ฉบับที่ ๒๑๓ เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๓

หลวงพ่อตอบปัญหา : สิ่งที่สำคัญที่สุดต่ออนาคตของเราคืออะไร ?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว

 

หลวงพ่อตอบปัญหา

630907_047.jpg

ถาม : สิ่งที่สำคัญที่สุดต่ออนาคตของเราคืออะไร ?

ตอบ : การเรียนรู้จนเข้าใจความจริงเรื่องการดำเนิน ไปของโลกและชีวิตส่งผลให้เรามีความเห็นหรือทัศนคติที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดท่าทีของเราว่าจะดำเนินชีวิตนี้ไปในทิศทางใดและอย่างไร จึงจะเป็นผลดี มีแต่ความสุข ความเจริญ ช่วยให้เราวินิจฉัยได้ถูกต้องชัดเจนว่าอะไรควรคิด อะไรไม่ควรคิด อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ

         ความเห็นหรือทัศนคตินั้น ในพระพุทธศาสนาใช้คำว่า “สัมมาทิฏฐิ” แปลว่า ความเห็นชอบ ความเห็นที่ถูกต้อง มุ่งเน้นไปที่เรื่องสำคัญที่มีผลต่อชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคตจนถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต สัมมาทิฏฐิมี ๑๐ ประการ ได้แก่ ๑) ทานที่ให้แล้วมีผล ๒) การสงเคราะห์แล้วมีผล ๓) การบูชาบุคคลที่ควรบูชาแล้วมีผล ๔) ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้วมีอยู่ ๕) โลกนี้มี ๖) โลกหน้ามี ๗) มารดามีคุณ ๘) บิดามีคุณ ๙) สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมี ๑๐) สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินไปชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่

        ความรู้จริงเรื่องต่าง ๆ จนทำให้มีความเห็นถูกเหล่านี้ ล้วนเป็นความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ และมีพระมหากรุณานำมาสั่งสอนแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายให้รู้ตาม เพื่อจะได้ปฏิบัติตนได้ถูกทาง ลำพังจะอาศัยสติปัญญาของมนุษย์ปุถุชนที่ยังถูกครอบงำด้วยกิเลส ไม่อาจจะรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งความรู้จริงเหล่านี้ได้เอง

       “พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง” คือ หัวใจสำคัญของความเห็นถูก หรือสัมมาทิฏฐิประการที่ ๑๐ ความเข้าใจถูกในประเด็นนี้มีความสำคัญที่สุด เนื่องจากจะเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์ประพฤติปฏิบัติตนทำความดีตามแบบอย่างของพระพุทธองค์

        พระโคตมพุทธเจ้า คือ พระนามของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ พระองค์ตรัสรู้ ณ ประเทศอินเดีย เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีที่ผ่านมา ทรงกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ ปัจจุบันยังมีหลักฐานสำคัญยืนยันการมีอยู่จริงของพระองค์ คือ สังเวชนียสถาน ๔ แห่ง ได้แก่ สถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่แสดงธรรมปฐมเทศนา และสถานที่ปรินิพพาน เป็นบุญสถานอันควรที่พุทธบริษัทจะจาริกไปเพื่อระลึกถึงพระองค์

         ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บอกเราว่า โลกใบนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเมื่อ ๔,๖๐๐ ล้านปีมาแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมไว้ว่า โลกใบนี้จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด ๕ พระองค์พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ก่อนหน้านี้มีพระสัม มาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นก่อนแล้ว ๓ พระองค์ และในอนาคตนับเป็นระยะเวลาอีกอสงไขยเศษปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิดอีก ๑ พระองค์ คือ พระศรีอริยเมตไตรย์

          โลกก็เหมือนชีวิต คือ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เพียงระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ดับไป เรียกระยะเวลาเท่านี้ว่า ๑ กัป แล้วก็เกิดขึ้นมาใหม่หมุนเวียนสลับระหว่างการเกิดขึ้นดับไปอยู่เช่นนี้มายาวนานนับระยะเวลาไม่ได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมาแล้วนับพระองค์ไม่ถ้วน และจะบังเกิดขึ้นอีกมากในอนาคต

         หลักสูตรการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน คือ บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ และอริยมรรคมีองค์ ๘ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เดิมก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับเราแตกต่างกันที่พระองค์ทรงเริ่มมองเห็นความจริงของโลกและชีวิตก่อนว่าเป็นทุกข์ มีสุขก็เพียงชั่วคราว ไม่ใช่สุขถาวร และทรงตั้งความปรารถนาจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ออกจากการวนเวียนจากวัฏจักรตายเกิดนี้ เมื่อทรงรู้และออกไปได้แล้ว จะกลับมาช่วยขนสรรพสัตว์ที่ยังติดอยู่ออกไปให้ได้ นี้คือความปรารถนา “พระสัมมาสัมโพธิญาณ” จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในเบื้องหน้าหลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ทัศ มาอย่างยาวนาน โลกเกิดดับมานับครั้งไม่ถ้วน จนบารมีแก่กล้าเป็นอุปบารมีและปรมัตถบารมี โดยระยะเวลาบำเพ็ญบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นต่างกัน และในขณะยังทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นั้นเรียกว่า “พระโพธิสัตว์” ต้องได้รับการชี้แนะธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ มาด้วยและได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ยืนยันว่าจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เมื่อบารมีเต็มเปี่ยม การบังเกิดในพระชาติสุดท้ายก็ทรงออกบำเพ็ญสมณธรรมและค้นพบอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยพระองค์เอง

       ด้วยระยะเวลาบำเพ็ญบารมีที่ยาวนาน จึงมีบ้างที่ผู้บำเพ็ญบารมีตั้งความปรารถนาจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เปลี่ยนความปรารถนาไปเป็นพระอริยสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งก็พอ ดังนั้นในบางครั้งโลกที่เกิดมาจึงไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด เรียกว่า “สุญกัป” ชาวโลกที่เกิดมาในยุคที่ว่างจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่างจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ จึงอันตรายมาก เพราะไม่มีผู้เปิดเผยเรื่องของกฎแห่งกรรมให้รู้ ไม่มีผู้ใดมาสอนเรื่องการปฏิบัติธรรม การบรรลุธรรม ชีวิตจึงดำเนินไปตามยถากรรม

        น่าคิดไหมว่า ทำไมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตให้เรารับรู้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว หลวงพ่อเห็นว่าเป็นการเปิดกว้างเพิ่มพูนสติปัญญาให้เราและให้เราได้ฉุกคิดถึงตัวเองกันบ้างว่า เมื่อมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเป็นแสงสว่างให้ชาวโลกมานับพระองค์ไม่ถ้วน และแต่ละพระองค์ได้นำพาพระอริยสาวกหลุดพ้นตามพระองค์ไปนับไม่ถ้วนด้วย แล้วทำไมเรายังเป็นมนุษย์ปุถุชนกันอยู่ เราตระหนักถึงโทษภัยในวัฏสงสารที่เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบนี้หรือยัง เราละเลยการประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามานานเท่าใดแล้ว เราจะเริ่มทำเพื่อตัวเองอย่างแท้จริงได้แล้วหรือยัง

          นอกจากตรัสเรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตให้เรารับรู้แล้ว พระพุทธองค์ยังทรงชี้หนทางสว่างข้างหน้า ให้เรามีความหวังในอนาคต เมื่อตรัสเล่าเรื่องของพระองค์ว่า ในอดีตเมื่อครั้งพระองค์เสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกรทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า สุเมธดาบสนี้ต่อไปจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกัปที่นับไม่ถ้วนนับแต่กัปนี้ สุเมธดาบสได้ฟังก็บังเกิดความโสมนัสว่าความปรารถนาของเราจักสำเร็จ มหาชนก็บังเกิดความยินดีว่า เมื่อไม่ได้มรรคและผลในศาสนาพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรารถนาจะกระทำให้แจ้งซึ่งมรรค ผล นิพพาน ในศาสนาของท่านผู้นี้ในภายภาคหน้า เป็นแรงบันดาลใจให้สั่งสมบุญสร้างบารมีต่อไป จึงกระทำการบูชาซึ่งสุเมธดาบส

         ตั้งแต่โบราณมา ปู่ย่าตายายของพวกเรา เมื่อถึงวันพระ ท่านจะไปเข้าวัดฟังธรรม รักษาอุโบสถศีล ซึ่งอุโบสถศีลหรือศีล ๘ เป็นพื้นฐานของความเป็นนักบวช ความเป็นผู้สงบ เว้นจากการครองเรือน ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อเตรียมกายวาจาใจให้พร้อมสำหรับการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อการเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ไม่ว่าปู่ย่าตายายท่านจะปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเป็นพระอริยสาวกในกาลข้างหน้าก็ตาม แต่ก็เตือนใจเราว่า บรรพบุรุษของเราท่านได้เตรียมตัวของท่านดีแล้ว

        พวกเรานับว่ายังโชคดีมีบุญมากที่เกิดมาทันรับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทันฟังพระสงฆ์สาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถ่ายทอด ทันคำสอนของหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่เป็นผู้ที่สรุปคำสอนในพระไตรปิฎกได้ชัดเจนมาก ๆ ว่า มนุษย์ทุกคนมีพระรัตนตรัยในตัว พุทธรัตนะ ได้แก่ พระธรรมกายโคตรภูในตัว ธรรมรัตนะ ได้แก่ ดวงธรรมในพระธรรมกาย สังฆรัตนะ ได้แก่ พระธรรมกายในพระธรรมกาย ตั้งแต่ธรรมกาย พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคามี และพระอรหันต์ พระธรรมภาคปฏิบัติอย่างนี้หาใครสรุปให้ไม่ได้ แต่ว่าหลวงปู่มาสรุปให้ สรุปตั้งแต่ง่ายไปหายาก ง่ายคือสรุปว่าทั้งไตรปิฎก คือ การทำใจให้หยุด ให้นิ่ง ให้ใส นั่นเอง หยุดแล้วจะนิ่ง นิ่งแล้วจะใส ใสแล้วจะสว่าง สว่างแล้วจะเข้าถึงพระธรรมกายไปตามลำดับ ๆ

        เมื่อมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจนกระทั่งเกิดเป็นความเห็นถูกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง การประพฤติตามคำสอนของพระพุทธองค์จะทำให้ได้ความสำเร็จตามพระองค์ ได้ที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง ฉะนั้น จึงควรเริ่มฝึกหยุดใจให้กลับมาไว้ในตัว ฝึกใจหยุด ใจนิ่ง ใจใส ซึ่งเป็นต้นทางแห่งความดีทั้งปวง แล้ว สิ่งที่ต้องสั่งสมตลอดชีวิตคือบุญกุศล เมื่อกระทำให้สม่ำเสมอมาก ๆ เข้าจนเป็นบารมี ก็จะเป็นอุปการะเกื้อหนุนการเข้าถึงธรรม นี้จึงควรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่ออนาคตของเราทุกคน

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล