อยู่ในบุญ ฉบับที่ ๓ ประจำเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๔๖

​​​​​​​อุฏฐานสูตร : ว่าด้วยผลแห่งความเพียร

อุฏฐานสูตร : ว่าด้วยผลแห่งความเพียร
พระธรรมเทศนา หลวงพ่อทัตตชีโว
วันอาทิตย์ที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๕

        วันนี้ หลวงพ่อมีเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของพวกเรา ซึ่งเรื่องนี้หลวงพ่ออ่านมาเป็นสิบปีเพิ่งเข้าใจ และถ้าพวกเราเข้าใจเรื่องนี้ เวลามองเรื่องอะไรในโลกก็จะมองทะลุหมด เข้าใจความเป็นไปของชีวิตและความสุขความทุกข์ของคนในโลกนี้

   ตรงนี้เป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องให้ความสังเกตและสนใจมากๆ ด้วยเหตุนี้เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจเรื่องการประสบความสำเร็จในโลกนี้ยิ่งขึ้น วันนี้หลวงพ่อจึงขอน่าเรื่องจากพระไตรปิฎกชื่อ อุฏฐานสูตร มาฝากพวกเรา

     เรื่องนี้ว่าด้วย ผลแห่งความหมั่นเพียร ทั้งในเรื่องทำมาหากิน และการสร้างบุญกุศล ตลอดจนผลแห่งความหมั่นเพียรทั้งสองอย่าง เมื่อปฏิบัติแล้วทำให้สัตว์โลกผู้บังเกิดเป็นคนในโลกนี้เมื่อละโลกไปแล้วมีที่ไปอยู่ ๔ แห่ง ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า

       "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกมีปรากฏอยู่ในโลก คือ

๑. บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร แต่ไม่ดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม

๒. บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรมแต่ไม่ดำรงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร

๓. บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลแห่งความขยันหมั่นเพียร และดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม 

๔. บุคคลผู้ไม่ดำรงชีพด้วยผลแห่งความขยันหมั่นเพียร และไม่ดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม


        ข้อที่ ๑ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร แต่ไม่ดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม

       หมายความว่าคนในโลกส่วนมากเขายัง ไม่รู้เรื่องบุญ เรื่องบาป จึงเชื่อว่าการดำรงชีวิตอยู่นี้ต้องอาศัยน้ำพักนํ้าแรงเท่านั้น ซึ่งความจริงก็มีส่วนถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด

         เรามักจะได้ยินบทสรุปทำนองนี้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง คนใหญ่คนโต ในบ้านเมืองบ้าง เขามักจะใช้คำพูดว่า ที่ตั้งเนื้อตั้งตัวอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะอาศัยหนึ่งสมองสองมือ หรือหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน เป็นต้น

       พูดง่ายๆ คนในโลกนี้พวกหนึ่งไม่ค่อยได้ทำบุญข้ามชาติมา เพราะไม่รู้จักเรื่องบุญบาป เมื่อภพชาติที่แล้วดำรงชีวิตด้วยความขยันหมั่นเพียรอย่างเดียว เกิดในสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่พระพุทธศาสนาไปไม่ถึง จึงไม่รู้จักเรื่องบุญบาป ผลจากการประพฤติอย่างนั้น เกิดมาในชาตินี้ เลยได้นิสัยขยันติดตัวข้ามชาติมา แต่เรื่องบุญ เขาไม่รู้จัก

      ใครที่เคยไปเที่ยวประเทศที่เจริญมา แล้วจะพบว่าบ้านเมืองของเขาเจริญ แต่ทุกคนก็ทำงานชนิดไม่ได้พัก อาบเหงื่อต่างน้ำมาเหมือนกัน แต่เนื่องจากขยันมาต่อเนื่อง จึงประสบความสำเร็จในชีวิตและรังเกียจความชั่ว บุคคลเหล่านี้จึงมองโลกว่าคนดีคือคนที่ไม่ทำความชั่ว แต่ทำความดีต้านโน้นด้านนี้ ไม่จำเป็นต้องสร้างบุญกุศล

        จากตรงนี้เวลาพระภิกษุไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแถบ ยุโรปหรืออเมริกา ถ้าไม่มีชาวเอเชียนับถือพระพุทธศาสนาอยู่ในย่านนั้น เราพบว่าการเผยแผ่ทำได้ยาก เพราะขาดกองเสบียงสำหรับคนต่างชาติถ้าพระบอกให้รักษาศีลและนั่งสมาธิ เขาปฏิบัติตาม แต่ถ้าให้เขาทำทาน เขาไม่ทำ เพราะไม่รู้จักเรื่องบุญ

 

        ข้อที่ ๒ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลแห่ง กรรม แต่ไม่ดำรงชีพด้วยความขยันหมั่นเพียร

       หมายถึงพวกเทวดาทั้งหลาย เขาไม่ต้องทำมาหากิน แต่อยู่ได้อำนาจบุญเก่าของเขาเลยไม่ต้องทำความเพียรอะไร

 

        ข้อที่ ๓ บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลแห่ง ความขยันหมั่นเพียร และดำรงชีพด้วยผลแห่งกรรม

        หมายถึง มนุษย์ที่ทั้งขยัน และประสบ ความสำเร็จในชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ หรือเกิดมา ก็มียศตำแหน่งมารอ

         บุคคลเหล่านี้ ไม่ต้องประกอบธุรกิจการงานอะไรหนักหนาสาหัส แต่เมื่อถึงคราวไปหยิบไปจับอะไรสำเร็จเป็นอัศจรรย์ไปหมด

         บุคคลประเภทนี้เมื่อภพชาติที่แล้วขยันศึกษาหาความรู้ ต่อมาขยันทำมาหากิน และ ขยันสร้างบุญกุศลไปด้วย

      หลวงพ่อมาได้คำตอบตรงนี้เองว่าทำไมแผ่นดินไทยนี้ชาวบ้านทั้งหลายก็ไม่ได้ฉลาดอะไรนัก แต่กลับมีความอุดมสมบูรณ์มาก

         ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้เกิดจากผลทานของผู้ที่ขยันหมั่นเพียร และขยันทำบุญนั่นเอง และอีกพวกหนึ่งเกิดจากผลทานของผู้ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องบุญกุศล แต่ก็ทำบุญตามเขาไป ผลออกมาจึงมีสภาพดินฟ้าอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการ ทำมาหากิน

 

         กลุ่มที่ ๔ บุคคลผู้ไม่ดำรงชีพด้วยผล แห่งความขยันหมั่นเพียร และไม่ดำรงชีพ ด้วยผลแห่งกรรม

        หมายถึง พวกสัตว์นรกนั่นเอง พวกนี้ไม่ต้องขยัน บุญไม่ต้องทำ เช่นไม่ต้องอยากกิน เดี๋ยวก็มีนายนิรยบาลนำนํ้าทองแดงมากรอกปาก มีหอกดาบมาแทงบ้าง มีเครื่องทัณฑกรรม สารพัดมาทรมานบ้าง พวกนี้อายุยืนด้วยผลของบาป กว่าจะได้กลับมาเกิดเป็นคนก็ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก

        พวกเราที่มาทำบุญนี้ต้องบอกว่ามีวาสนา วนเวียนอยู่ในกลุ่มที่ ๒ และกลุ่มที่ ๓ หลวงฟ่อ ก็ขออนุโมทนาด้วย

      สุดท้ายนี้ หลวงพ่อขอฝากข้อคิดไว่ให้ พวกเราว่าเมื่อเราเข้าใจเรื่องผลของความขยัน ทำมาหากินและความขยันสร้างบุญกุศลแล้ว พวกเราก็ควรจะคิดคำนึงให้เยอะๆ ว่า เราจะ ทำอย่างไร จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลบุญของเรา ให้เต็มที่ ให้สมกับที่เราเกิดมาในชาตินี้ ตั้งแต่ ทำบุญรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี

         ปู่ ย่า ตา ทวด ท่านให้ข้อคิดในลักษณะ บุญรายวันว่า "เช้าใดยังไม่ได้ทำทาน เช้านั้น อย่าเพิ่งกินข้าว วันใดยังไม่ได้ตั้งใจรักษาศีล วันนั้นอย่าเพิ่งออกจากบ้าน คืนใดยังไม่ได้ ทำภาวนาคืนนั้นอย่าเพิ่งนอน"

        บุญรายสัปดาห์ ให้คิดว่า แต่ละสัปดาห์ ที่ผ่านไป เราน่าจะมีบุญอะไรที่ใหญ่ๆ เกินกว่า ที่จะทำในรายวัน ให้สมกับว่า ๗ วันที่แล้วเรา ใช้เสบียงไปมาก น่าจะด้องเพิ่มบุญพิเศษขึ้นมาเป็นการฉลองหรือให้ของขวัญกับตัวเอง

         จากนั้นก็ไล่ลำดับต่อไปว่า ครบ ๑ เดือน ควรจะได้ทำบุญใหญ่อะไรบ้าง

         ครบ ๑ ปี ควรจะได้ทำบุญใหญ่อะไรบ้าง ถึงวันเกิดเราควรจะมีบุญอะไรพิเศษๆให้ กับตัวเองบ้าง

         เพราะฉะนั้น เรื่องของการขยันทำบุญควบคู่กับการขยันทำมาหากินนี้ พวกเราต้องคิดกันให้รอบคอบ คิดกันเป็นทีม คิดกันให้เป็นนิสัยติดตัวข้ามชาติ เพราะปัจจุบันเราอยู่ ในฐานะบุคคลประเภทที่ ๓ คือใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วย ผลแห่งความหมั่นเพียรในชาติปัจจุบัน และอยู่ ด้วยผลแห่งกรรมดีที่ทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล