ฉบับที่ ๑๗๒ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

เผยความในใจครั้งแรก

 

เผยความในใจครั้งแรก 

ของครอบครัววศิน เหลืองแจ่ม

หลังโจรฆ่าชิงไอโฟน

 

เผยความในใจครั้งแรก ,เนื้อหาใน,อยู่ในบุญ

คุณคิดว่า..เรื่องสะเทือนขวัญขนาดนี้ เป็นเรื่องใกล้ตัวคุณแค่ไหน ?

หากวันใด..สิ่งนี้มาเกิดกับครอบครัวเราบ้างจะทำใจได้ไหม ?
ถ้าไม่ได้..ต้องทำอย่างไรจึงจะไม่ตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป ?

 

   

     หลังจากคลิปฆาตกรรมสดไวรัลสะพัด ไปในโลกโซเชียลจนเป็นประเด็นสะเทือนขวัญ คนไทยภายในชั่วข้ามคืน ทำให้เกิดกระแสจนผู้คนหันมาระวังภัยที่อาจเกิดกับตัวเองมากขึ้นเพราะสิ่งนี้หลายคนก็ไม่คิดว่าจะมาเกิดกับตัวเอง เพราะแม้แต่คนใกล้ตัวผู้เคราะห์ร้ายก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า..เหตุการณ์อันเหี้ยมโหดจะมาเกิดขึ้นกับคนที่เขารักอย่างฉับพลันขนาดนี้ !
 

 

       จากปูมหลังของครอบครัวเหลืองแจ่มเราพบว่า..เป็นครอบครัวมีฐานะเพียบพร้อมที่สมบูรณ์มาก เพราะคุณพ่อมีดีกรีเป็นถึงระดับดอกเตอร์ซึ่งเป็นนักวิจัยระดับประเทศ ที่ถูกเลือกให้ไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่น (ดร.เจษฎา
เหลืองแจ่ม) ส่วนคุณแม่นิราพร ก็มีจิตวิทยาการเลี้ยงลูกสูง เพราะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปิดเนอสเซอรีมากว่า ๑๐ ปี จึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ทำหน้าที่แม่ได้สมบูรณ์มาก ๆ จนลูกทั้ง ๓ คนได้รับความอบอุ่นอย่างเหลือเฟือซึ่งลูกผู้โชคดีนั้นก็คือ แมลงปอ มะปราง และมะปิน (วศิน) เหยื่อผู้จบชีวิตลงอย่างกะทันหันด้วยวัยเพียง ๒๕ ปี

     ว่าไปแล้ว..ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นครอบครัวนี้จะเป็นครอบครัวในอุดมคติที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะลูกทุกคนเรียนดี มีอาชีพการงานที่ดี และที่สำคัญผู้เป็นพ่อแม่ก็ไม่เคยมีความทุกข์ใจในเรื่องลูกเกเรเลย คุณอยากรู้ไหม
ว่าครอบครัวนี้ทำอย่างไร ?

 

คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูมะปินอย่างไร ?

       “เนื่องจากคุณตาคุณยายของมะปินปลูกฝังเรื่องธรรมะให้แม่ตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะท่านเข้าวัดปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัดด้วยกันทั้งคู่ด้วยเหตุนี้พอแม่มีลูก ก็ได้ปลูกฝังให้ลูกทุกคนรักษาศีล สวดมนต์ นั่งสมาธิ และไปวัดตั้งแต่เล็ก ๆ เหมือนกัน จนกระทั่งมะปินอายุ ๑๓ ปีแม่ก็ให้มะปินบวชเป็นสามเณรที่วัดป่า และพออายุครบ ๑๔ ปี มะปินก็ขออนุญาตแม่บวชในโครงการมัชฌิมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนอีก...
    
       “จากการให้ลูกศึกษาธรรมะนี้เอง ทำให้มะปินเป็นคนจิตใจอ่อนโยน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความสุขในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ และเกิดจิตอาสาอยากเข้าไปบำเพ็ญประโยชน์ช่วยงานวัดโดยเป็นอาสาสมัครทุกวันอาทิตย์ ซึ่งตรงนี้ทำให้เราหมดห่วง ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะไปติดยาหรือเข้าไปอยู่ในวงจรสุ่มเสี่ยงเพราะการไปวัดเป็นการชักนำให้ลูกไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อีกทั้งวัดยังมีกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์รองรับ จนมะปินถึงกับพูดว่า.. ‘แม่ครับ ผมภูมิใจที่ได้เป็นเด็กดีวีสตาร์รุ่น ๑และรู้สึกได้บุญเยอะที่ได้เป็นอาสาสมัคร’...

      “จากกิจกรรมตรงนี้ทำให้มะปินมี“จากกิจกรรมตรงนี้ทำให้มะปินมีพัฒนาการจนมีความคิดเป็นผู้ใหญ่เร็วมาก
และพอมะปินเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็มีจิตอาสาเสียสละเพื่อสังคมด้วยตัวเขาเองจากสิ่งที่ถูกหล่อหลอมมาจากวัด...
    “มะปินเขาชอบทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ให้สังคมหลายอย่าง เช่น ทำงานสโมสรนิสิต จัดค่ายอาสาพัฒนาชนบท ออกไปช่วยเด็กกำพร้า ซึ่งการช่วยเหลือเด็กกำพร้านี้เป็นสิ่งที่มะปินคุ้นเคยอยู่แล้ว เพราะว่าครอบครัวเรารับเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์นำเด็กกำพร้าตั้งแต่เป็นทารกมาช่วยเลี้ยงที่บ้านเหมือนเป็นลูกเราคนหนึ่ง ซึ่งเราก็รับเลี้ยงไปหลายคนแล้ว”

 

เผยความในใจครั้งแรก ของครอบครัววศิน,เนื้อหาใน,อยู่ในบุญ

ภูมิใจอะไรในตัวมะปิน ?
  
         ๒๕ ปีที่เรามีลูกอยู่ด้วย เราได้ให้ความรัก ให้เวลา ให้ความอบอุ่น และดูแลมะปินเต็มที่ ทำนองเดียวกันมะปินก็ทำหน้าที่ลูกชายคนเล็กอย่างดีที่สุดเหมือนกัน มะปินเป็นคนที่ห่วงใยและรักครอบครัวมาก เวลาไปไหนมาไหนจะบอกแม่ทุกครั้ง เราจะกอดกันก่อนออกจากบ้าน แม้มะปินเรียนจบปริญญาตรีเริ่มหาประสบการณ์โดยการทำงานแล้ว เราก็ยังทำข้าวกล่องไปให้ลูกกินที่ที่ทำงานด้วยทุกวัน ไม่ใช่เพราะเราไม่มีฐานะที่จะให้ลูกซื้อ
ข้าวกินเอง แต่เป็นเพราะลูกมีความสุขที่จะได้กินข้าวที่ผสมความรักของแม่อยู่ในนั้นด้วย...

     “มะปินเป็นคนเคารพและรักพี่ ๆ มากเขาจะขับรถคอยไปส่งพี่สาวคนรองเพื่อไปสอนเปียโนทุกวันเสาร์ และไปรับสุนัขจากพี่สาวคนโตมาดูแลให้เสมอในช่วงที่พี่สาวติดงาน...

   “และที่เราภูมิใจที่สุด มะปินได้ทำหน้าที่ลูกชายที่สมบูรณ์ที่สุด คือ บวชพระให้พ่อแม่เองโดยไม่ได้ขอร้องอะไรเขาเลย เราปลื้มที่ลูกบวช เพราะแม้จะรักลูกแค่ไหน เราก็ตามไปดูแลลูกตลอดเวลาไม่ได้ เนื่องจากเราต้องตายจากกันสักวัน แต่การที่มะปินบวชพระ บุญตรงนี้จะตามดูแลมะปินแทนเรา บุญจะช่วยให้มะปินมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ทุกภพทุกชาติ”

 

 

มะปินวางแผนในอนาคตไว้อย่างไร ?
    
      “หลังจากมะปินเรียนจบปริญญาตรีที่ มศว เขาก็มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบินก็เลยลองสมัครเข้าทำงานที่สายการบินแห่งหนึ่งก่อน เพื่อเข้าไปสัมผัสว่าใช่งานที่ตัวเองชอบไหม หลังจากนั้นพอมั่นใจแล้วว่าอยากเป็นนักบินจริง ๆ จึงลาออกเพื่อมาเรียนต่อซึ่งคุณพ่อก็บอกว่าจะส่งมะปินเรียนจนจบ เพื่อทำฝันของลูกชายที่รักที่สุดคนนี้ให้เป็นจริงให้ได้...

     “แต่ด้วยความรักและเกรงใจคุณพ่อมาก มะปินจึงอยากหางานทำ เพื่อจะได้หาเงินแบ่งเบาคุณพ่อบ้าง จึงไปทำงานพาร์ตไทม์ถ่ายทอดสดทางเว็บไซต์ ซึ่งต้องทำงานกลางคืนกว่าจะกลับถึงบ้านก็ตี ๔ ตี ๕”

    การที่มะปินทำงานกะดึกและกลับบ้านเวลานี้ ทุกคนในบ้านรู้สึกเป็นห่วงมาก มะปินจึงขอเปลี่ยนเวลามาทำงานกะเช้า แต่วันสุดท้ายที่ต้องทำงานกะดึก ก็ต้องเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต คือโดนโจรฆ่าตอนประมาณ ๔ ทุ่ม ขณะที่ไปซื้อของบริเวณปากซอยสุคนธสวัสดิ์ ๒๗

 

 

 ก่อนมะปินเสียชีวิตมีลางสังหรณ์อะไรไหม ?

    แมลงปอ : “วันนั้นมีเหตุที่ทำให้น้องชายไปหาทั้ง ๆ ที่ไม่มีธุระอะไรมาก พอเจอกันเราก็กอดน้องชายเป็นปกติ โดยที่ไม่รู้ว่านั้นคือการกอดน้องที่เรารักที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย”คุณแม่ : “ปกติตอนครอบครัวเราชวนกันไปตักบาตรที่วัด มะปินเขาจะรับบุญเป็นอาสาสมัครถ่ายภาพในพิธีตักบาตร ซึ่งจะไม่มีเวลามาถ่ายรูปพร้อมกัน แต่งานตักบาตรครั้งล่าสุด แปลกที่มะปินมาขอถ่ายรูปร่วมกับพ่อแม่ซึ่งตอนถ่ายรูปแม่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นการถ่ายรูป
ระหว่างเรากับลูกชายครั้งสุดท้าย

    คุณแม่ : “ปกติตอนครอบครัวเราชวนกันไปตักบาตรที่วัด มะปินเขาจะรับบุญเป็นอาสาสมัครถ่ายภาพในพิธีตักบาตร ซึ่งจะไม่มีเวลามาถ่ายรูปพร้อมกัน แต่งานตักบาตรครั้งล่าสุด แปลกที่มะปินมาขอถ่ายรูปร่วมกับพ่อแม่ซึ่งตอนถ่ายรูปแม่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นการถ่ายรูประหว่างเรากับลูกชายครั้งสุดท้าย”
 
    มะปราง : “สัปดาห์ก่อนที่มะปินจะจากพวกเราไป รู้สึกโหวงเหวงเหมือนต้องสูญเสียอะไรครั้งยิ่งใหญ่สักอย่าง แต่พอถามตัวเองก็ตอบไม่ได้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไป ซึ่งช่วงนั้นพยายามไปสวดธรรมจักรเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น...
    “ที่น่าแปลกมากกว่านั้นก็คือ ปกติมะปินจะห้อยพระที่หลวงพ่อมอบให้ติดตัวตลอดเวลาแต่วันนั้นไม่ได้ห้อย ซึ่งก็คงเป็นคราวเคราะห์ของมะปินจริง ๆ ซึ่งตรงจุดนี้มะปรางเคยเจอกับตัวเองเลย เพราะมีครั้งหนึ่งที่มะปรางลืมห้อยพระ วันนั้นก็ประสบอุบัติเหตุเลย...

     “การห้อยพระติดตัว มะปรางไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องงมงาย เพราะหากมีเหตุอะไรเกิดขึ้น เวลาเราตกใจ ใจเราจะนึกถึงพระได้ง่ายเมื่อเวลานึกถึงพระ นึกถึงบุญ บุญที่เราเคยทำไว้ก็จะชิงช่วงแทรกเข้ามาตัดรอนวิบากกรรมให้เราแคล้วคลาด”

 

 

ทันทีที่ทราบข่าวการตายคิดอย่างไร ?

      “ตอนแรกคุณพ่อไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้ จะมาเกิดในครอบครัวของเรา ส่วนมะปรางร้องไห้เลย คือ ทำอะไรก็น้ำตาไหลเป็นอัตโนมัติ เพราะการจากไปครั้งนี้มันกะทันหันเกินไป...

       “จริง ๆ คนในครอบครัวเราทุกคนอาจต้องทุกข์ใจจนระงับสติไม่ได้ แต่เป็นเพราะทุกคนมีธรรมะเป็นที่พึ่ง โดยเฉพาะคุณแม่เนื่องจากเข้าวัดปฏิบัติธรรมกันทั้งบ้าน เราจึงมีสติ เข้มแข็ง จับแง่คิดเพื่อเดินต่อไปข้างหน้าให้ได้”

 

มะปินทำบุญตั้งเยอะ..ทำไมบุญไม่ช่วย ?

         “ถ้าเราเอาแต่ทำบุญบริจาคเงิน แต่ไม่ได้ศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง เราก็คงคิดอย่างนี้แล้วอาจเลิกทำบุญไปเลย ดีเหมือนกันที่ถามคำถามนี้ เพราะเราเชื่อว่ามีคนไม่เข้าใจจุดนี้อีกเยอะมาก ซึ่งจุดนี้อยากให้เข้าใจความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า คนเรามีกรรมเก่าในอดีตชาติที่เราทำมากันทุกคน ขนาดพระโมคคัลลานะผู้เป็นถึงอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ท่านบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้แล้ว แต่ด้วยวิบากกรรมเก่า ที่ท่านเคยทุบตีพ่อแม่มาในอดีตชาติ จึงทำให้ท่านโดนโจรทุบตีจนมรณภาพก่อนเข้านิพพาน หรือหากเราได้ศึกษาจาก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบทอัตตวรรคที่ ๑๒ เรื่องอุบาสกชื่อมหากาล ซึ่งเป็นคนดีมาก แถมกำลังรักษาศีล ๘ อยู่แท้ ๆแต่อยู่ ๆ โจรก็เอาของกลางที่ขโมยมา มาโยนทิ้งไว้ที่มหากาล พอชาวบ้านวิ่งตามมาเห็นก็เข้าใจว่ามหากาลเป็นโจร จึงรุมทุบตีจนมหากาลตายคาที่ ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูเหมือนไม่ยุติธรรมเลยที่คนทำดีมาทั้งชีวิต แต่อยู่ ๆก็มาโดนรุมทุบจนตายทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของมหากาลเลย แต่หากเรามาศึกษาถึงวิบากกรรมเก่าของมหากาลก็จะพบว่า ในครั้งอดีตชาติมหากาลได้เอาแก้วมณีไปซ่อนไว้ในรถของชายคนหนึ่ง เพื่อจงใจจะใส่ร้ายว่าเขาเป็นโจร และพอเจ้าหน้าที่มาค้นเจอแก้วมณีว่าอยู่บนรถของชายผู้นั้น ชายผู้นั้นก็โดนเจ้าหน้าที่รุมทุบตีจนตายเช่นกัน...

      “อย่างเรื่องของมะปินก็เช่นกัน จากการที่เราศึกษาธรรมะมามาก ก็ทำให้เรามองอะไรเป็นไปตามความเป็นจริงได้มากขึ้น ดังนั้นทุกชีวิตไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าจะยากดีมีจน เราก็ประมาทไม่ได้เลย เพราะเราไม่รู้ว่าอดีตชาติเราสร้างวิบากกรรมอะไรมาบ้าง แล้วกรรมนั้นจะตามส่งผลตัดรอนเราเมื่อไรก็ไม่รู้ ฉะนั้น..อะไรที่ไม่ดีเราอย่าไปทำเพิ่มอีกเลย และหมั่นเร่งสร้างกรรมดี โดยการทำทาน รักษาศีลนั่งสมาธิ เพื่อให้ชีวิตเราเจอแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น”

 

คิดอย่างไรกับโจรที่ฆ่ามะปิน ?

   “ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรมะมาก่อน เราคงจะผูกอาฆาต ตามล้างแค้นคืนให้ถึงที่สุดแต่เป็นเพราะคำสอนที่หลวงพ่อสอนให้เราเข้าใจเรื่องกฎแห่งกรรม เราจึงทำใจได้ว่าเป็นวิบากกรรมเก่าของมะปินเอง เราไม่โทษใครเลย เราให้อภัย ไม่อาฆาตแค้นอะไรทั้งนั้น ซึ่งคุณแม่ก็บอกลูก ๆ ว่าเป็นเพราะมะปินมีบุญอยู่กับพวกเราแค่นี้”
 

หลังจากทราบประวัติของโจรที่ฆ่ามะปินแล้วคิดอย่างไร ?
 
     “ตกใจที่โจรติดคุกมา ๘ ครั้ง เข้าคุกตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ตรงข้ามกับมะปินที่เข้าวัดและบวชตั้งแต่อายุ ๑๓ ตรงนี้ทำให้เราเห็นถึงจุดหักเหชีวิตของเยาวชนไทยได้ชัดเจนมาก ๆ มาถึงจุดนี้เรารู้สึกคิดไม่ผิดเลยที่ส่งเสริมให้
มะปินเข้าวัดตั้งแต่เล็ก ๆ จนเขามีภูมิต้านทานที่จะไม่กลายเป็นคนไม่ดีในอนาคตโดยไม่ได้ตั้งใจ...

      “ประวัติของโจรทำให้เราสะเทือนใจมาก เพราะกว่าจะมาถึงคิวของมะปิน ก็มีคนดี ๆที่ตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปแล้วไม่รู้กี่คนแล้ว คนต่อไปจะเป็นใคร จะเป็นคนใกล้ตัวเราอีกหรือเปล่า แล้วเราจะต้องเสียคนดี ๆ ของ
สังคมไปอีกสักกี่คน”

 

 

คนไทยควรแก้ปัญหานี้อย่างไรจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป ?  

     “จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เราเป็นคนดีในสังคมคนเดียวไม่ได้ แม้มะปินจะเป็นเด็กดีอยู่ในครอบครัวที่ดี อยู่ในหมู่เพื่อนที่ดี แต่มะปินก็ต้องมาตายเพราะคนไม่ดีทำร้ายจนเสียชีวิต...

        “ดังนั้น เราต้องทำให้สังคมโดยรวมมีศีลธรรมไปพร้อม ๆ กับเรา เพื่อเราจะได้อยู่อย่างปลอดภัย...

 

    

   “เราอยากให้พ่อแม่ทุกคนเห็นคุณค่าของ การปลูกฝังศีลธรรมให้ลูกหลานตั้งแต่เด็ก ๆคือให้เขาเข้าวัดไหนก็ได้ที่เราศรัทธาและชอบเพื่อให้ธรรมะได้ขัดเกลาจิตใจของเขาทีละเล็กละน้อย จนเขามีภูมิต้านทานต่อสิ่งไม่ดีอย่างมั่นคง…

 

     

    “ตรงจุดนี้เอง เมื่อก่อนครอบครัวเราก็ไม่เข้าใจอะไรลึกซึ้งในสิ่งที่หลวงพ่อสอนว่าเราต้องทำหน้าที่ลยาณมิตรชวนคนอื่นให้มาทำความดีกับเราด้วย ซึ่งหลวงพ่อก็จัดโครงการรองรับตรงนี้มาตลอด เช่น บวชพระฟรีแสนรูปบวชสามเณรฟรีล้านรูปทุกจังหวัดทั่วไทย คือสะดวกที่ไหนก็ไปบวชที่นั่น เพราะหลวงพ่อเล็งเห็นว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะช่วยขัดเกลาจิตใจคนให้อ่อนโยน รู้จักบาปบุญ

       คุณโทษและไม่อยากทำผิดศีล ซึ่งตรงนี้เองหากมีคนดี ๆ มีคนรักษาศีลอยู่เต็มสังคม เราก็จะอยู่ในสังคมอย่างปลอดภัยขึ้น และจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อผู้โชคร้ายอย่างนี้...

 

 

       “พอถึงประโยคนี้ หลายคนอาจคิดว่าเราเพ้อฝัน เพราะมันดูไกลเหลือเกินที่จะเป็นไปได้แต่ถ้าเราไม่เริ่มนับหนึ่งที่ตัวเองหรือไม่เริ่มอะไรเลย เราคงต้องอยู่ในสังคมนี้อย่างหวาดระแวงต่อไป และต้องสูญเสียคนดี ๆ สูญเสียคนที่เรารักต่อไปอีกไม่รู้กี่คน ซึ่งคนนั้นอาจเป็นเราหรือคนใกล้ตัวเราสักวัน...

      “ณ วันนี้ เราเข้าใจสิ่งนี้ลึกซึ้งเลย เข้าใจแล้วว่า ทำไมเราเป็นคนดีเพียงคนเดียวไม่ได้ ทำไมต้องชวนคนอื่นให้มาเป็นคนดีด้วย...”

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล