ฉบับที่ 72 ตุลาคม ปี 2551

ทันโลก ทันธรรม : ยิ่งให้ยิ่งได้

ทันโลก  ทันธรรม
เรื่อง : พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ  (M.D., Ph.D)  
จากรายการทันโลก  ทันธรรม  ออกอากาศทางช่อง DMC

          ตอบว่ายิ่งให้ยิ่งได้จริงๆ เพราะอะไร เพราะใจของคนตอนคิดจะเอา จะคิดถึงตัวเองเป็นหลัก ทำอย่างไรจะเอาเข้ามา พอคิดอย่างนี้มากๆ สุดท้ายใจจะหดเล็กลงเรื่อยๆ ความคิดทุกอย่างจะจำกัดหมดเลย แล้วเกิดความเครียดขึ้นมา กิเลสมาหุ้มใจไว้ พอมันบีบบังคับเต็มที่ บางทีถึงขนาดพ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ พี่ฆ่าน้อง น้องฆ่าพี่ ก็ได้ ดูอย่างตัวอย่างในประเทศจีน ฮ่องเต้แต่ละองค์มีปัญหากันเยอะแยะมากมายในการชิงราชสมบัติ เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตอนคิดจะเอาใจ มันจะหดจำกัดเฉพาะตัวเอง ความคิดทุกอย่างจะจำกัดหมด แล้วจะคิดออกมาในเชิงทำลายล้าง แล้วจะนำผลเสียมาภายหลังอีก แต่ถ้าคิดจะให้เมื่อไร ใจขยายออกไปแล้ว ให้กับทุกคนในครอบครัว ใจขยายคลุมทั้งบ้านแล้ว คิดจะให้กับชุมชน ใจขยายคลุมทั้งชุมชนแล้ว ถ้าคิดจะให้กับคนทั้งโลกใจขยายคลุมทั้งโลกไปแล้ว พอใจขยายกว้างออก ความคิดดีๆ ก็จะเกิดขึ้น จะทำอะไรก็คิดเผื่อแผ่ถึงทุกๆ คนว่าเขาจะได้รับผลกระทบไหม ความคิดมันจะกว้างออกไป ความสร้างสรรค์จะเกิดขึ้น มาอย่างไม่น่าเชื่อ นี่คือปฏิกิริยาของใจ แล้วพอคิดอย่างนี้ใจเป็นกุศล บาปอกุศลจะคลายตัวลง บุญจะมีกำลังแข็งแกร่งขึ้น แล้วมาเชื่อมติดที่ใจของเรา ดึงดูดสิ่งดีเข้ามาหาเรา ใจคนเรามีอานุภาพดึงดูดได้ ถ้าคนที่ไม่ดีจะดูดเอาคนที่ไม่ดีมาหา คนที่ดีก็จะดูดคนดีๆ เข้ามาหา ท่านใช้คำว่าสัตว์โลกจะรวมกลุ่มกันตามอายตนะ เหมือนอย่างนี้ ถ้าเราเอาขวดโหลมาใบหนึ่ง เอาผึ้งใส่ไปตัวหนึ่ง เอาแมลงวันใส่ไปตัวหนึ่ง ตอนปิดฝาโหลอยู่มันก็อยู่ด้วยกันจริงไหม แต่พอเปิดฝาโหลออกมาแล้วเป็นไง ผึ้งก็บินปร๋อไปหาเกสรดอกไม้ ไปดูดน้ำหวาน แล้วแมลงวันไปไหนเอ่ย พักเดียวสอดส่ายสายตา ไปหากองอุจจาระบ้าง ผลไม้เน่าๆ บ้าง มันพอใจของมันอย่างนั้น มันแยกกันไปโดยอายตนะ
         เช่นเดียวกันถ้าเรามีความคิด ที่จะให้ปลูกขึ้นมาในใจ ความคิดนั้นจะดึงคนที่คิดจะให้เหมือนๆ กับเรามา พอต่างคนต่างคิดจะให้มารวมกลุ่มกัน ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดดีๆ มันเกิดขึ้นมามหาศาล ประสานกลมกลืนได้อย่างดี แต่คนที่คิดจะเอา ก็จะดึงดูดเอาคนเห็นแก่ตัวเข้ามา แล้วพอมาอยู่ด้วยกันจะมีปัญหา กระทบกระทั่งกันมากมาย เพราะแต่ละคนคิดแต่จะเอาๆ บริษัทห้างร้านไหนต้องการความเจริญก้าวหน้า จะต้องปลูกฝังความคิดให้ ทั้งเจ้าของบริษัท แล้วเป็นแนวคิดหลักของบริษัทด้วย ความเจริญก้าวหน้าที่แท้จริงจึงจะเกิดขึ้นมาได้
          พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแบ่งการให้เป็น 3 ประเภทคือ วัตถุทาน ได้แก่การให้วัตถุสิ่งของต่างๆ วิทยาทาน คือการให้ความรู้ ถ้าเป็นการให้ธรรมะถือว่าเป็นธรรมทาน อภัยทาน คือมีอะไรขึ้นมาก็ให้อภัย ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่ผูกใจเจ็บกัน พร้อมใจให้อภัยเข้าใจซึ่งกันและกัน

ทั้ง 3 ส่วน มาดูซิว่า ยิ่งให้ยิ่งได้ จริงไหม
          ข้อแรกวัตถุทาน มองในแง่ธุรกิจ ปกติธุรกิจจะต้องแสวงหาผลกำไร แล้วดูซิว่ายิ่งให้ยิ่งได้จริงหรือเปล่า ธุรกิจไหนผลิตสินค้าออกมาขายแล้ว คิดแต่จะเอา คือทำของคุณภาพประหยัดๆ ต่ำๆ แล้วขายราคาแพงๆ เพื่อจะได้กำไรเยอะๆ ระยะยาวจะไปลำบาก แต่ถ้าใครพยายามผลิตสินค้าให้คุณภาพดีที่สุด ราคาพอประมาณ คือให้คุณภาพสินค้ามันเกินกว่าราคาขาย เพราะอยากจะให้ลูกค้าได้ของที่ดีที่สุดไป ถ้ามีความคิดให้อย่างนี้ในใจ อะไรจะเกิดขึ้น ของดีราคาถูก ขายดีแน่นอน ใครๆ ก็อยากซื้อ ระยะยาวบริษัทจะเจริญรุ่งเรือง แล้วบริษัทจะเอากำไรที่ไหน พอมีความคิดอย่างนี้แล้ว จะทำให้เกิดการรวมพลัง ของคนในองค์กรว่าจะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้สินค้ามีคุณภาพดีขึ้นโดยใช้ต้นทุนประหยัดได้อย่างไร กระบวนการบริหารจัดการ ทั้งหมดจะทำอย่างไรให้เกิดการประหยัดสูงสุด ใจที่คิดอย่างนี้มันจะเกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อเลย
          ยิ่งให้จะยิ่งได้ ยิ่งคิดจะเอาระยะยาวไปไม่รอด อย่างญี่ปุ่นมาช่วยประเทศไทย คณะวิศวกรรมการเกษตร จักรกลการเกษตร ให้แทรกเตอร์ ให้เครื่องจักรกลการเกษตรมา ถามว่าอะไรเกิดขึ้น นักศึกษาได้ของฟรีมาก็ใช้เรียน ใช้ศึกษาจนคุ้นเคย ถามว่าพอจบแล้วไปทำงานจะภาครัฐหรือเอกชนก็ตาม จะสั่งซื้อแทรกเตอร์ สั่งซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรยี่ห้อไหน ก็มีแนวโน้มว่าจะไปซื้อยี่ห้อที่ตัวเองใช้มาจนคุ้นมือ เพราะมันมีความเคยชิน ยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ได้ทั้งภาพลักษณ์ ได้ทั้งยอดขาย ได้ทุกอย่าง
          การให้ย่อมได้เสมอ คุ้มแสนคุ้ม ใครที่เคยคิดจะเอาอย่างเดียว เปลี่ยนความคิดเสียเถอะ เพราะแค่คิดเอา ความทุกข์ ความเครียดในใจมันก็ไม่คุ้มแล้ว สู้คิดจะให้ เบิกบานมีความสุข แล้วถ้าทำงานอย่างมีเป้าหมายจะให้กับคนทั้งโลก ใจจะขยายกว้างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลย มีความสุขด้วย คิดจะให้คุ้มเสมอ ยิ่งให้จะยิ่งได้

           ข้อที่ ๒ การให้ความรู้ยิ่งให้ยิ่งได้จริงหรือเปล่า คือคนที่คิดจะหวงความรู้ ความรู้มันหด ดูกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ของตะวันออกตะวันตกว่าเป็นอย่างไร ทำไมตะวันออกคิดหลายๆ อย่างได้ดี เช่น เข็มทิศก็จีนคิดได้เป็นคนแรกของโลก ระบบการพิมพ์จีนก็คิดได้ก่อนเพื่อน แล้วทำไมมันไม่ต่อยอดเป็นมหาอำนาจของโลก ทำไมตะวันตกถึงเป็นผู้นำความรู้ในรอบ 500 ปีที่ผ่านมา เกิดอะไรขึ้น คำตอบคือกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของตะวันออก เป็นลักษณะจำกัดวง เฉพาะเครือญาติของตัวเอง ศิษย์ตัวเอง สำนักตัวเอง ต้องมาอยู่เป็นศิษย์ในสำนักถึงจะสอน ไม่เผยแพร่ทั่วไป ศิษย์จะมาเรียนอาจารย์มักขยักยอดวิชาเอาไว้ เป็นท่าไม้ตายป้องกันศิษย์คิดล้างครู จะล้างครูเมื่อไรก็เอาไม้ตายปราบเลย แล้วถ้าเกิดอาจารย์ตายก่อนไม่ทันถ่ายทอดวิทยายุทธนี้ มันก็สาบสูญ
         แต่ตะวันตกใช้กระบวนการให้ความรู้แบบเปิดกว้าง ตั้งเป็นมหาวิทยาลัยขึ้นมาเอาอาจารย์มาสอนหลายๆ คน ไม่จำกัดเฉพาะสำนักเดียว ใครเก่งวิชาไหนมาสอนวิชานั้น ใครพร้อมก็มาสมัครเรียนได้ เปิดกว้างสำหรับทุกคน พออย่างนี้วิชาการ มันมีการต่อยอดไปเรื่อยๆ ใครเจออะไรใหม่ๆ ไม่เก็บเอาไว้ แต่รีบเขียนลงบทความในวารสารวิชาการให้เร็วที่สุด เพราะถ้าเขียนช้าแม้ตัวเองค้นพบก่อน คนอื่นค้นพบทีหลัง แต่เขาเขียนลงเจอร์นัลก่อนกลายเป็นว่าคนนั้นเป็นผู้ค้นพบคนแรก เพราะฉะนั้นใครเจออะไรจะไม่เก็บเอาไว้ จะรีบส่งผลงานไปลงเร็วที่สุดเลย แล้วเกิดระบบลิขสิทธิ์ขึ้นมารักษาสิทธิ์ของเขาเอาไว้ ทำให้คนไม่ต้องมานั่งคิดทุกอย่างด้วยตัวเอง สามารถดูได้ทั้งโลกว่าเขาคิดอะไรไว้ แล้วตัวเองมาต่อยอดต่อไป เป็นการ รวมพลังความคิดคนทั้งโลก วิทยาการตะวันตกก็เลยก้าวหน้าขึ้นมาเร็ว คิดให้เมื่อไรก็จะได้เมื่อนั้น คิดจะเอาละก็ความรู้มันจะหด คิดให้ความรู้จะขยาย พวกเรารู้ไหมว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกาเขาจะให้ความสำคัญกับนักศึกษามาก ถ้ามีนักศึกษาเก่งๆ มาเมื่อไรทุนการศึกษาให้เต็มที่ เรียนฟรี แถมให้ที่พักกินอยู่อย่างสบาย เรียนจบมีสตางค์เหลืออีก เพราะเขารู้ว่าให้ อย่างนี้เขาจะยิ่งได้ เขาจะดูดคนเก่งมาเรียนที่เขาเยอะแยะ แล้วก็จะหาอาจารย์เก่งที่สุดมาสอนให้ด้วย เท่าไรเท่ากันทุ่มสู้ เขาพบว่าอาจารย์เก่งนักศึกษาเก่งมาเจอกันแล้วละก็ จะกระตุ้นให้เกิดการศึกษาค้นคว้าเจออะไรใหม่ๆ มหาศาลเลย ซึ่งสร้างชื่อเสียงเกียรติภูมิให้กับมหาวิทยาลัยอย่างมาก แล้วถามว่ามหาวิทยาลัยอยู่ได้อย่างไร นักศึกษาบางส่วนปริญญาตรี ก็มีการเก็บค่าเล่าเรียนบ้าง แต่พอถึงโทถึงเอก ถ้าเก่งจริงก็ฟรีหมด เงินสนับสนุนเข้าสู่มหาวิทยาลัยมีมหาศาล บางแห่งอย่างสแตมฟอร์ด เชื่อไหมมหาวิทยาลัยมีกองทุน ๒๐,๐๐๐ กว่าล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท แล้วสามารถเอาไปลงทุนต่างๆ ได้ บางปีได้ผลตอบแทน ๒๐% ปีหนึ่งมหาวิทยาลัยมีรายได้จากเงินกองทุนประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ กว่าล้านบาท ขอให้เขามีอาจารย์ดี มีนักศึกษาดี เกียรติภูมิอะไรที่ขึ้นมาจะดึงดูดคนมาสมัครมหาศาลเลย บางที่อย่างฮาร์วาร์ด ได้มากกว่านี้อีก เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นตัวพิสูจน์ว่ายิ่งให้ยิ่งได้จริงๆ ให้ความรู้ ความรู้จะเพิ่ม หวงความรู้ ความรู้จะหด

          ข้อที่ ๓ อภัยทาน คนเราอยู่ด้วยกันมันต้องมีการกระทบกระทั่งกัน ระหว่างบุคคลต่อบุคคลก็มี องค์กรต่อองค์กรก็มี ประเทศต่อประเทศก็มี เมื่อไรขัดกันแล้วต่างฝ่ายต่างถือตัวเองเป็นที่ตั้ง ปัญหาไม่จบ มีสิทธิ์ลุกลามไปสู่สงคราม แล้วเกิดสงครามเมื่อไร เสียทั้งคู่ อย่างอเมริกาไปบุกอิรัก โกรธกันก็แก้ปัญหาด้วยสงคราม อิรักเองก็เสียหายยับเยิน อเมริกาเองทหารตายไปหลายพันจะร่วมหมื่นแล้ว ทั้งเจ็บทั้งตาย แล้วก็เสียค่าใช้จ่ายเกือบ ๑ ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ เศรษฐกิจของประเทศก็เริ่มทรุดลงแล้ว สหภาพโซเวียตไปบุกอัฟกานิสถาน พอยืดเยื้อประเทศตัวเองยังแตกออกเป็น ๑๕ ประเทศ ใช้ความรุนแรงเมื่อไรมันเสียทั้งคู่ แต่ถ้าเกิดจะให้อภัยกัน หาทางแก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวลประนีประนอม หาจุดสรุปที่ทุกฝ่าย พอจะยอมรับได้ อย่างนี้ละก็จะไปได้ ระหว่างประเทศก็หลักการนี้ ระหว่างบุคคลก็หลักการนี้
          มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๒-๓ สัปดาห์ที่ผ่านมา มีโยมท่านหนึ่งมาหาอาตมา เป็นคนที่เก่งมาก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศ อายุ ๓๐ เศษ เป็นระดับผู้บริหารเกือบจะสูงสุด รายได้เดือนหนึ่งเป็นล้าน เป็นคนไบรท์มาก แต่ว่าติดขัดด้วยปัญหาครอบครัว ซึ่งภรรยาเองก็เคยรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างมาก ถึงได้มาแต่งงานกัน ภรรยาก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่พอหลังจากที่แต่งงานกัน ๑๐ กว่าปี ลูกก็เริ่มโตขึ้น ๒ คน มีปัญหาไม่เข้าใจกัน แทบจะไม่คุยกันเลย ตัวเองก็อึดอัดมากจนบางทีขนข้าวขนของไปนอนนอกบ้าน ๓ วัน ๕ วัน คิดถึงลูกกลับไปอยู่บ้านอีก อึดอัดก็ไปอยู่ข้างนอกอีก จนพลังในการทำงานแทบจะหมดไปเลย ก็ค่อยๆ ถาม ค่อย ๆ ซัก จนทราบรายละเอียด เลยให้ข้อคิดบางอย่างว่า ลองเปลี่ยนมุมมองดีไหม เขาบอกว่าทำไมภรรยาไม่รับผิดชอบอะไรเลย เขาเองงานก็หนักอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาทำทุกอย่าง ทำอย่างนี้ได้ไง คุณทำอะไรก็สู้ผมไม่ได้สักอย่างหนึ่ง ทำไมคุณช่วยทำตัวเอง ให้เป็นที่รักของผมหน่อย ไม่ได้หรือ นี่คือคำกล่าวของเขา หลวงพี่พอฟังทั้งหมดแล้วบอกลองคิดดูดีๆ อีกทีดีไหม ถ้าคิดอย่างนี้เขาต้องการให้ภรรยา เหมือนตุ๊กตาใช่ไหม ทำตัวให้น่ารักคือให้เป็นตุ๊กตาหน่อย นี่เขากำลังจะไปกดคุณค่าคู่ชีวิตให้ต่ำลงมาเหมือนตุ๊กตาหรือเปล่า เขาภูมิใจในความสามารถตัวเองจนกระทั่งทำให้ภรรยารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าหรือเปล่า ทำอะไรก็ไม่ดี นั่นผิด นี่ไม่เข้าท่า นั่นแย่ จนไม่มีกำลังใจจะไปทำอะไรเลย ในเมื่อคุณเก่งคุณก็ไปทำแล้วกัน เอาลูกไปฝากโรงเรียนคุณทำได้ดี คุณก็ไปทำก็แล้วกัน อะไรๆ คุณก็ทำเถอะ เพราะฉันทำก็สู้คุณไม่ได้ ก็อยู่เฉยๆ แต่เพราะรักลูก แล้วจริงๆ ลึกๆ คงจะรักสามีด้วย ก็เลยยอม กล้ำกลืนฝืนทนอยู่ด้วยกัน แต่พยายามหลบไม่เจอกัน วันธรรมดาสามีต้องไปทำงานจะนอนเร็วหน่อย ภรรยาก็ดูทีวีดึก ๆ ปล่อยให้สามีนอน ตัวเองไม่มานอน วันศุกร์ วันเสาร์ ที่รุ่งขึ้นไม่ต้องทำงาน สามีจะอยู่ดึกๆ ภรรยา ๔ ทุ่มไปนอนแล้ว อย่างนี้เป็นต้น สามีก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ว่าพอบังคับเรียกร้องให้อีกฝ่ายเข้าใจตัวเอง ปัญหาไม่จบ ลุกลามไปเรื่อย ๆ เลยต้องบอกว่าช่วยหันมา ดูตัวเองหน่อย ลองเข้าใจเขาหน่อยได้ไหมว่า เขาคิดอย่างไร ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทั้งที่เดิมเขาเป็นคนแอ็คทีฟ แล้วก็รักเรามาก ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้ ปัญหาบางทีอาจจะไม่ได้อยู่ที่เขา อยู่ที่ตัวเราเอง ช่วยไปกระตุ้นเขาด้วยการชมได้ไหม ถ้าแม่บ้านทำอะไรปั๊บ ช่วยชมโอ้โฮดีจังเลย ให้เขามีกำลังใจทำต่อไป อย่าไปข่มเขาว่าตัวเองเก่งกว่า เหนือกว่า ดีกว่า อย่างนี้ละก็บรรยากาศถึงจะกลมกลืนกันได้ ต้องรู้จักให้อภัย รู้จักเข้าใจคนอื่น ต้องเอาการให้นำหน้า ถ้าคิดจะให้เมื่อไร แล้วจะพบว่าไอ้ที่หวังจะได้ เขาจะให้ ก็คือเขาจะเริ่มเข้าใจเราบ้าง แล้วครอบครัวจะสงบร่มเย็น ทั้งหมดเป็นตัวยืนยันว่ายิ่งให้ยิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินสิ่งของ ความรู้ หรือความเข้าใจกันก็ตาม เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคน หากอยากให้ชีวิตของตัวเอง มีความสุขและความสำเร็จ ให้เถิด ทั้งวัตถุสิ่งของ ความรู้ และความเข้าใจบุคคลอื่น แล้วเราจะยิ่งได้ ชีวิตของเราทุกคน จะมีความสุข เจริญพร

 
บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล