ฉบับที่ 129 กรกฏาคม ปี2556

อุบาสิกาเสสวดี

เรื่องจากพระไตรปิฎก 

เรื่อง : มาตา



อุบาสิกาเสสวดี

 

    สตรีผู้นี้เป็นหนึ่งในอุบาสิกาจำนวนไม่กี่สิบคนที่มีประวัติความเป็นมาชัดเจนใน  พระไตรปิฎก เธอเป็นบุคคลที่เชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยในระดับที่ยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อบูชาพระรัตนตรัย จนทำให้เธอได้ครอบครองทิพยสมบัติอันโอฬารตระการตา  จนกระทั่งพระอรหันตเถระยังอดสงสัยไม่ได้ว่า เธอมีความเป็นมาอย่างไร...

    ในอดีตกาล เมื่อครั้งที่พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มหาชนทั้งหลายปรารถนาที่จะบูชาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร่วมใจกันสร้างเจดีย์ทองคำสูงถึง ๑ โยชน์ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้มนุษย์และเทวดากราบไหว้ 

        ครั้งนั้น มีเด็กน้อยคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ที่มหาชนกำลังช่วยกันสร้างเจดีย์ เธอสงสัยว่าผู้คน   มากมายมาทำอะไรกัน จึงถามมารดาว่า 

 

เรื่องจากพระไตรปิฎก  อุบาสิกาเสสวดี

 

    “แม่จ๋า คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่จ๊ะ”
    มารดาตอบว่า “เขาทำอิฐทองคำเพื่อสร้างเจดีย์จ้ะ”

    เด็กน้อยเป็นคนมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก แม้ยังไม่ทันมีใครชวน เธอก็อยาก   ทำบุญนี้ด้วยตนเอง และพอดีเธอมีเครื่องประดับทองคำชิ้นเล็ก ๆ อยู่ที่คอ เธอจึงขออนุญาตมารดาว่า    “แม่จ๋า ลูกจะมอบเครื่องประดับนี้ให้เขาสร้างเจดีย์นะจ๊ะแม่”

    เมื่อมารดาอนุญาตและอนุโมทนาบุญกับเธอแล้ว เธอจึงปลดเครื่องประดับนั้นออกจากคอ แล้วนำไปมอบให้ช่างทอง เพื่อนำไปทำอิฐทองคำสำหรับสร้างเจดีย์

    ด้วยอานิสงส์แห่งความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และบุญจากการถวายเครื่องประดับทองคำ ซึ่งแม้เป็นเพียงสมบัติชิ้นเล็ก ๆ  แต่เด็กน้อยสละให้ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เมื่อ ละโลกไปแล้ว เธอจึงได้ไปเกิดในสวรรค์ มีวิมานทองสว่างไสว เสวยทิพยสมบัติอันอลังการเป็นเวลานานแสนนาน

    ต่อมา ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน นางเทพธิดาใจบุญได้มาเกิดในหมู่บ้านนาลกะ วันหนึ่งเมื่อมีอายุได้ ๑๒ ขวบ มารดาใช้ให้เด็กน้อยไปซื้อของที่ตลาด เมื่อไป   ถึงตลาดแล้ว เธอเห็นพ่อค้าคนหนึ่งเอาทรัพย์สมบัติมากองไว้ สมบัติเหล่านี้เป็นของเศรษฐีที่เป็นบิดาของพ่อค้าคนนี้ แต่ด้วยกรรมตระหนี่ของพ่อค้า ทำให้สมบัติที่เคยมีอยู่วิบัติไปจนหมดสิ้น สิ่งของที่เคยเป็นเพชรนิลจินดา กลับกลายเป็นกระเบื้อง เป็นกรวด เป็นหินไปหมด

    แต่พ่อค้าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงนำสิ่งของเหล่านี้ไปกองไว้ในตลาด เผื่อว่าอาจจะมีคนมีบุญที่เป็นเจ้าของเงินทองเหล่านี้ผ่านมา 

    วันนั้น เมื่อเด็กหญิงผ่านมาเห็นพ่อค้าเอาของมีค่ามากองไว้ ก็รู้สึกแปลกใจมาก จึงถามว่า “ทำไมท่านเอาเงิน ทอง แก้วมุกดา แก้วมณี มา กองไว้ที่ตลาด ทำไมไม่เอาไปเก็บไว้ให้ดี”

    พ่อค้าได้ยินก็รู้ทันทีว่า ผู้มีบุญที่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว สิ่งของเหล่านี้กำลังจะกลับกลายมาเป็นของมีค่า ดังเดิมด้วยอำนาจบุญของเด็กหญิงคนนี้ คิดดังนี้แล้ว พ่อค้าจึงไปสู่ขอเด็กหญิงกับมารดาของเธอเพื่อจะได้ครอบครองสมบัตินี้ร่วมกัน

    สำหรับผู้มีบุญแล้ว บุญจะดึงดูดให้สมบัติทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหา ดังเช่นเด็กหญิงคนนี้ ชีวิตของเธอพลิกผันด้วยอำนาจบุญในตัวที่เคยทำมา หลังแต่งงาน เธอได้ครอบครองทรัพย์สมบัติมากมาย และมีสิทธิ์ขาดในการดูแลใช้จ่ายทรัพย์สมบัติเหล่านั้น 

    เมื่อแต่งงานไปอยู่บ้านสามี และสามีเห็นความดีของเธอแล้ว ก็พาเธอไปเปิดห้องคลังที่เก็บทรัพย์สิน แล้วถามว่า “เธอเห็นอะไรในห้องนี้บ้าง” 

    นางผู้มีบุญตอบว่า “น้องเห็นเงิน ทองคำ และแก้วมณีกองอยู่มากมาย”

    สามีจึงบอกกับเธอว่า “สมบัติเหล่านี้กลายเป็นของไม่มีค่า เพราะพี่ไม่มีบุญพอที่จะครอบครอง แต่น้องมีบุญมาก ของเหล่านี้จึงกลับมาเป็นของมีค่าดังเดิม เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ต่อไป ขอให้น้องเป็นผู้ดูแลสมบัติทั้งหมดนี้ พี่จะใช้แต่ส่วนที่น้องให้เท่านั้น” ด้วยเหตุนี้ทำให้มหาชนทั้งหลายตั้งชื่อให้เธอว่า “เสสวดี” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีส่วน”
    นางเสสวดีเป็นอุบาสิกาที่มีศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา และไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต เธอรู้ว่า บุญเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความสุขและความสำเร็จทั้งปวง และที่สำคัญหากใช้บุญไปเรื่อย ๆ โดยไม่สร้างบุญเพิ่ม บุญที่มีอยู่ก็จะหมดไป และหากบุญหมดลงแล้ว อุปสรรคและทุกข์ภัยต่าง ๆ ก็จะพากันหลั่งไหลเข้ามา ดังนั้นเธอจึงหมั่นสั่งสมบุญอยู่เป็นประจำ มิให้บาปได้ช่องส่งผล 

    ในช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรรู้ตัวว่ากำลังจะปรินิพพาน ท่านจึงคิดจะตอบแทนคุณนางสารีพราหมณีผู้เป็นมารดาเสียก่อน ท่านจึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และขออนุญาตไปปรินิพพานที่หมู่บ้านนาลกะซึ่งเป็นถิ่นเกิดของท่าน

    เมื่อพระสารีบุตรกลับไปถึงบ้านเกิดของท่าน ท่านได้แสดงธรรมโปรดมารดาจนกระทั่งบรรลุโสดาปัตติผล รุ่งเช้าท่านก็ปรินิพพานในห้องที่ท่านเกิดนั่นเอง

    เมื่อพระสารีบุตรปรินิพพานแล้ว ทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันกระทำการสักการะพระธาตุของท่าน ๗ วัน จากนั้นจึงพากันก่อเจดีย์สูง ๑๐๐ ศอก ด้วยไม้กฤษณาและไม้จันทน์ เพื่อบรรจุพระธาตุ

    ฝ่ายนางเสสวดีผู้มีบุญทราบข่าวว่า พระ-สารีบุตรมาปรินิพพานที่บ้านเกิดของท่าน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเดียวกับที่นางอาศัยอยู่ นางจึงคิดจะไปกราบพระธาตุของท่าน แต่พ่อสามีของนางห้ามไม่ให้ไป ให้ส่งดอกไม้และของหอมไปเท่านั้น เพราะกลัวนางจะโดนมหาชนที่แห่กันไปกราบพระธาตุของพระเถระเหยียบเอา 

    แต่นางมีศรัทธาแรงกล้า ไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย นางคิดว่า “ถึงแม้เราจะตายลงไปในที่นั้น เราก็จักไปทำการบูชาสักการะให้ได้” คิดแล้วนางก็ออกเดินทางไปพร้อมกับคนรับใช้ที่ถือผอบซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ทองคำและของหอม

    ขณะที่นางและคนรับใช้ยืนประนมมือบูชาพระธาตุของพระสารีบุตรด้วยดอกไม้ทองคำและของหอมอยู่นั้น มีช้างตกมันเชือกหนึ่ง วิ่งเข้ามาท่ามกลางฝูงชน ผู้คนตกใจกลัวจึงพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด นางเสสวดีถูกชนล้มลงและถูกฝูงชนเหยียบจนเสียชีวิต

 

เรื่องจากพระไตรปิฎก  อุบาสิกาเสสวดี

 

    ด้วยบุญที่นางมีจิตเลื่อมใสอย่างสูงสุดต่อพระสารีบุตรเถระ และบุญที่กระทำการบูชาสักการะท่านด้วยดอกไม้ทองคำและของหอม นางจึงได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีนางอัปสรหนึ่งพันเป็นบริวาร

    เมื่อนางได้เป็นเทพธิดาและเห็นทิพยสมบัติอันมากมายของตน ก็สงสัยว่า “เราได้สมบัตินี้ด้วยบุญเช่นใดหนอ” ครั้นรู้ว่าทิพยสมบัติเหล่านี้ได้มาเพราะความเลื่อมใสในพระสารีบุตรเถระ นางก็ยิ่งมีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัยมากขึ้น นางจึงประดับร่างกายด้วยเครื่องประดับอัน อลังการที่บรรทุกเกวียนได้ถึง ๖๐ เล่มเกวียน แวดล้อมด้วยนางอัปสร ๑,๐๐๐ นาง ลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วมายืนประคองอัญชลีถวายบังคมพระบรมศาสดา และด้วยเทพฤทธิ์อันยิ่งใหญ่   ของนาง ทำให้บริเวณวัดพระเชตวันสว่างไสว   ดุจพระจันทร์และพระอาทิตย์ส่องแสง 

 

เรื่องจากพระไตรปิฎก  อุบาสิกาเสสวดี

 

    ขณะนั้น พระวังคีสะซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นสมบัติอันอลังการ  ของนาง ท่านจึงทูลขออนุญาตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามถึงบุญที่นางเคยทำไว้ เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว พระเถระจึงถามนางว่า

    “ดูก่อนเทพธิดาผู้เลอโฉม วิมานของท่านมุงด้วยแก้วผลึก ข่ายเงินและข่ายทองคำ มีพื้นวิจิตรสวยงามน่ารื่นรมย์ มีซุ้มประตูทำด้วยแก้ว ๗ ประการ ที่ลานวิมานเต็มไปด้วยทรายทองส่องแสงระยิบระยับไปทั่วทุกทิศ เหมือนพระอาทิตย์บนท้องฟ้าที่กำจัดความมืดให้หมดไป

    “วิมานของท่านส่องแสงเหมือนเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่บนยอดเขายามค่ำคืน เป็นวิมานที่ลอยอยู่ในอากาศ ก้องกังวานไปด้วยเสียงดนตรีอันไพเราะที่ประโคมอยู่ตลอดเวลา

    “สุทัสนเทพนครอันเป็นเมืองของพระอินทร์มั่งคั่งไปด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ฉันใด วิมานของท่านก็เป็นฉันนั้น และยังหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี และมีไม้เลื้อยชูช่อออกดอกห้อยระย้าเกาะก่ายกันลงมาคล้ายกับข่ายของแก้วมณี

    “ต้นไม้ ดอกไม้ และผลไม้ทุกชนิดที่มีอยู่ในเมืองมนุษย์ ตลอดจนพรรณไม้ทิพย์ประจำเมืองสวรรค์ ก็มีพร้อมอยู่ใกล้วิมานของท่าน

    “ท่านทำบุญอะไรไว้ ถึงได้มีวิมานใหญ่โตสว่างไสวเช่นนี้”

    นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้นจึงเล่าว่า “เมื่อครั้งที่ดิฉันเกิดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่านาลกคาม ตั้งอยู่ทางทิศเบื้องหน้าของแคว้นมคธ ประชาชนในหมู่บ้านนั้นเรียกดิฉันว่า “เสสวดี” ดิฉันได้สร้างกุศลกรรมด้วยการบูชาพระธาตุของพระธรรม-เสนาบดีนามว่า “อุปติสสะ” (พระสารีบุตร) ซึ่งเป็นที่บูชาของทวยเทพและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเครื่องสักการะหลายอย่าง ล้วนแต่แก้วและทองคำ ครั้นดิฉันละกายมนุษย์นั้นแล้ว จึงได้มาเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถึงพร้อมด้วยทิพยวิมาน”

     อุบาสิกาเสสวดีเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาข้ามภพข้ามชาติ สิ่งใดเป็นบุญเป็นกุศล เธอทุ่มเททำด้วยความเต็มใจ แม้เมื่อครั้งเป็นเด็กน้อย ก็ยังรู้จักหาบุญใส่ตัวโดยไม่ต้องมีใครมาชักชวน ในชาติต่อมาก็เสี่ยงชีวิตนำดอกไม้ทองคำและของหอมไปบูชาพระสารีบุตรจนกระทั่งตัวตาย 

      บุญที่เธอบูชาพระรัตนตรัยด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและด้วยวัตถุที่ล้ำค่าคือทองคำ ส่งผลที่ยิ่งใหญ่ทำให้เธอมีทิพยสมบัติอันโอฬารและน่ารื่นรมย์ จนกระทั่งพระวังคีสะต้องกราบทูลขออนุญาตพระพุทธองค์ถามเธอว่าเคยทำบุญอะไรมา


เรื่องจากพระไตรปิฎก  อุบาสิกาเสสวดี
 

หล่อหลวงปู่ทองคำ องค์ที่ ๗

๑๐ 

    สำหรับตัวเรายังไม่ต้องถึงขั้นเสี่ยงชีวิต แต่เราสามารถทำบุญที่ส่งผลยิ่งใหญ่มโหฬารได้เช่นกัน ด้วยการหล่อรูปเหมือนพระเดชพระคุณหลวงปู่องค์ที่ ๗ ด้วยทองคำ เพื่อมอบไว้เป็นสมบัติแก่พระศาสนา และเพื่ออัญเชิญไปประกาศพระศาสนาบนเส้นทางมหาปูชนียาจารย์ในการเดินธุดงค์ธรรมชัยทุกครั้ง ซึ่งจะก่อให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสแก่มหาชนที่ได้พบเห็น นอกจากนี้รูปหล่อหลวงปู่ยังเป็นหลักฐานการมีตัวตนของท่านแก่อนุชนรุ่นหลัง เมื่อคนรุ่นหลังได้เห็นรูปหล่อของท่าน ก็จะกระตุ้นให้อยากศึกษาประวัติของท่าน และอยากปฏิบัติธรรมตามอย่างท่าน ซึ่งจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองยั่งยืนนาน และจะทำให้สันติสุขบังเกิดขึ้นในใจของพวกเขา ซึ่งจะเป็นทางมาแห่งสันติสุขของโลกได้ด้วย ดังนั้นการหล่อรูปเหมือนทองคำพระเดชพระคุณหลวงปู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง 

    ด้วยเหตุนี้ คนที่มีส่วนร่วมในการหล่อ  รูปเหมือนหลวงปู่จึงได้บุญมหาศาล เพราะนอกจากจะได้บุญจากการถวายทองคำ ซึ่งมีอานิสงส์ให้สมบัติใหญ่บังเกิดขึ้นทั้งในปัจจุบันและภพชาติเบื้องหน้าแล้ว ยังได้บุญซ้ำซ้อนจากการเผยแผ่และสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกายอีกด้วย บุญจากการเผยแผ่ การให้อายุและให้ความมั่นคงแก่พระศาสนา จะดลบันดาลให้เรามีชื่อเสียงที่ดีงาม มีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง และจะมีฐานะมั่งคั่งมั่นคงตลอดไปทุกภพทุกชาติเลยทีเดียว..     

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล