ทำจิตให้เลื่อมใส
วัตถุประสงค์การเกิดมาของชีวิตทุกๆ คน ก็เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในครั้งที่ท่านยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่ เมื่อเกิดมาในโลกมนุษย์ ท่านก็ทำแต่ความดีเรื่อยไปจนกระทั่งหมดอายุขัย และตลอดระยะเวลานั้น ท่านไม่เคยละเลยต่อการฝึกฝนใจให้หยุดนิ่ง ทรงทำอย่างนี้ทุกภพทุกชาติ จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ และได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบรมครูของเรา สั่งสอนสัตว์โลกให้เข้าถึงธรรมตามพระองค์ไปด้วย ดังนั้น เราควรหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ว่า
“เจโตปสาทเหตุ เอวมิเธกจฺเจ
สตฺตา กายสฺส เภทา ปรมฺมรณา สุคตึ
สคฺคํ โลกํ อุปฺปชฺชนฺติ
เพราะดวงจิตที่ผ่องใส สัตว์บางพวกในโลกนี้
เมื่อแตกกายทำลายขันธ์ ย่อมไปสู่สุคติโลกสวรรค์”
เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิต ก่อนที่จะหลับตาลาโลกเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ จะเป็นเครื่องวัดการกระทำของเราทั้งหมดที่ได้ทำมาตลอดชีวิต ว่าจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ไปเสวยสุขอยู่ในสัมปรายภพ หรือจะพลัดไปสู่อบายภูมิ เพื่อไปรับวิบากกรรมที่ทำไว้ บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราได้สอนไว้ว่า ให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เอาไว้ให้มั่นทีเดียว ใจจะได้มีที่ยึดเหนี่ยวก่อนจะสิ้นลมหายใจ ละโลกจะได้ไปสู่สุคติ
พระพุทธองค์จึงตรัสไว้ว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อบุคคลมีจิตผ่องใสไม่เศร้าหมอง ย่อมมีสุคติเป็นที่หวัง พระองค์ทรงสอนให้เราทำใจให้ผ่องใส นึกคิดแต่เรื่องที่ดีๆ เป็นบุญกุศล นึกถึงธรรมะ นึกถึงพระรัตนตรัย ยิ่งถ้าหากเราเข้าถึงพระรัตนตรัย มีพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ ใจติดแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งมีความบริสุทธิ์ผ่องใส สามารถจะปิดประตูอบายภูมิได้ ละโลกแล้วจะไปสู่สุคติภูมิแน่นอน
* เหมือนในสมัยหนึ่ง ในแคว้นอัลลกัปปะได้เกิดข้าวยากหมากแพง เนื่องจากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล อหิวาตกโรคได้แพร่ระบาดไปทั่วเมือง ผู้คนล้มตายลงเป็นจำนวนมาก จนต้องมีการอพยพไปอยู่เมืองอื่นแทน ในจำนวนชาวบ้านที่อพยพหนีไปนั้น มีชายคนหนึ่งชื่อโกตุหลิก พร้อมทั้งภรรยาและลูกน้อยคนหนึ่ง ก็ได้อพยพไปอยู่ที่เมืองโกสัมพีทั้งครอบครัว ได้เดินทางรอนแรมมาหลายวันจนเสบียงหมดลง จึงถูกความหิวคุกคาม ไม่มีแรงจะอุ้มลูกเดินทางต่อไปได้
สามีจึงบอกภรรยาว่า “ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังสามารถที่จะมีลูกได้อีก เราทิ้งลูกไว้ที่นี่เถิด” แต่ธรรมดาดวงใจของผู้เป็นแม่ ย่อมมีความรักความปรารถนาดีต่อลูกน้อยยิ่งกว่าชีวิตของตน ภรรยาจึงไม่ยอมทอดทิ้งลูก ได้กล่าวทัดทานสามีว่า “ฉันไม่อาจจะทิ้งลูกผู้เป็นดั่งดวงใจได้ ฉันจะอุ้มลูกเอง”
สองสามีภรรยาได้ผลัดเปลี่ยนกันอุ้มลูกน้อย ฝ่ายสามีก็เกลี้ยกล่อมภรรยาบ่อยๆ ว่า “ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยังสามารถมีลูกใหม่ได้ ลูกคนนี้อย่าเอาไว้เป็นภาระเลย” แต่ภรรยาก็ได้ทัดทานไว้ทุกครั้ง เด็กน้อยได้ถูกเปลี่ยนกันอุ้มจนเหนื่อยอ่อน นอนหลับอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพ่อ สามีรู้ว่าลูกชายหลับแล้ว จึงปล่อยให้ภรรยาเดินนำหน้าไปก่อน แล้วได้วางเด็กให้นอนตากแดดอยู่บนหนทาง
ภรรยาเมื่อเดินไปได้สักครู่ใหญ่ เหลียวหลังกลับมาเพื่อจะอุ้มลูก แต่ไม่เห็นลูกจึงถามสามีว่าลูกอยู่ไหน สามีบอกนอนหลับอยู่เลยไม่ได้อุ้มมา เมื่อเดินกลับไปหาลูก เด็กน้อยได้เสียชีวิตลงเสียแล้ว ภรรยาจึงรู้สึกเสียใจมาก ที่ลูกต้องมาตายอย่างอเนจอนาถ และด้วยกรรมที่ทิ้งลูกในครั้งนี้ ทำให้นายโกตุหลิกต้องถูกทิ้งถึง ๗ ชาติด้วยกัน
สองสามีภรรยาได้เดินทางไปจนถึงบ้านของคนเลี้ยงโค นายโคบาลเห็นสามีภรรยาผู้น่าสงสาร เดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยหิวกระหาย จึงได้อนุเคราะห์ด้วยการให้รับประทานข้าวปายาสและเนยใสตามชอบใจ เนื่องจากนายโกตุหลิกอดอาหารมาหลายวัน จึงทานข้าวปายาสไปมากจนแน่นท้อง แล้วนั่งดูนายโคบาลปั้นข้าวให้นางสุนัขตัวหนึ่ง ซึ่งนอนอยู่ใต้โต๊ะ จึงคิดว่า นางสุนัขตัวนี้ ยังมีความสุขสบายกว่าเรา มีอาหารกินทุกวันโดยไม่ลำบาก
พอตกตอนกลางคืน เนื่องจากนายโกตุหลิกรับประทานอาหารมากเกินไป อาหารจึงไม่ย่อย เกิดความอึดอัดทุรนทุรายจนสิ้นใจในคืนนั้น แต่ก่อนตายนายโกตุหลิกมีจิตผูกพันกับสุนัข จึงได้ไปเกิดในท้องของสุนัขตัวนั้น ส่วนภรรยาได้ทำฌาปนกิจศพสามีเรียบร้อยแล้ว ก็รับจ้างอยู่ในบ้านของนายโคบาลนั้น
พอกาลล่วงไป ๖-๗ เดือน นางสุนัขก็คลอดลูกออกมา นายโคบาลได้เลี้ยงดูลูกสุนัขอย่างดีจนเป็นสุนัขโกตุหลิกแสนรู้ และทุกๆ วันจะมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารที่บ้านของนายโคบาล ท่านฉันแล้วก็จะให้ก้อนข้าวแก่ลูกสุนัขเป็นประจำ ทำให้ลูกสุนัขเกิดความรักในพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เวลานายโคบาลจะไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้าน ก็จะพาสุนัขติดตามไปด้วยทุกครั้ง
วันหนึ่ง นายโคบาลกราบเรียนพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า “ถ้าวันไหน ตนไม่ว่าง ก็จะให้สุนัขตัวนี้ไปนิมนต์” เพราะฉะนั้น ในวันที่นายโคบาลติดภารกิจ ไม่สะดวกที่จะนิมนต์ท่าน สุนัขแสนรู้จะวิ่งไปที่กุฏิของท่าน แล้วนั่งอยู่หน้าประตู เห่า ๓ ครั้ง ให้ท่านรู้ว่ามานิมนต์ไปฉัน พระปัจเจกพุทธเจ้าจะไปรับบิณฑบาต เดินทางไปพร้อมกับสุนัขเป็นประจำ
อยู่มาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการจะทดลองสุนัข จึงแกล้งเดินไปอีกทางหนึ่ง สุนัขเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าเดินผิดทาง ก็วิ่งไปขวางข้างหน้าท่านแล้วก็เห่าให้กลับเข้าทาง แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าก็แกล้งเดินต่อไปอีกหน่อย สุนัขก็วิ่งไปคาบชายจีวรฉุดท่านมาในทางที่เคยเดินเป็นประจำ แล้วในระหว่างทางก็คอยเห่าไล่สัตว์ร้ายให้หนีไป จะได้ไม่มาทำอันตรายท่าน มันได้ทำหน้าที่นี้ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระปัจเจกพุทธเจ้า
เมื่อออกพรรษา ถึงคราวจีวรกฐิน พระปัจเจกพุทธเจ้าได้อำลานายโคบาล เพื่อไปกรานกฐินกับพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ รูป ที่ภูเขาคันธมาทน์ นายโคบาลกราบนิมนต์ท่านว่า “ขอพระองค์อย่าได้จากไปนานนัก ได้โปรดเสด็จกลับมาโปรดข้าพระองค์อีกเถิด” พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ให้ศีลให้พร แล้วก็เหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ส่วนสุนัขแสนรู้ได้ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่สามารถจะพูดจาภาษามนุษย์ได้ จึงได้แต่เห่าหอนด้วยความอาลัยรักในพระปัจเจกพุทธเจ้า พอพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตาไป สุนัขก็ขาดใจตายลง
ด้วยผลกรรมที่สุนัขมีใจผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสในท่าน ทำให้ได้ไปเกิดเป็นโฆษกเทพบุตรผู้มีเสียงไพเราะ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพียงแค่กระซิบเบาๆ เสียงก็ดังไปไกลถึง ๑ โยชน์ เมื่อพูดด้วยเสียงธรรมดา เสียงนั้นก็ดังกลบทั่วทั้งสวรรค์ เป็นเสียงที่มีอานุภาพไพเราะเสนาะโสตมาก เพราะอานิสงส์ที่เห่าหอนพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใส
เพราะฉะนั้น ความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย จึงเป็นทางมาแห่งมหากุศล นับเป็นบุญลาภอันประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้สวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย เพราะบุญนี้จะช่วยปิดนรกเปิดสวรรค์ให้เรา จะทำให้เราเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติและนิพพานสมบัติ
ดังนั้น เมื่อเราได้โอกาสดีที่สุดคือได้กายมนุษย์ ก็ควรจะทำความดีกันให้เต็มที่ เร่งสร้างบารมีทุกวันและทำใจให้หยุดนิ่ง ให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในให้ได้ ให้เห็นพระธรรมกายใสสว่างอยู่กลางกายตลอดเวลา ถ้าทำอย่างนี้ได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยที่แท้จริง
พระธรรมเทศนาโดย: หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
* มก. เล่ม ๔๐ หน้า ๒๒๙