ฉบับที่ ๒๐๕ เดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๖๓

ตักบาตรพระ ๓๐,๐๐๐ รูป ณ มัณฑะเลย์ ที่โลกต้องจารึก

บุญพิเศษ
เรื่อง : พระมหานพพร ปุญฺญชโย ป.ธ.๙

 

ตักบาตรพระ ๓๐,๐๐๐ รูป ณ มัณฑะเลย์ ที่โลกต้องจารึก

       ๑๓๕ ชาติพันธุ์ ๑๘ ภาษาท้องถิ่น ๗ รัฐใหญ่ และ ๗ เขตการปกครองหลัก ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือที่เราเรียกกันด้วยความคุ้นเคยฉันมิตรสนิทสนมว่า "พม่า" นั้นมีความเป็นมาที่แตกต่างหลากหลาย แม้จะเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเรามาช้านาน แต่ด้วยความที่ปิดตัวเองมานานกว่า ๖๐ ปี ทำให้เรารู้เรื่องบ้านเมืองเขาไม่มากนัก แต่สิ่งที่ทำให้ประเทศเมียนมาโดดเด่นและปลูกฝังความรักในแผ่นดินบ้านเกิดให้แก่ชาวเมียนมาทุกคนนั่นก็คือ "พระพุทธศาสนา"


    สันนิษฐานกันว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ประเทศเมียนมาเมื่อคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดียได้ทรงอุปถัมภ์การสังคายนา ครั้งที่ ๓ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ พร้อมทั้งทรงส่งพระสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่าง ๆ แถบสุวรรณภูมิรวม ๙ สายด้วยกัน ซึ่งเมียนมาก็นับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิด้วย ทั้งนี้ชาวเมียนมายังเชื่อว่า สุวรรณภูมิมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองสะเทิม ซึ่งเป็นเมืองของชาวมอญทางตอนใต้ของประเทศ

 

     ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระพุทธศาสนาก็เจริญงอกงามด้วยพลังศรัทธาของชาวเมียนมาส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมบ่มเพาะความรักและเทิดทูนพระรัตนตรัยอย่างสุดหัวใจ แม้จะถูกท้าทายอย่างหนักในยุคล่าอาณานิคม ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถจะพรากเอาพระพุทธศาสนาออกไปจากหัวใจชาวเมียนมาได้  และแผ่นดินเมียนมานี้ยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาซึ่งเกิดขึ้นในโลกเพียงไม่กี่ครั้ง นั่นก็คือ การทำสังคายนาพระไตรปิฎก อันเป็นความร่วมใจพร้อมเพรียงกันของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ดังปรากฏหลักฐานบันทึกไว้ว่า “ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทได้มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในพม่าร่วมกัน คือ การสังคายนาพระไตรปิฎก ณ เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๔ ซึ่งเป็นการสังคายนาครั้งแรกในพม่า" (แต่ชาวเมียนมานับว่าเป็นครั้งที่ ๕ ต่อจากการจารึกลงในใบลานของลังกา) การสังคายนาครั้งนี้ มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน ๔๒๙ แผ่น ณ เมืองมัณฑะเลย์ ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินดง โดยมีพระมหาเถระ ๓ รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสุมังคลสามี ผลัดเปลี่ยนกันเป็นประธานโดยลำดับ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริยัติธรรมร่วมประชุม ๒,๔๐๐ รูป ใช้เวลาถึง ๕ เดือน จึงแล้วเสร็จ


      ผ่านกาลเวลามายาวนานกว่า ๒,๐๐๐ ปี พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากและหลอมรวมเข้าไปเป็นวิถีชีวิตของผู้คนในดินแดนนี้ จนเราสามารถพบเห็นทั่วไปทั้งการถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดเพื่อแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย แม้กระทั่งการถ่ายภาพกับพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ ชาวเมียนมาก็จะไม่หันหลังให้ แต่จะยืนหรือนั่งคุกเข่าด้านข้างพร้อมกับพนมมือด้วยความนอบน้อม ตามถนนหนทางการเปิดฟังเสียงสวดมนต์หรือแผ่เมตตาแบบยาว ๆ ทางวิทยุหรือเครื่องเสียงแบบพกพาเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่ชาวเมียนมามักเปิดฟังกันเกือบทั้งวัน ทุกสี่แยกจะมีป้ายประชาสัมพันธ์เป็นภาพพระอาจารย์นักเทศน์ พร้อมข้อความเชิญชวนพุทธศาสนิกชนให้ไปฟังพระธรรมเทศนาด้วยหัวข้อธรรมที่หลากหลาย สิ่งเหล่านี้จึงเป็นหลักประกันสำคัญว่าจะไม่มีอะไรมาพรากพระพุทธศาสนาไปจากหัวใจชาวเมียนมาได้อย่างแน่นอน เพราะหัวใจของประชาชนเมียนมาและไทยฝากรวมกันไว้ที่พระพุทธศาสนา จึงทำให้ทั้ง ๒ ประเทศประสานความร่วมมือสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองแก่พระพุทธศาสนาในมิติต่าง ๆ ตลอดระยะเวลา ๖๐ กว่าปีที่ผ่านมา และในเดือนธันวาคมนี้ รัฐบาลมัณฑะเลย์และมูลนิธิธรรมกาย ประเทศไทยได้ร่วมกันสร้างเหตุการณ์ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาให้บังเกิดขึ้นอีกครั้งบนแผ่นดินเมียนมา


     "มัณฑะเลย์" เมืองศูนย์กลางการค้าทางตอนเหนือ ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำอิรวดี สถาปนาขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๐๐ โดยพระเจ้ามินดง ขนานนามตามชื่อภูเขามัณฑะเลย์ที่เป็นจุดสูงสุดของเมือง ปัจจุบันเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศรองจากมหานครย่างกุ้ง และยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญบนเส้นทางเศรษฐกิจทางบกระหว่างอินเดียกับจีน นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญในทางพระพุทธศาสนา โดยเป็นเมืองที่มีพระภิกษุอยู่จำพรรษามากที่สุดกว่า ๑๐๐,๐๐๐ รูป และยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆนายกแห่งประเทศเมียนมาอีกด้วย


      ด้วยหลักการที่ว่า "เศรษฐกิจกับจิตใจต้องไปคู่กัน" ตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่ผ่านมา หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รัฐบาลมัณฑะเลย์และมูลนิธิธรรมกายได้สร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันในด้านความร่วมมือทางศาสนา ซึ่งเป็นมิติที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับความเจริญทางเศรษฐกิจ พลวัตของโลกและประชากรในภูมิภาค ดังนั้นจึงได้เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในด้านวิชาการและดำเนินโครงการภายใต้ความร่วมมือเพื่อสร้างความเข้มแข็ง กระชับความสัมพันธ์ของคณะสงฆ์ทั้ง ๒ ประเทศ และสร้างความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจแก่พุทธศาสนิกชนทั่วโลก โดยผ่านกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาในหลากหลายโอกาส


     การตักบาตรพระ ๓๐,๐๐๐ รูป ที่สนามบิน Chanmyathazi ในวันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคมนี้ เป็นการจัดตักบาตรใหญ่ภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลมัณฑะเลย์และมูลนิธิธรรมกาย ครั้งที่ ๓ ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๘ มีพระภิกษุมาบิณฑบาต ๑๐,๐๐๐ รูป ครั้งที่สองจัดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มีพระภิกษุมาบิณฑบาต ๒๐,๐๐๐ รูป ซึ่งได้รับเกียรติจากพระเถรานุเถระผู้ใหญ่และผู้แทนองค์กรพระพุทธศาสนานานาชาติเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก สำหรับครั้งนี้ รัฐบาลมัณฑะเลย์และมูลนิธิธรรมกายได้มีการประชุมวางแผนร่วมกันล่วงหน้ากว่า ๖ เดือน โดยถอดรูปแบบของงานตักบาตรพระ ๑๐๐,๐๐๐ รูป ที่มูลนิธิธรรมกายเคยจัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๙ และนำข้อมูลรายละเอียดเข้าหารือกำหนดนโยบายร่วมกับคณะรัฐบาล โดยการนำของท่าน U Zaw Myint Maung Chief Minister (มุขมนตรี) แห่งเมืองมัณฑะเลย์ เพื่อให้งานพระศาสนาออกมาดีที่สุด และเมื่อใกล้วันงาน คณะกรรมการจัดงานได้มอบหมายให้พระอาจารย์และเจ้าหน้าที่จากวัดพระธรรมกายทำการอบรมชาวเมียนมาซึ่งมาจากสถาบันการศึกษาและสมาคมการกุศลต่าง ๆ ในเมืองมัณฑะเลย์กว่า ๓,๐๐๐ คน ให้เป็นอาสาสมัครรับบุญในวันงาน นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครชาวเมียนมาจากสถาบันการศึกษาทั่วประเทศกว่า ๓๐๐ คน มารับบุญเป็นล่ามแปลภาษาให้แก่ทีมงานแผนกต่าง ๆ ทั้งการเตรียมพื้นที่สนามบิน ลานจอดรถ จราจร วางผังการเดินบิณฑบาต  สร้างห้องน้ำกว่า ๓๔๐ ห้อง ปูพรมทางเดินและผ้ากระสอบที่นั่งกว่า ๒๐,๐๐๐ เมตร จัดเรียงเก้าอี้กว่า ๓๕,๐๐๐ ตัว อีกทั้งปีนี้เป็นปีที่รัฐบาลเน้นการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชน ทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ใบปลิว และบิลบอร์ดกว่า ๖๐ ป้าย กระจายไปทุกย่านชุมชน เพื่อกระจายข่าวบุญใหญ่ในครั้งนี้ไปอย่างกว้างขวางและทั่วถึง


      ตลอดระยะเวลาการเตรียมงาน รอยยิ้มและเสียงสาธุการเป็นสิ่งที่อาสาสมัครทุกคนหยิบยื่นให้กันและกัน แม้การเตรียมงานจะมีรายละเอียดมากมายภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลา แต่สิ่งที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุด คือ ภาพหนึ่งเดียวในใจของอาสาสมัครทั้ง ๓,๐๐๐ ชีวิต ที่ตั้งใจจะทำถวายพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นที่เคารพสูงสุดของทุกคน


       เช้าวันอาทิตย์ที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ตั้งแต่เวลาประมาณ ๐๔.๓๐ น. พุทธศาสนิกชนผู้ใฝ่ในบุญฝ่าอากาศเย็นต้นฤดูหนาวทยอยเข้าสู่พื้นที่จัดงานบริเวณรันเวย์ของสนามบิน Chanmyathazi ซึ่งเป็นสนามบินเก่า และแม้ว่าหลายคนเดินทางออกจากบ้านมาตั้งแต่ตีสามตีสี่ก็ตาม แต่ก็ไม่มีความเหนื่อยล้าปรากฏให้เห็น ทั้งชายและหญิงมีใบหน้าที่ฉาบทาด้วยทานาคา ประดับประดาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับมีเสียงทักทายกันด้วยความเบิกบานในบุญ ยานพาหนะทั้งสองล้อ สามล้อ สี่ล้อ ไปจนถึงสิบล้อ เต็มไปด้วยพระภิกษุและสาธุชนต่อแถวเข้าพื้นที่กันเป็นระยะทางยาวเกือบกิโลเมตร


   พระมหามัยมุนี (องค์จำลอง) หนึ่งในห้าศาสนวัตถุยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศเมียนมา ศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวมัณฑะเลย์ ได้รับการอัญเชิญมาเป็นพระประธานในพิธี


     คณะกรรมการจัดงานได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จพระภัททันตะ จันทิมาภิวังสะ อัคคมหาปัณฑิตะ อภิธชอัคคมหาสัทธัมมะโชติกะธะชะ รองประธานมหาสังฆนายกสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา มาเป็นประธานสงฆ์ในพิธี และพระเดชพระคุณพระภาวนาธรรมวิเทศ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เป็นประธานสงฆ์ฝ่ายไทย พร้อมด้วยพระมหาเถระผู้นำองค์กรพุทธนานาชาติร่วมเป็นเกียรติในงานกว่า ๗๐ รูป เมื่อคณะสงฆ์มาถึงพื้นที่ครบ ๓๐,๐๐๐ รูป  ประธานพิธี คือ U Zar Ni Aung ผู้แทนมุขมนตรีแห่งมัณฑะเลย์ จุดเทียนธูปบูชาพระรัตนตรัย ผู้แทนพุทธศาสนิกชนถวายพานสักการะ พระเดชพระคุณรองประธานมหาสังฆนายกเมตตาให้ศีล ปฏิบัติธรรมร่วมกัน จากนั้นคณะสงฆ์เมตตาเจริญพระพุทธมนต์ ตามด้วยพิธีกล่าวคำแสดงตนเป็นพุทธมามกะ กล่าวคำถวายภัตตาหาร ไทยธรรม คิลานเภสัช ยานพาหนะ และกล่าวคำอธิษฐานจิตร่วมกัน ประธานฝ่ายฆราวาสจากประเทศไทย คือ กัลฯพรสวรรค์ เต็มดวงจิตต์ ในนามผู้แทนมูลนิธิธรรมกาย กล่าวนมัสการคณะสงฆ์และขอบคุณในความร่วมมืออย่างเต็มกำลังศรัทธาของชาวเมียนมาทุกคน เมื่อถึงเวลาสว่าง พระภิกษุทั้ง ๓๐,๐๐๐ รูป แปรแถวรับบิณฑบาตจากสาธุชนชาวเมียนมาและชาวไทย ซึ่งชาวเมียนมาเป็นจำนวนมากมีความตั้งใจจะใส่บาตรพระภิกษุให้ครบทุกรูป โดยจะเห็นได้จากการเตรียมไทยธรรมที่มีเป็นจำนวนมาก และยืนเข่าใส่บาตรแถวพระภิกษุจนหมดสาย


    ชาวเมียนมาหลายท่านกล่าวทั้งน้ำตาว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยตักบาตรพระจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน รู้สึกอิ่มใจและอยากให้จัดตักบาตรแบบนี้ทุกปี

     งานตักบาตรพระ ๓๐,๐๐๐ รูปในครั้งนี้ เป็นการเขียนประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญร่วมกันของพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาและชาวไทย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่ชาวพุทธทั่วโลกให้ตระหนักถึงพระคุณอันไม่มีประมาณขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และคุณูปการของพระพุทธศาสนาอันเป็นแสงนำทางให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงเป้าหมายที่แท้จริงของการเกิดมาเป็นมนุษย์ และยังเป็นเสียงสะท้อนไปถึงชาวโลกผู้ใฝ่สันติทุกท่านให้ทราบว่า "สันติภาพที่แท้จริงบังเกิดขึ้นได้ เมื่อทุกคนพบสันติสุขภายใน"

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล