ฉบับที่ 47 กันยายน ปี 2549

ธรรมรัตน์ เพ็ญสุข เขาไม่ใช่เจ้าชายน้อย แต่เขาโชคดีที่รู้ว่าเกิดมาทำไม

สร้างคนให้เป็นคนดี
โดย : แซงดู บอง

 

 

            แม้นี่จะไม่ใช่เรื่องราวในวรรณกรรมคลาสสิกของโลก และคนเขียนก็ไม่ได้ชื่อว่า อังตวน เดอแซง-เตกซูเปรี รวมทั้งเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าผม ก็ไม่ใช่เจ้าชายน้อยจริงๆ และหน้าตาก็ออกจะธรรมดาเสียเหลือเกิน แต่ก็เหมือนกับที่ในหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อยบอกนั่นแหละว่า "สิ่งสำคัญมิอาจมองเห็นได้ด้วยตา" แต่ทว่าได้อ่าน ถ้อยคำของเขาจนจบ เราอาจมองเห็นหัวใจ ของชายหนุ่มคนนี้มากขึ้น

                 ในมุมหนึ่งบนดาวโลกสีเขียวมรกต เวลาตะวันบ่ายในเดือนสิงหาคม ผมได้นั่งพูดคุยกับคนที่ไม่ใช่เจ้าชาย และนี่คือบทสนทนาที่ผมได้คุยกับเขา

เป็นคนที่ไหน
                 คนโคราช อยู่กลางทุ่งแท้ๆ พ่อแม่ทำนาครับ

ปัจจุบันทำอะไรอยู่
                 เรียนหนังสือ ตอนนี้เรียนอยู่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และเป็นอาสาสมัครช่วยงานอยู่ที่วัดพระธรรมกาย

เข้าวัดตั้งแต่เมื่อไหร่
                 เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๐ งานตอกเสาเข็มต้นสุดท้าย วิหารหลวงปู่ ตอนนั้นยังเป็นเด็กอยู่ ป.๔ แค่อยากมาเที่ยว พอเขาจัดรถก็มาด้วย แต่ยังไม่เข้าใจในเรื่องบุญ มารู้เรื่องเมื่อตอนปลายปี ๔๓ ตอนนั้นอยู่ ม.๒ คุณป้าสมพรชวนมาอบรมค่ายดรุณแก้ว ทำให้ ผมเข้าใจวัดได้ดียิ่งขึ้น และก็มาวัดต่อเนื่อง ทางค่าย มีหลักสูตรในการเป็นอาสาสมัครช่วยงานวัดด้วย และ ผมก็ชอบงานตรงนี้ ถูกใจตรงที่ว่าได้มาช่วยงานบุญ เราเห็นผู้ใหญ่เขาทำบุญโดยใช้ปัจจัย แต่ครอบครัวผมจน ไม่มีปัจจัยมาทำบุญ แต่ก็อยากได้บุญ เลยมามองดูว่าอะไรที่เราทำแล้วจะได้บุญ คำตอบก็คือ ช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง ก็เลยมาช่วยงานโดยใช้แรงกายและสติปัญญาที่เรามี

ประทับใจในส่วนไหนของวัด
               โดนใจตรงที่คำสอน โดยเฉพาะคำว่า "คนเราเกิดมา สร้างบารมี" พอได้ยินคำนี้ เหมือนเจอสิ่งที่รู้สึกว่าใช่ เมื่อก่อนผมเคยสงสัยว่า คนเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร

ก่อนมาวัดชีวิตเป็นยังไง

 

 

                เหมือนเด็กทั่วไป กินเหล้า สูบบุหรี่ ลองไปเรื่อยเพราะไม่มีใครสอนว่ามันไม่ดี ถึงสอนก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะทำให้ผมเชื่อได้ เพราะต้นแบบแถวบ้าน กินเหล้าสูบบุหรี่กันแทบทั้งนั้นเลย เด็ก ม.๒ ก็อยากรู้ อยากลอง ดื่มจนเมา บางครั้งก็ทำเหล้ากินเอง ผมมีพี่ชายคนหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ปวดหัวตลอด ชอบมีเรื่องชกต่อย พอมีงานวัดพี่ชายก็จะไปทะเลาะกับคนอื่น โดนฟันหัวแบะกลับมาก็มี ยกพวกขี่มอเตอร์ไซค์ไปตีข้ามหมู่บ้าน ถึงขั้นเลือดตกยางออก ทำให้พ่อกับแม่ทุกข์ใจมาก ท่านบ่นให้ฟังประจำ สังเกตแม่จะนอนไม่หลับ แม่จะคอยฟังเสียงรถของพี่ชาย มอเตอร์ไซค์คันไหนแว้นมา แม่ก็ต้องผงกหัวขึ้นดูแล้วว่าใช่พี่ชายหรือเปล่า ชาวบ้านเค้ามองว่าผมจะต้องเป็นเหมือนพี่ชายแน่ๆ เพราะยาบ้าระบาดมาก

แล้วรู้สึกยังไงที่เห็นพี่ชายเป็นอย่างนั้น
                 ตอนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ เขาก็เป็นกัน ชวนกันกินเหล้า เมาก็เมากันทั้งกลุ่ม เดินกลางถนนเป็นกลุ้มเหมือนไม่มีสติ

อะไรที่ทำให้เปลี่ยนความคิด

                 พอมาถึงวัดผมเห็นคนยืนต้อนรับ และพูดสวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ ซึ่งดูแล้วอายุเค้าก็น้อยกว่าเรา บางคนก็รุ่นเดียวกับเรา เป็นชีวิต อีกมุมที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เลยได้คิดว่าทำไม ชีวิตของเขากับของเราแตกต่างกันจัง เค้าใส่ชุดขาว ดูบริสุทธิ์มากๆ แต่เราไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย รู้สึกว่าชีวิตเขามีคุณค่ากว่าเราเยอะ

หลังจากนั้นก็ได้มาช่วยงานวัด

                 ใช่..ผมมาเป็นอาสาสมัครแผนกบุญสถาน เลิกเรียน ๑๕.๓๐ น. มาถึงวัดตี ๑ ถึงตี ๒ เตรียมเสื้อผ้ามาจากที่บ้าน พอเลิกเรียนก็แบกกระเป๋าจากโรงเรียนมาเลย เดินทางจากบ้านเฉพาะขามาวัด ๖ ชั่วโมง นั่งรถแดงจากที่บ้านมาตัวเมืองใช้เวลา ๓ ชั่วโมงฝุ่นตลบตลอดทาง มีท้องนาและควายเป็นวิวให้ดู และต่อรถจากตัวเมืองมาวัดอีกใช้เวลา ๓ ชั่วโมง มีเพื่อนถามว่ามาทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย อยู่บ้านพักผ่อนดีกว่า เที่ยว กินเหล้า ดู TV สนุกกว่าตั้งเยอะ ทำไมต้องเอาชีวิตมาลำบาก แต่ผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ก็เลยไม่สนใจ มาถึงวัดก็ตี ๑ ตี ๒ ล้ามาก เงินก็หมด มีแค่เศษเหรียญไว้โทรบอก ให้พี่ที่วัดเตรียมเงินค่ามอเตอร์ไซค์ให้ พอมาวัด ผมก็รับบุญทุกอย่าง เช็ดถูปูเสื่อไม่เคยเกี่ยงเลยถือว่าเป็นบุญ ต่อมาก็ได้รับบุญทำความสะอาดรอบมหาธรรมกายเจดีย์ ปูพรมวันอาทิตย์ เป็นวิทยากรชมรมกล้าฝันและเป็นวิทยากรเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติด เพราะผมเคยทำมาก่อนที่โคราช

ได้ข่าวว่า เป็นโครงการที่ใหญ่มาก

                 พอสมควรครับ ตอนนั้นอยู่ ม.๕ ผมเป็นรองประธานนักเรียน ได้รวมกลุ่มเพื่อนๆ จากโรงเรียนต่างๆ จนได้เป็นผู้นำของ ๑๒ โรงเรียน รณรงค์เกี่ยวกับยาเสพติด เทเหล้า-เผาบุหรี่ รวมตัวกันได้ สองพันกว่าคน เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นประธาน ท่านบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็น เยาวชนที่ไหนเหมือนที่นี่ คือมีความคิดที่แปลก แต่สร้างสรรค์ดี ปัจจุบันเด็กจะนำผู้ใหญ่แล้วในเรื่องสร้างสรรค์ และเห็นว่าเด็กสามารถเปลี่ยนใจผู้ใหญ่ได้ เพื่อนผมซึ่งเค้ากินเหล้า พองานเสร็จเค้าบอกว่า อั๋นเราจะเลิกเหล้าตลอดชีวิต

คิดว่าอะไรที่ทำให้เค้าคิดได้

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                 ผมคิดว่าเยาวชนข้างนอกขาดต้นแบบที่ดี พอเจอต้นแบบที่ดีเค้าก็มีแนวร่วม แม้แต่ผู้ใหญ่ อย่างพ่อของผม แต่ก่อนท่านจะดื่มเบียร์ ติดมากขนาดดวงตานี่เป็นหลุมเข้าไป ผอมมาก พอผมมาบวชมัชฌิมธรรมทายาท ผมก็คิดว่าเราสามารถ ทำให้คนอื่นเลิกได้ แต่พ่อยังไม่เลิก พอบวชแล้วมีศีลมากกว่า เลยชวนพ่อมาที่วัด ถามสาระทุกข์สุขดิบก่อน แล้วยิงคำถามว่า "โยมพ่อรักลูกไหม" พ่อตอบว่า"รัก" "แล้วโยมพ่อรักแม่ไหม"พ่อบอกว่า "รัก" งั้นพ่อเลิกเหล้าได้ไหม พ่อก็น้ำตาซึม หลังจากนั้นกลับไปบ้าน ใครชวนพ่อก็ไม่ดืื่มอีกเลย บอกว่าลูกให้เลิก ผมดีใจมากๆ รู้สึกว่าเดินถูกทางแล้ว เริ่มจากตัวเองไปหาเพื่อน พ่อ ก็ขยายไปสู่คนอื่น รู้สึกว่าตัวเองมีค่า

      ชีวิตแตกต่างกับเมื่อก่อนหน้ามือเป็นหลังมือ ผมว่าคุณค่าของชีวิตอยู่ที่การกระทำ ถ้าผมไม่เจอวัดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะเป็นยังไง และนี่คือ ส่วนหนึ่งในถ้อยคำ ของเด็กหนุ่มธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่สิ่งที่เขาคิดและทำ ไม่ใช่ธรรมดาเลย ใช่...แม้เขาไม่ใช่เจ้าชายน้อย แต่เขาก็โชคดี ที่รู้ว่าชีวิตของตัวเอง "เกิดมาทำไม" และเขาก็ทุ่มเททำสิ่งนั้นอย่างสุดหัวใจ

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล