ฉบับที่ 70 สิงหาคม ปี 2551

สมาธิ เทรนด์ใหม่ของโลก เทรนด์แห่งสันติสุขของมวลมนุษยชาติ

สมาธิเปลี่ยนชีวิต
เรื่อง : Son Backhome e-mail : [email protected]

 

 

 

         ดาราภาพยนตร์ นักการเมือง นักเขียน ต่างก็ นั่งสมาธิ แม้แต่นักโทษในคุกก็มีห้องนั่งสมาธิ ผู้ พ้นโทษมาแล้วจะกลับเข้าคุกน้อยกว่าพวกที่ไม่ได้นั่งสมาธิ คนที่ไม่เชื่อเรื่องสมาธิกลายเป็นคนกลุ่มน้อย ในสหรัฐอเมริกา คนเหล่านี้นั่งสมาธิเพราะสมาธิทำให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย สุขภาพดีขึ้น ชีวิต ดีขึ้น มีความสามัคคีปรองดองกันมากขึ้น และที่ลืม ไม่ได้เลยก็คือ สถิติดังกล่าวเป็นตัวเลขเมื่อ ๕ ปีก่อน ปัจจุบันเพิ่มจำนวนอีกกี่เท่าตัวก็ไม่ทราบ   จากสถิตของผู้สนใจการนั่งสมาธิอย่างมากมาย มหาศาลของผู้คนในโลก ที่เจริญแล้วเช่นนี้ บ่งบอกว่า สมาธิไม่ใช่ เรื่องล้าสมัย แต่สมาธิคือสิ่งที่คนทันสมัยผู้หวังความเจริญ หรือเจริญแล้วพึงใฝ่หา

       นอกเหนือจากฝั่งอเมริกาแล้ว ในอีกซีกโลกอย่างแอฟริกาใต้ การนั่งสมาธิกำลังเป็นเทรนด์ยอดนิยมเช่นกัน ล่าสุดได้มีการจัดปฏิบัติธรรมในโครงการ The Middle Way รุ่นแรกของทวีป แอฟริกาขึ้น ซึ่งได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และแน่นอนสมาธิเป็นประสบการณ์สากลที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้เสมอเหมือนกัน ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะ อยู่ทวีปใดหรือมีพื้นฐานความเชื่อใดก็ตาม ดังเช่น เรื่องของคุณปีเตอร์ วีฮาน จากโจฮันเนสเบิร์ก มหานครแห่งประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ คุณปีเตอร์เล่าว่า "ผมโชคดีที่มีเพื่อนผู้หญิงไทยคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดี ได้แนะนำให้ผมมานั่งสมาธิ กับพระภิกษุไทยที่วัดพระธรรมกาย โจฮันเนสเบิร์ก ซึ่งผมได้มานั่งสมาธิต่อเนื่องทุกสัปดาห์ไม่ขาดเลยเป็นเวลากว่า ๒ เดือนแล้วครับ" ตอนฝึกสมาธิใหม่ๆ ประสบการณ์ภายในของคุณปีเตอร์ไม่แตกต่างจากผู้คนส่วนใหญ่นัก นั่นคือ หลับตาแล้วมีแต่ความมืด แต่ความมืดของคุณปีเตอร์ไม่ได้มืดแบบธรรมดา แต่คือความมืดแบบมีมิติ "มันมืดอย่างสมบูรณ์จริงๆ เป็นความมืดที่กว้างใหญ่เท่าจักรวาล ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ผมหลงทางไปในอวกาศ มันเป็นความมืดผสมกับความว่าง สองอย่างในขณะเดียวกันและผมได้หลอมรวมไปกับความโล่งว่างที่มืดสนิทนั้น แต่ผมก็ยังคงทำใจเฉยๆ เรื่อยไป"

 

 

      "แม้มืดตื้อ มืดมิดก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรม" คำขวัญประโยคนี้ยังทนทานต่อการพิสูจน์เสมอ ไม่ว่าจะจาก เชื้อชาติไหน เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม หนึ่งในผู้พิสูจน์และได้ผลสรุปมาแล้วอย่างแจ่มชัด คือคุณปีเตอร์ วีฮาน นั่นเอง เมื่อมีโครงการ The Middle Way คุณปีเตอร์ วีฮาน ก็ได้สมัครเข้าร่วมโครงการด้วยทันที หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการแล้ว คุณปีเตอร์ เล่าว่า "หลักสูตร The Middle Wayเป็นหลักสูตร ที่ดีมากครับ เริ่มจากง่ายๆ ให้สบายกาย สบายใจ แล้วค่อยพัฒนาความละเอียดอ่อนของใจไปทีละน้อย ผมชื่นชอบหลักสูตร The Middle Way จากประเทศไทยมาก เพราะความมืดใหญ่ เท่าจักรวาลที่ผมสัมผัสนั้น  เมื่อใช้เทคนิคสัมผัสใจไว้ที่ศูนย์กลางกายโดยอยู่กับความนิ่งและความว่างแล้ว ทำให้ ผมได้สัมผัสความสว่างจาก Center (จุดศูนย์กลาง) นั้นในที่สุด   ตอนที่มืด มันก็มืดไปหมดทุกหนทุกแห่ง แต่คราวจะสว่าง มันก็สว่างไปหมดทุกหนทุกแห่งเช่นกัน ที่อัศจรรย์ที่สุดคือ เมื่อได้เห็นความสว่างแล้ว ความสว่างนั้นมันขยายขนาดและปริมาณได้ ขยายออกไปจากจุดศูนย์กลาง ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ต่อมาผมก็เคลื่อนที่เข้าไปในความสว่างนั้น ขณะนั้น ร่างกายได้จางหายไปรวมเป็นเนื้อเดียวกับความสว่าง ที่ศูนย์กลางกาย แล้วผมก็เคลื่อนเข้าไปในมวลสว่าง นั้น มีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูกว่าสุขอย่างไร สุขขนาดไหน ประสบการณ์สมาธิยังมีอีก คือ ตรง ใจกลางของดวงสว่างนั้น มีแสงสว่างเป็นจุดที่สว่างจ้ามากเป็นแสงสว่างสีขาวที่เจิดจ้า เป็นสิ่งอัศจรรย์ ที่ว่า ท่ามกลางมวลกลมสว่างจ้า ยังมีจุดที่สว่างกว่า จุดใดๆ ในมวลนั้น น่าประหลาดมากๆ เลยครับ"

 

 

        จากคำบอกเล่าของ คุณปีเตอร์ วีฮาน ระบุว่า Inner Peace หรือ สันติสุขภายใน เป็นสิ่งที่ขาดแคลนมากในประเทศแอฟริกาใต้ โครงการ Peace for Africa (สันติภาพเพื่อแอฟริกา)  ที่จุดประกายขึ้นโดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์จาก วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย จะได้รับการตอบสนอง เป็นอย่างดีอย่างแน่นอน "ผมมีความตั้งใจที่จะนำสาส์นสันติภาพนี้ไปยังสื่อมวลชนในแอฟริกาใต้ให้ทั่วถึง ซึ่งเรามีนัดกับสถานีวิทยุ-โทรทัศน์ SABC ในอีกไม่กี่วันนี้ และยังมีนิตยสารรายเดือน ชื่อ Odyssey (แปลว่า"การเดินทาง") ที่ได้เปิดทางให้เรา เขียนบทความ  Peace for Africa  ลงในฉบับต่อไปนอกจากนี้ ผมกำลังติดต่อกับโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแอฟริกาใต้ เพื่อแสวงหาความร่วมมือ ในโครงการสันติภาพเพื่อแอฟริกา เพราะเราตระหนักดีว่า งานสร้างสันติภาพเป็นงานใหญ่ต้องมีแนวร่วมที่ใหญ่ งานจึงจะสำเร็จ อีกอย่างหนึ่ง พวกเราพบว่า พระภิกษุที่มาเพื่อสอนสมาธิ ท่านไม่ได้ มาสอนให้คนเปลี่ยนศาสนาทำให้เรามั่นใจว่า สมาธิ เข้าได้ดีกับผู้คนทุกศาสนาและความเชื่อ ดังนั้น ด้วย ความมั่นใจนี้ เราจะพาท่านไปปรากฏตัวในสื่อต่างๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ นิตยสาร ฯลฯ เพื่อนำสาส์นสันติภาพไปประชาสัมพันธ์ ชักชวนทุกๆ องค์กรที่ร่ำร้องสันติภาพ ให้มาทำงานสร้างสันติภาพร่วมกัน กับเรา"

           ในอีกไม่นานผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกจักทราบว่าสันติสุขที่แท้จริงของชีวิต และสันติภาพที่แท้จริงของโลกใบนี้จะเกิดขึ้นได้ โดยการไม่ต้องทำอะไรเลย แค่นั่งหลับตา ทำใจสบายๆ วางใจนิ่งๆ ไว้ที่ศูนย์กลางกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในส่วนเรื่องราวอานุภาพของการนั่งสมาธินั้น บทความ ในนิตยสารไทม์ยังให้ข้อมูลอีกด้วยว่าการนั่งสมาธิทำให้ร่างกาย มีสภาวะเหมือนก่อนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ และทำให้จิตใจสดชื่น แจ่มใส สมาธิยังช่วยขจัดความขัดแย้งในจิตใจ ทำให้ใจอยู่นิ่งท่ามกลางความสับสนว่าจะเอาอย่างไร เมื่ออยู่นิ่ง แล้วจะเข้าใจสถานการณ์และเรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น ยอมรับมันด้วยความสงบและมีความสุขมากขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้แพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเข้าใจว่า ทำไมมนุษย์จึงนั่งสมาธิมาหลายพันปีแล้ว รวมทั้งแพทย์ยังแนะนำให้คนไข้นั่งสมาธิเป็นประจำและสม่ำเสมอมากขึ้น เพราะผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ จากการสแกนคลื่นสมองพบว่า สมองจะมีระบบปิดกั้นเรื่องราวต่างๆ ไม่ให้เข้ามา และไม่ส่งเรื่องเข้าไปย่อยในส่วนลึกของเนื้อสมองอย่างเคยแต่ทำให้ระบบลิมปิค ซึ่งเป็นส่วนควบคุมด้านอารมณ์และความจำดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ลมหายใจ และการเผาผลาญในร่างกายเป็นปกติ สมาธิทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้มากขึ้น สามารถรักษาโรคร้ายแรงเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ เอดส์ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคใจสั่น คนไข้โรคมะเร็ง เอดส์ และเจ็บปวดเรื้อรัง ๑๔,๐๐๐ คน ไม่ต้องกินยาแก้ปวด สมาธิยังรักษาจิตใจที่ปั่นป่วน กดดัน สมาธิสั้น วุ่นวาย ไม่อยู่นิ่งได้อีกด้วย นอกจากนี้พลังของสมาธิยังสามารถรักษาคนไข้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ ร้อนแดง ให้มีผิวใสขึ้นเป็น ๔ เท่าของผู้ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ นักเขียน ที่เคยกินยาแก้เครียดมาเกือบจะตลอดชีวิต เมื่อ นั่งสมาธิก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป  ผู้กำกับการแสดง และดาราภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็นั่งสมาธิ ทำให้ลดความกดดันจากอาชีพ และความเป็นคนดัง มีชื่อเสียง และทำให้มีความสุขมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ มากขึ้น พัฒนาบุคลิกภาพให้สง่างามและดูมีอำนาจมากขึ้น มองเห็นตัวเองได้มากขึ้น และรู้ว่าควรแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่นั่งเงียบๆ และทำจิตใจให้สงบเท่านั้น

          จากข้อมูลและเรื่องราวดังกล่าวคงถึงเวลาที่เราจะถามตนเองได้แล้วว่า ขณะนี้เราอินเทรนด์แล้วหรือยัง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล