ฉบับที่ ๑๒ ประจำเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖

ปฏิปทาพระมงคลเทพมุนี โดย พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

 



         วันนี้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในชีวิตการสร้างบารมีของเรา ซึ่งเป็นวันคล้ายวันที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ท่านได้อุทิศชีวิตจนกระทั่งค้นพบวิชชาธรรมกายกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเราและต่อโลก

         พระเดชพระคุณหลวงปู่ ท่านเป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลก จะใช้คำว่า บุคคลสำคัญของโลกก็จะน้อยไป เพราะบุคคลสำคัญของโลก คำนี้เขาใช้กับผู้ที่ยังข้องอยู่กับโลก มีชีวิตแบบชาวโลกทั่ว ๆ ไป ไม่ได้แตกต่างจากชาวโลกทั้งหลาย ถ้าจะใช้คำสำหรับท่าน ต้องเป็นคำที่เหนือกว่านั้นว่า ท่านเป็นบุคคลสำคัญของจักรวาล แต่ถ้าเราได้ศึกษาวิชชาธรรมกายจะต้องใช้คำที่ยิ่งไปกว่านั้นอีก เพราะท่านเป็นบุคคลที่มีคุณอย่างไม่มีประมาณ เป็นบุคคลที่สำคัญของธาตุธรรมหรือธรรมธาตุทั้งหลาย เมื่อเรายังไม่ถึงในระดับที่ศึกษาวิชชาธรรมกายได้ เราก็จะต้องเข้าใจในระดับที่เหนือโลกว่า ท่านเป็นบุคคลสำคัญที่เหนือโลก แม้ยังไม่พ้นจากโลกนี้ เพราะท่านยังมีภารกิจอยู่ แต่ต้องใช้คำที่เป็นบุคคลสำคัญที่เหนือโลกออกไป
เมื่อเรานึกย้อนถึงเรื่องราวปฏิปทา ข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่า ท่านมีชีวิตแบบชาวโลก ที่มีอาชีพเป็นเกษตรกร ทำธุรกิจค้าขายข้าวแบบคหบดีทั้งหลาย อยู่ไม่กี่ปี คือ เมื่ออายุ ๑๙ ปี ในขณะที่ล่องเรือไปทำการค้าขาย ท่านมีความรู้สึกว่า ชีวิตมนุษย์นี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร งานที่เราทำนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากงานที่ปู่ย่าตายายของเราทำ ซึ่งเดี๋ยวนี้ปูย่าตายายของเราละโลกไปแล้ว ทำมาหากินกันจนตาย แต่ก็ไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์อันสูงสุดต่อชีวิต

         แล้วท่านก็นึกย้อนกลับมาดูตัวเองว่า ถ้าท่านทำอย่างปู่ย่าตายาย ก็จะเป็นแบบปู่ย่าตายายหรือชาวโลกทั่ว ๆ ไป ท่านอยากจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่ายิ่งกว่านั้น แล้วท่านก็มองดูลูกจ้างผู้ที่ร่วมเดินทางมากับท่านในเรือลำเดียวกัน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่เสี่ยงภัยมากกว่า ถ้าหากโจรมันมาปล้นละก็ จะต้องถูกโจรทำร้ายจนถึงชีวิตก่อนเรา คิดแล้วก็สลดใจ ก็นึกในใจว่า ถ้าเรารอดชีวิตในคราวนี้ เราจะออกบวช แล้วจะไม่ลาสิกขา ที่คิดอย่างนี้ก็เพราะว่า คลองที่ท่านพายเรือผ่านไปทำมาค้าขายนั้น มันอยู่ในแดนโจรซึ่งมีหลายคนโดนจี้โดนปล้นกันมาแล้ว บางคนก็เสียทรัพย์สิน บางคนก็เสียชีวิต บางคนก็เสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ท่านจึงใช้คำว่า ถ้ารอดชีวิตในคราวนี้ เราจะบวชตลอดชีวิต จะไม่ลาสิกขา แล้วก็จุดธูปอธิษฐานจิต นั้นก็หมายความว่า ท่านบวชใจมาตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีแล้ว

         ต่อมาท่านก็ตั้งใจทำมาค้าขาย เพื่อรวบ รวมทรัพย์ให้กับมารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งอายุก็มากแล้วเรี่ยวแรงก็มีแต่จะหมดไป ท่านคิดจะเอาทรัพย์นี้เป็นสิ่งที่แทนตัวท่าน เพื่อจะดูแลมารดาของท่านให้อยู่อย่างสุขสบายตามอัตภาพของเกษตรกร ส่วนตัวท่านก็จะออกบวช

         เมื่อท่านอายุครบ ๒๒ ปี ท่านก็บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ มอบทรัพย์สินเงินทองให้กับมารดา แล้วก็จากลาครอบครัวญาติพี่น้องอย่างไม่มีอาลัยอาวรณ์เหมือนนกที่จากคอนอย่างนั้น ออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านได้เขียนไว้ในบันทึกของท่านว่า เมื่อบวชแล้ว รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งก็ปฏิบัติธรรมเรื่อยมา ทำความเพียรเจริญสมาธิภาวนาไม่ได้ขาดแม้แต่วันเดียว ไม่ว่าจะมีภารกิจมากมายแค่ไหนก็ไม่ขาดจากการเจริญภาวนา ซึ่งในยุคนั้นครูบาอาจารย์คนไหนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในธรรมปฏิบัติ ท่านจะยอมตนเข้าไปเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาธรรมปฏิบัตินั้น แล้วก็ได้ผลการปฏิบัติเช่นเดียวกับครูบาอาจารย์นั้น จนกระทั่งครูยกย่องว่ามีความรู้เท่าเทียมกัน แล้วก็เชิญท่านอยู่ร่วมสำนักด้วย เพื่อที่จะช่วยกันสั่งสอนศิษย์ต่อไป แต่ท่านก็มีความคิดว่า ความรู้แค่นี้จะไปสอนเพื่อนมนุษย์นั้นยังไม่เพียงพอ แค่เป็นต้นทางแห่งความสงบทางใจ ละนิวรณ์ได้เท่านั้น ยังมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ทางมรรคผล

         ในยุคนั้นใครว่าอะไรดี ที่เขานิยม ที่เหมาะสมกับพระภิกษุ ท่านก็ศึกษาไปตามนั้น ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม แบกคัมภีร์จนไหล่ลู่ เพราะเรียนกันเป็นผูกๆ (ลักษณะนามเรียกหนังสือใบลานที่ร้อยหู ไว้มัดหนึ่งๆ ว่าคัมภีร์เทศนาผูกหนึ่ง) อยากจะศึกษากี่บทเรียนก็ตามหรือกี่ผูกก็ตามก็แบกกันไป แล้วก็ไปเรียนไม่ซ้ำวัดกัน เนื่องจากว่าผู้เชี่ยวชาญทางภาษาบาลีนั้นอยู่กันคนละวัด ท่านก็อาศัยความเพียรกันไปอย่างนั้น จนต้องใช้คำว่าแบกกันจนไหล่ลู่ เหมือนพ่อค้าแม่ค้าที่หาบของเพื่อแสวงหาทรัพย์ภายนอก แต่ท่านแสวงหาทรัพย์ภายใน ก็แบกคัมภีร์กันไป ศึกษาตามสำนักต่างๆ แต่ก็ไม่ได้สอบเป็นมหาเปรียญ เพราะท่านต้องการความรู้ อยากรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอะไรไว้ในภาษาบาลีซึ่งเก็บคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาไว้บ้าง

         ในยุคนั้นเขาสนใจเรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งพระเถรานุเถระวัดวาอารามต่างๆ ท่านได้ศึกษาเล่าเรียนเพราะว่าญาติโยมขอร้องให้ดูโชคชะตาราศีตามความคิดของชาวโลก ท่านก็เรียน เมื่อรู้แล้วเห็นว่ามันไม่ใช่ทางหลุดพ้นก็เลิก หรือแม้แต่วิทยาศาสตร์ทางใจ เวทมนต์กลคาถาอะไรต่างๆ ที่เขานิยมเรียนกันในยุคนั้น ท่านก็ไปเล่าเรียนจนหมดความรู้ของครูบา-อาจารย์ทำตามนั้นได้ จนในที่สุดท่านก็กลับมาพิจารณาด้วยปัญญาบารมีของท่าน พบว่าสิ่งที่เรียนนั้นไม่ใช่ทางมรรคผล แต่เขาเรียนกันมาอย่างนั้น ทำกันไปอย่างนั้น ก็ทำตามกันไป แต่ในใจลึกๆ มีสิ่งที่กระตุ้นเตือนจิตสำนึกว่า จะต้องแสวงหาทางมรรคผลนิพพานให้ได้

         กลางพรรษาที่ ๑๑ ณ โบสถ์วัดโบสถ์บางคูเวียง จ.นนทบุรี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือน ๑๐ ท่านมีความคิดที่ว่า เราบวชมา ๑๐ พรรษาแล้วยังไม่ได้บรรลุทางมรรคผลนิพพาน บวชมาเพื่อต้องการทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่พรรษาที่ ๑๑ ผ่านไปครึ่งพรรษาแล้ว การปฏิบัติธรรมเจริญภาวนาเราก็ทำทุกวัน ไม่เคยขาดเลยนับตั้งแต่บวชมาวันหนึ่งรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งก็ทำเรื่อยมา วันนี้เป็นอย่างไรก็เป็นกัน ถ้าไม่บรรลุธรรมจะไม่ลุกจากที่

         ในยามเย็นวันนั้น ท่านได้ตั้งสัตยาธิษฐาน ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ในบันทึกว่า นั่งอยู่ในโบสถ์วัดโบสถ์บางคูเวียง แล้วก็หันหน้าไปทางพระประธาน พื้นโบสถ์ก็ไม่สม่ำเสมอ มีล่องที่มดไต่ขึ้นมา ท่านเกรงว่ามดจะมารบกวนทำให้เสียสมาธิ จึงเอานิ้วจุ่มน้ำมันก๊าดในขวดหวังจะขีดไว้รอบตัวท่าน เพื่อกันมดไม่ให้มาไต่ตามตัวหรือกัดท่าน ขีดไปได้ครึ่งหนึ่งก็เกิดความละอายว่า เราได้ตั้งสัตยาธิษฐานเอาไว้ว่าสละชีวิตเป็นพุทธบูชา ถ้าไม่บรรลุทางมรรคผลนิพพานแล้วละก็จะขอยอมตาย เนื้อเลือดจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่กระดูกหนังก็ชั่ง ไม่ได้ตายเถอะ แต่เรายังมากลัวมดที่ไต่ขึ้นมาตามร่องแตกของพื้นโบสถ์นั้นไม่สมควร

         ท่านจึงไม่สนใจเรื่องมด แล้วก็ลงมือทำความเพียรไป ตั้งแต่ยามพลบค่ำรอยต่อระหว่างกลางวันกับกลางคืน ท่านก็เป็นเช่นเดียวกันกับพวกเราทั้งหลาย ที่มีความปวดความเมื่อยเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ได้เอาใจใส่ หยุดนิ่งเรื่อยไป ทางมรรคผลนิพพานอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ หยุดนิ่งอย่างเดียวเท่านั้น มีบันทึกที่ท่านเขียนกล่าวไว้ว่า ครึ่งคืนผ่านไปกระทั่งค่อนคืน นั่งไปใจท่านหยุดถูกส่วนเข้าถึงปฐมมรรค และก็เห็นไปตามลำดับถึงกายที่ ๕ ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ พรหม อรูปพรหม และก็กายธรรม หยุดอยู่ที่ตรงกาย ที่ ๕ ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มี ๑๘ กาย แล้วท่านรำพึงว่า โอ! มันยากอย่างนี้นี่เอง ความเห็น ความจำ ความคิด ความรู้ ๔ อย่างต้องหยุดรวมเป็นจุดเดียวกัน พอหยุดถูกส่วนมันก็จะดับ คือ ตกศูนย์วูบลงไป แล้วจึงจะเกิดมาเป็นดวง แล้วจึงเห็นกายในกายไปตามลำดับ

         เมื่อเข้าถึงธรรมกายแล้ว ท่านก็ทำ ความเพียรเรื่อยไปตลอดพรรษา และได้ศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกายเทียบเคียงกับตำรับตำราในพระไตรปิฎก ที่ได้กล่าวถึงคำว่าธรรมกาย ท่านก็รู้จักความจริงว่าธรรมกาย เป็นอย่างนี้ คือกายตรัสรู้ธรรมที่ประกอบไปด้วยลักษณะมหาบุรุษครบถ้วนทุกประการ สวยงามมาก เกตุดอกบัวตูมใสบริสุทธิ์เกินความใสใดๆ ในโลก ใสยิ่งกว่าเพชรงามไม่มีที่ติ เข้าถึงแล้วมีความสุขมาก มีความบริสุทธิ์ของใจ แล้วท่านก็ศึกษาค้นคว้าเรื่อยมา จนกระทั่งใกล้จะออกพรรษา ท่านก็ตรวจตราด้วยธรรมจักขุและญาณทัสนะ ก็พบว่าจะมีผู้บรรลุธรรมที่วัดบางปลาทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต

         เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านก็ไปตามที่เห็นนั้น ก็เป็นจริงตามนั้น การเผยแผ่ธรรมะวิชชาธรรมกายก็เริ่มต้นเรื่อยมา มีผู้ที่ได้บรรลุธรรมตามท่านทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เป็นพยานแห่งการเข้าถึงธรรมมากมาย ท่านก็ศึกษาไปด้วย ค้นคว้าไปด้วย เป็นทั้งครูเป็นทั้งนักเรียน จนกระทั่งได้มาเป็นเจ้าอาวาสปกครองวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ก็ได้ศึกษาค้นคว้ากันยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ในที่สุดก็มีผู้บรรลุธรรมเพิ่มขึ้นมากมาย

         แล้วท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกาย ต่อไปอีก จนกระทั่งพบเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของท่าน ที่ท่านจะต้องลงมาเกิด มาทำงานที่สำคัญ แล้วก็มีทีมงานที่จะมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยกัน ที่จะไปขจัดต้นตอของกิเลสอาสวะให้มันหมดสิ้นไป

         ท่านตรวจตรามองกันไปเรื่อย ศึกษาไปเรื่อยๆ โดยเข้ากลางของกลางไปตามลำดับ เข้าไปในธรรมกายในธรรมกายไปเรื่อยๆ ก็ศึกษาไปค้นคว้ากันไป ในที่สุดก็รวบรวมผู้ที่มีธาตุธรรมพิเศษที่มาเกิดเพื่อการนี้ ที่จะศึกษาค้นคว้าวิชชาธรรมกาย รวมกันได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ตั้งแต่ท่านอายุได้ ๔๗ ปี ก็เริ่มทำสงครามภายในซึ่งเป็นสงครามที่แท้จริง เป็นสงครามที่ไม่ได้ใช้ศาสตราวุธยุทโธปกรณ์ รบกันด้วยธรรมาวุธด้วยธรรมกาย ไม่มีการพลัดพราก ไม่มีการสูญเสียใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากบุญบันเทิง มีความสุขทุกขั้นตอนของการทำสงครามที่แท้จริงกับกิเลสอาสวะภายใน ศึกษาค้นคว้ากันเรื่อยไปทั้งกลางวันและกลางคืน โดยแบ่งเป็น ๒ กะ กลางวัน ๖ ชั่วโมง กลางคืน ๖ ชั่วโมง ค้นคว้า กันเรื่อยไป จนกระทั่งถึงยุคของคุณยายอาจารย์ของเรา ท่านได้มีส่วนอย่างสำคัญในการเข้าสู่สมรภูมิรบที่แท้จริง

         กระทั่งเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่เกิดการรบราฆ่าฟันกันไปทั่วโลก ท่านก็ศึกษาค้นคว้ากันไป แก้ไขทุกข์มนุษย์ไปด้วย แก้ไขไม่ให้มนุษย์รบกันเอง เพราะว่ามนุษย์ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรคือเป้าหมายชีวิต ถูกเขาจับปั่นเหมือนจิ้งหรีดให้กัดกัน โดยเอากิเลสอาสวะมาบังคับ มาบดบังไม่ให้รู้เป้าหมายชีวิตของตัวเอง ไม่ให้รู้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ให้รู้เรื่องราวว่าจะต้องมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรมด้วยกัน ให้รบกันไปเองอย่างนั้น ท่านและทีมงานซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็พยายามแก้ไขเหตุในเหตุกันเรื่อยไป คุณยายท่านก็เป็นหนึ่งในนั้น ท่านเป็นหัวหน้าเวรขาดรู้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องเหตุผลที่จะตอบคำถาม พระเดชพระคุณหลวงปู่ตามหลักวิชชาทั้งหยาบและละเอียด หยาบก็ถามเกี่ยวกับเรื่องสงครามโลก ละเอียดก็ถามเรื่องสงครามภายใน ก็แก้ไขกันไปอย่างนี้

         การศึกษาวิชชาธรรมกายนั้น เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง จิตต้องบริสุทธิ์และไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง ไม่เกาะเกี่ยวกับเรื่องคน สัตว์ สิ่งของ จึงจะไปรู้เรื่องราวสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้มันเหลือวิสัย และยากต่อการเข้าใจด้วยวิธีการให้เหตุผลแบบธรรมดา จะไปหาหลักฐานอ้างอิง หรือจะใช้ความนึกคิดด้นเดาไม่ได้ แล้วก็เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากนักการศึกษาพระพุทธศาสนาหรือปราชญ์ทางพุทธศาสนาได้ศึกษาค้นคว้ามา เหมือนใบไม้ในป่าประดู่ลาย ซึ่งสมัยหนึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านกอบใบไม้มากำมือหนึ่ง ถามพระภิกษุว่าใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่าประดู่ ส่วนไหนมีมากกว่ากัน ภิกษุก็ตอบว่า ใบไม้ในป่าประดู่มีมากกว่าใบไม้ในกำมือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ตรัสต่อไปว่า สัพพัญญุตญาณของเรานั้น รู้แจ้งเห็นแจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งทั้งปวงโดยไม่มีขอบเขตจำกัด แต่สิ่งที่เรานำมาสอน เธอนั้นเพียงนิดเดียว เพื่อเป็นทางหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ จากภพทั้ง ๓ จากกฎแห่งกรรมเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งเท่านั้น

         วิชชาธรรมกายเหมือนใบไม้ในป่าใหญ่ ซึ่งนักปราชญ์และนักวิชาการในทางพุทธ-ศาสนาในระดับโลกนั้น ไม่ได้ให้โอกาสกับตัวเองในการศึกษาธรรมปฏิบัติให้ลึกซึ้งขึ้นไป ก็ยากต่อการจะที่เข้าใจสิ่งนี้ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าวิชชาธรรมกาย จึงรู้กันอยู่ในขอบเขตจำกัดสำหรับผู้ที่ได้ศึกษาวิชชาธรรมกายในโรงงานทำวิชชาเท่านั้น

         นอกนั้นก็รู้แต่เพียงว่าธรรมกาย คือ พระรัตนตรัยภายใน เป็นที่พึ่งที่ระลึก ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ในที่สุดไปนิพพานก็ได้ ไปนรกสวรรค์ไปจับมือถือแขนสัตว์นรกหรือชาวสวรรค์ได้ พูดจาโต้ตอบกันได้ ญาติ บิดามารดา ปู่ย่าตายายไปตกนรกพระธรรมกายไปช่วยได้ ด้วยอานุภาพของพระธรรมกายที่ไม่มีประมาณ นี่คือสิ่งที่ทุกคนที่อยู่นอกโรงงานทำวิชชาเข้าใจได้เพียงแค่นี้เท่านี้ จะรู้ซึ้งไปกว่านี้ ก็รู้กันอยู่ในขอบเขตจำกัดจริงๆ แต่ว่าวิชชาธรรมกายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดทีเดียว ที่จะเอาชนะกิเลสอาสวะได้ ที่จะทำให้สันติสุขและสันติภาพของโลกที่แท้จริงบังเกิดขึ้น นอก เหนือจากวิชชาธรรมกายแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่อาจที่จะให้สันติสุขสันติภาพเกิดขึ้นได้เลย

         ในวันนี้ การที่ลูกๆ ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิชชาธรรมกาย ได้ทิ้งภารกิจเครื่องกังวลทั้งหลาย เพื่อมาแสวงหาบุญใหญ่เพื่อจะมาประกอบพิธีบูชาครูวิชชาธรรมกายกัน ก็จะเป็นสิริมงคล เป็นทางมาแห่งบุญแก่ลูก ทุกๆ คนนะลูกนะ
 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล