนี้เริ่มมีสัญญาณจะรวยขึ้นอีกบ้างไหม?

            เยอะเลย ทุกครั้งที่ทำบุญใหญ่สายงานของผม ขยายได้เร็ว ผมเชื่อว่าบุญเป็นความสำเร็จ ถ้าเราไม่มีบุญมันจะคิดไม่ออก แม้ให้ตั้งใจนั่งคิดก็คิดไม่ออก แต่พอได้ทำบุญและนั่งหลับตากลับคิดออก ไม่รู้จะอธิบายกับคนอื่นอย่างไร เดี๋ยวเขาจะหาว่าคุณ กำลังโม้ แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่หลังจากวันที่ ๑๐ ตุลาคม วันหล่อทองคำหลวงปู่ที่ผ่านมาแปลกมากไม่เกิน ๗ วัน มีอีกงานหนึ่งมาติดต่อกับผม ซึ่งผมกำลังออกแบบงานบางรุ่นค้างไว้อยู่ ยังไม่สามารถสานงานต่อได้ ผมก็พักไว้ก่อนมันยังไม่ลงตัว แต่พอเสร็จงานบุญวันที่ ๑๐ ตุลาคม โรงงานนี้ไม่รู้มาจากไหนมาเสนอในสิ่งที่กำลังต้องการ อย่างนี้ถ้าไม่ใช่อานุภาพของบุญ ก็ไม่รู้ว่าจะมาด้วยอะไร ไป บอกคนอื่นเขาอาจจะบอกว่า คุณศรัณย์รวยแล้วนี่ เป็นที่รู้จักในวงการนี้ แต่จริงๆ แล้วคนที่มีเงิน มีชื่อในวงการ คนที่ทำธุรกิจอย่างผมเยอะแยะไป แต่ เขาก็ไม่มีชิ้นงานที่จะมาพอเหมาะกับสิ่งที่เขากำลังต้องการ อันนี้ผมจึง บอกว่า ทำบุญไม่มีวันหมด เพราะ เราทำบุญไปดูเหมือนว่าเงินมันจะหมดนะ แต่ถ้าหลับตานึกในตอนนี้จากโปรเจ็คงานดีๆ ที่เข้ามา เราคำนวณได้เลยว่า สมบัติที่กำลังจะมานั้นมากกว่าเงินที่เราทำบุญอีก
ทำบุญเยอะไม่กลัวหมดหรือ?

         ไม่กลัวครับ ถ้ากลัวหมดตัวแค่คิดเราก็จะไม่กล้าทำแล้ว ถ้ามีร้อยบาททำตอนนี้ถามว่าหมดไหม แน่นอนมันอาจจะหมด แต่ถ้าหากเรามั่นใจในบุญ เชื่อในบุญ เราไม่กลัวหรอก เพราะสิ่งที่เราทำ เรารู้ว่ามันเหมือนน้ำที่ค่อยๆ สะสมจึงจะเต็มตุ่ม และน้ำเวลาเต็มตุ่มมันก็จะเต็มไปเรื่อย ๆ มีแต่จะล้นตุ่ม ฉะนั้นคำว่า "หมด" มันไม่มีหรอก มันมีแต่เพิ่มขึ้น หลวงปู่ท่าน ก็ยืนยันว่า ทำบุญไม่มีวันจน ยิ่งทำยิ่งรวย 
แสดงว่าเชื่อมั่นในคำสอนของหลวงปู่ ไม่คลอนแคลนเลย?

          ครับ...ผมสังเกตจากตัวเอง ยามที่ลำบากมาก มีปัญหาช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีฟองสบู่แตก ตอนนั้นแม้จะโดนหนัก แต่ก็ไปทำบุญที่วัดอย่างต่อเนื่องตลอด เราคิดว่าอย่างไรก็ต้องไปทำบุญเพราะเราอยากทำแม้เศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม แต่ใจไม่ตก ยังสู้ แล้วหลวงปู่ท่านก็มาเข้าฝันเลย ท่านมาเข้าฝันแบบปลอบ เราเลยแหละว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก สมบัติเอ็งกำลัง จะมา" ผมจึงเชื่อมั่นเต็มล้านว่า พวกเราอยู่ในสายตาหลวงปู่เสมอ ท่านดูเราตลอดเวลา ฉะนั้นผมจึงมีความมั่นใจและทำบุญแบบไม่กลัว และเพราะทำบุญ อย่างนี้จึงพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเสมอ พอบุญเรามากเวลาปฏิบัติธรรม หรือเวลาใจใสจะคิดงานการ อะไรได้ง่าย คิดอะไรเป็นเงินเป็นทองไปหมด จับอะไรก็เป็นเงินเป็นทอง

 

 

บุญสามารถแก้วิกฤตของชีวิตได้ทุกครั้งไหม?

            ได้ทุกครั้ง อย่างเช่นในช่วงที่มีบุญสลายร่าง คุณยาย ช่วงนั้นคนประกอบธุรกิจล้มหายตายจาก กันไปเยอะ และเป็นช่วงที่ ค่อนข้างลำบาก แต่หลวงพ่อท่านนิมนต์พระมาเป็นแสนรูป ผมก็คิดว่า ถ้าทำแล้วถึงกับเจ๊งผมก็จะทำ เพราะคิดแล้วก็คุ้มที่ จะได้ทำบุญกับพระเป็นแสนรูป ได้บูชาธรรมคุณยาย เป็นบุญที่ผมนึกถึงก็ปีติใจว่า วันนั้นเราตัดสินใจถูก จริงๆ ในตอนนั้นเงิน ไม่มีเลยนะ เอาเงินธุรกิจทำแบบ หมดกระเป๋า และด้วยบุญครั้งนั้นทำให้ผมผ่านพ้นวิกฤตต่างๆ มาได้จนถึงทุกวันนี้
มีหลายคนบอกว่า ยิ่งมาวัด ยิ่งรวย ต้องมาวัดอย่างไร ..ถึงจะรวยได้?

           มาวัดต้องทำบุญ คือ ถ้าคุณไม่ทำบุญคุณไม่รวยหรอก ถ้าแค่มาดู คุณก็ดูคนอื่นรวย หลวงพ่อท่านบอกว่า คนอื่นรวย ไม่เหมือน เรารวยเอง ถ้าเราจะรวยเองเราต้องทำเอง อย่างที่ผมพูดย้อนไปในอดีตว่า พอเรารู้ว่าเป็นกองเสบียง เราก็จำเป็นที่จะต้องรวย งานทุกอย่างผมวางแผนหมดเลย พอคิดว่า ถ้าทำงานในอนาคตเราต้องมียี่ห้อ ก็เลยจดแบรนด์ทิ้งเอาไว้ จากแบรนด์วันนั้นจนถึงวันนี้ ๑๐ กว่าปี แบรนด์ mixstar ก็มีมูลค่า ทุกอย่างต้องวางแผน งานหยาบเราก็วางแผนไป เรื่องละเอียด เราก็ทำบุญ ไป ค่อยๆ ทำควบคู่กันไป เหมือนกับปลูกต้นไม้ต้นไม้มันเริ่มออกดอกออกผล พอผลโตเราก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลได้ ผมถึงบอกว่าที่ผมมาวัด เพราะผมวางแผนว่าจะต้องมาทุกวันอาทิตย์ เรารู้ว่าเราบุญน้อย ตอนนี้มีเงินเท่านี้ก็ทำเท่านี้ มีมากก็ทำมาก มีน้อยไม่ใช่ไม่ทำนะ มีน้อยก็ยิ่งต้องรีบทำ ยิ่งมีปัญหาต้องทำ พอทำเสร็จแล้วก็อธิษฐานจิต พออธิษฐานแล้วก็อุ่นใจ มั่นใจยิ่งขึ้น
แล้วที่คนบอกว่ามาวัดแล้วระวังเจ๊งนะ ระวังหมดตัว มีความคิดเห็นอย่างไร? 

          คือผมเฉยๆ นะ ผมว่าคนที่เขาพูดคือ คนที่ไม่ได้มาวัด ถ้าคนที่มาวัดเขาไม่พูดกันอย่างนี้หรอก ถ้าสังเกตนะ คนที่พูดอย่างนี้ ล้วนแต่ไม่ได้มาวัดทั้งนั้น ถ้าคนมาวัดจะเข้าใจทันทีเลยว่า วัดทำอะไร ทำเพื่อใคร ทำไปทำไม สุดท้ายสิ่งที่ทำก็เพื่อตัวเราเอง คือท้ายสุดแล้วหลวงพ่อท่านสอนให้เราทำเพื่อตัวเรา เอง ผมมองจากประเด็นหลัก ซึ่งอาจจะคิดไม่เหมือน คนอื่น ผมว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะทำอย่างไรให้คนทั้งโลกนี้มานั่งสมาธิ หรือหลับตาเป็น แต่ถามว่าเศรษฐกิจคุณไม่ดีคุณมา นั่งหลับตาได้ไหม ท้องยังหิวอยู่ คุณหลับตาได้ไหม ไม่ได้ครับ ผมยังต้องทำงานทุกวัน หาเช้ากินค่ำอยู่เลย หลวงพ่อท่านต้องการให้คนมานั่งหลับตา ท่าน สร้างสภาเพื่อให้คนมานั่งสมาธิ ทุกอย่างที่ท่านทำ ไม่ได้ทำเพราะอวดว่าวัดใหญ่ อวดว่าหลวงพ่อเก่ง อวดว่ามีบารมีสูง ไม่ใช่อย่างนั้น หลวงพ่อท่านมี project เดียวคือสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นแก่โลก นี่คือ สิ่งที่ผมชอบ ผมเลยบอกว่า เออ..เราต้องรวยอย่างมีเหตุผล รวยแบบมีเป้าหมาย ผมตั้งใจแบบนี้มาตลอด ๑๐ ปี ไม่ใช่ว่าผมฟลุกๆ นะ ผมคิดแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่เข้าวัดแล้ว จนทุกวันนี้จะขยายโรงงานเพิ่มอีก แล้วคนเขาก็มองผมว่าบ้ารึเปล่าเศรษฐกิจไม่ดี ทะลึ่งจะไปขยายโรงงาน ผมคิดว่าผมมีความสามารถตรงนี้ที่จะทำงานได้ ผมไม่ใช่คนเก่งนะ ผมได้มาด้วยเพราะบุญ มีเงินแล้วเราไปทำบุญช่วยงานพระศาสนา ชีวิตผมไม่มีอัศจรรย์ ไม่มีปาฏิหาริย์ มีแต่บุญและอานุภาพบุญมาเรื่อยๆ โดยตลอด
แสดงว่าตามหลักของคุณศรัณย์ คือ ถ้า อยากจะรวย เวลาทำบุญอย่ากลัวหมด? 

             เราก้าวพ้นความกลัวไปให้ได้ก่อน ผมไม่กลัวหมด แต่กลัวไม่มีจะทำ หมดไม่เป็นไรมันยังหาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่รู้จะ หาตรงไหนมาทำนี่มันน่ากลัว เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร

 

 

รู้สึกอย่างไรกับบุญกฐินหลวงปู่ครั้งนี้?

         ใช้ถ้อยคำอินเทรนด์เลยนะครับว่า ผมรู้สึกว่า สำคัญโคตรๆ พวกเราต้องสร้างผังพันโกฏิสำเร็จอย่างมั่นคง ปีนี้เป็นปีที่เป็น ความสุขความสมหวังของเราจริงๆ ผมมองเป็นภาพอย่างนั้นนะ มันเหมือน เป็นงานเข้าสู่ชัยชนะของวิชชาธรรมกาย เข้าสู่ยุคเผยแผ่แล้ว งานระดมทุนเริ่มจางลง ถ้าตอนนั้นมีเงินก็ไม่ได้ทำแล้ว ถ้าหากว่าเรามีเงินแล้วเราไม่ได้ทำ สู้ทำตอนที่เรา ไม่มีเงินดีเสียกว่า และถ้าเราทำแบบยากลำบากด้วยนะจะปลื้มโคตรๆ เลย เราจะจำได้ ดีกว่าตอนมีทรัพย์

      ผมสังเกตตัวเองนะว่า พอได้ทำบุญกฐินทุกปี การเงินหรือธุรกิจ จะดีมาตลอด อย่างน้องสาว เขาบอกผมว่า เขาก็ทำบุญมาเยอะ แต่ตกบุญกฐินบ่อย ผมก็บอกว่า ทำไมเธอตกบุญกฐินล่ะ เพราะกฐินเป็น บุญสำคัญ เวลาทำบุญกฐินทุกป ีผมจะสังเกตนะว่ามันดีขึ้นมาตลอด หรือยามมีปัญหามันก็แก้วิกฤตได้ ยามดีก็ยิ่งดีขึ้น อย่างเช่นปีที่แล้วทำบุญกฐินโมดูล ทีแรกตั้งใจไว้ว่าทำโมดูลเดียว แต่ก็ทำๆ ไปเกือบสองโมดูล ทั้งๆ ที่เพิ่งจะทำโรงงาน เงินก็ต้องใช้ โรงงานก็เพิ่งจะซื้อเครื่องจักร ต้องใช้เงินแทบทุกเรื่อง แต่หลังจากทำบุญกฐินครั้งนั้นตั้งแต่เดือนธันวาคมนถึงทุกวันนี้ โรงงานไม่มีหยุดเลย หลายๆ โรงงาน ในบริเวณนี้และคนรู้จักเขาหยุด ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ทำงานจริงๆ อาทิตย์ละแค่ ๔ - ๕ วัน ยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจเมืองไทยมีปัญหา ด้วยปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเมือง เรื่องดินฟ้าอากาศ หลายๆ โรงงานทำวันจันทรŒ - ศุกร์, จันทร์ - พฤหัส หรือบางทีก็ให้ลูกน้องไปเรียน แต่ของเรานี่ตั้งแต่เปิด มามีแต่จะบอกลูกน้องว่าให้ช่วยทำงานหน่อยเถอะ ชั่วโมงนี้เราดีกว่าคนอื่น สินค้าแบรนด์อื่นยอดตกหมดเลยนะ ยอดตกจนเขาตกใจ ซัพพลายเออร์ของ เราบอกว่าเกิดอะไรขึ้น บริษัทใหญ่กว่าคุณมีโปรดักส์ เป็นร้อยตัวมาเก็บเงินเขาแค่แสนสองแสน แต่บริษัท คุณ มีสินค้าอยู่ ๒ - ๓ ยี่ห้อมาเก็บเงินเป็นล้าน ช่วงนี้ ทุกคนก็โทร ชื่นชมไม่มีหยุดเลย เพื่อนหรือคนที่รู้จักทุกคนล้วนแต่มีปัญหาในกระแสเศรษฐกิจ กังวลใจกันมากทั้งสิ้น แต่เรากลับดีวันดีคืน ยิ่งตอนนี้ออกโปรดักส์ตัวใหม่ ออกไปปุ๊บเซลส์ก็มาบอกว่า "เฮียครับผมมีเรื่องจะบอก เอ่อ..ร้านค้าที่เราเอาของไปลง ที่ The Mall ขายหมดทุกที่เลยครับ ไม่เหลือเลย" เราก็บอกอะไรจะดีขนาดนั้น ยิ่งเศรษฐกิจช่วงนี้มันไม่ดีนะ แต่มันสวนกระแส แล้วรองเท้าตัวนี้ ราคาก็ไม่ถูก เราก็คิดว่าตลาดคงจะต้องเล็กลงแต่ที่ไหนได้ กลับสวนกระแสมากกว่าเดิม อย่างโรงงานนี่ตั้งได้ปีเดียว ก็จะต้องหาที่ย้ายโรงงานแล้ว เพราะว่าผลิตไม่ทัน ด้วยผลบุญนี่แหละ ผมจึงบอกว่า บุญกฐินนี่สำคัญมาก ปีหนึ่งมีครั้งเดียว อย่าพลาดเด็ดขาด
อย่างนี้ก็เหมือนยืนยันสิ่งที่หลวงปู่ที่ท่าน
บอกได้เลยสิว่า ...ทำบุญแล้ว ไม่มีอด ไม่มีหมด ไม่มีจน?

           ผมขอยืนยันครับ ผมไม่ได้หวังว่าจะต้องเชื่อผม แต่ผมอยากจะเป็นพยานยืนยันให้กับพระศาสนาว่า ทำบุญแล้วยิ่งทำยิ่งมี ยิ่งทำยิ่งรวย จากบุคคลที่ไม่มี อะไร ทำธุรกิจมาได้จนเป็นที่รู้จักในวงการ ผมคือหนึ่ง ในบุคคลประวัติศาสตร์นั้น จริงๆ แล้วผมไม่ได้เป็น คนมีความสามารถมาก ไม่ได้เก่งอะไรเลยนะ จาก บุคคลที่ไม่มีอะไรเลยมาถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยอานุภาพ แห่งบุญอย่างเดียวจริงๆ ครับ

            จากบทสัมภาษณ์ของคุณศรัณย์ ภูริปรัชญา ทำให้เราได้ทราบเคล็ดลับสำคัญว่า ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่สองเท้า และลำแข้งหรอกที่ทำให้ชีวิตของมนุษย์ประสบความสำเร็จ เพราะจะกี่ลำแข้งถ้าไม่มีบุญ ก้าวเดินจนน่องโต ก็ไม่มีทางรวย แต่ถ้ามีบุญแม้ ไม่ต้องเดินให้ลำบากมากมาย ก็สามารถที่จะรวย ไปพร้อมๆ กับการก้าวย่าง ของผู้คนได้ ดังเช่น คุณศรัณย์ เจ้าของผลิตภัณฑ์รองเท้า MIXSTAR และ MONOBO มหาเศรษฐีทุกฝีก้าว

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล