ฉบับที่ ๒๓ ประจำเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๗

หลวงพ่อตอบปัญหา "คุณแม่จะสอนเรื่องกรรมให้ลูกเข้าใจได้อย่างไร" โดย : พระภาวนาวิริยคุณ

 





               หลวงพ่อเจ้าคะ ในฐานะที่เป็นแม่ก็พยายามสอนลูกให้ทำความดีหรือกรรมดี แต่เด็กสมัยนี้ต้องการเหตุผลค่ะ เขามักจะย้อนถามกลับมาว่า แม่มีอะไรเป็นเครื่องวัดว่า อะไรคือกรรมดี อะไรคือกรรมชั่ว ซึ่งแม่ก็ตอบเขาไม่ค่อยถนัด จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า คำว่า "กรรม" มีความหมายอย่างไร คนเราทำกรรมได้กี่ทาง และมีอะไรเป็นเครื่องตัดสินคะ ?

 



             เจริญพร หลวงพ่อขอตอบคำถามแรกก่อนก็แล้วกัน ที่ถามว่า "กรรม" คืออะไร

             คำว่า "กรรม" คือ การกระทำ แต่ละคนก็มีการกระทำอยู่ในชีวิตประจำวันด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำด้วยการคิด ทำด้วยการพูด หรือทำด้วยไม้ด้วยมือของเราก็ตาม

             แต่ว่าความหมายของ "กรรม" ที่ลึกๆ ไปกว่าการกระทำทั่วไป กรรม หมายถึง การกระทำที่ทำด้วยความตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจไม่ถือว่าเป็นกรรม

             ถ้าถามว่าคนเราทำกรรมได้กี่ทาง ตอบชัดเจนเลย ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ หญิง หรือชาย คนเราทำกรรมได้ ๓ ทางด้วยกัน

             ประการที่ ๑ กรรมทางกาย
เราจะเอามือ เอาเท้า เอาทั้งตัว ไปทำก็ตาม เช่น

             เอาหัวโขกพื้น ด้วยความโกรธ ก็เป็นกรรม เพราะตั้งใจโขก

             เอาหัวโขกคำนับอย่างที่บางชนชาติเขาทำกัน นั่นก็เป็นกรรม เพราะทำด้วยความตั้งใจ

             สิบนิ้วของเราพนมยกมือไหว้กราบผู้ที่มีคุณธรรม นี้ก็จัดเป็นกรรม
แต่ว่าสิบนิ้วอีกเหมือนกันรวบกำเข้าเป็นกำปั้น แล้วไปต่อยเขาเข้า ก็จัดเป็นกรรมชั่ว

             ประการที่ ๒ กรรมทางวาจา
เราตั้งใจพูดชมใครตามความเป็นจริงว่า เขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ก็จัดว่าเป็นกรรมดีของเรา ในทำนองกลับกัน ถ้าตั้งใจด่าใครก็เป็นกรรมชั่วของเรา จัดเป็นกรรมทางวาจา

             คนหลับนอนละเมอไม่เป็นกรรม เพราะไม่ได้ตั้งใจ ไม่ถือสาหาความกัน

             คนไข้เพ้อ จะเพ้อชมใครติใครก็ตาม ไม่จัดว่าเป็นกรรม เพราะไม่มีความตั้งใจ ไม่มีเจตนา

             ประการที่ ๓ กรรมทางใจ คือเป็นกรรมทางความคิดนั่นเอง คิดรักใครเกลียดชังใคร คิดอิจฉาตาร้อนใคร ก็เป็นกรรม แค่คิดก็เป็นกรรมแล้ว ตรงนี้เองเวลาจะตัดสินว่า กรรมที่เราทำเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ถ้าจะเอามาตรฐานของใครมาวัดคงยาก ก็ต้องเอามาตรฐานของผู้รู้มาวัดกัน

             สมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทรงพระชนม์อยู่ ก็มีผู้สงสัยเช่นเดียวกับที่คุณโยม ว่า กรรมดีเป็นอย่างไร กรรมชั่วเป็นอย่างไร พระองค์ทรงมีวิธีตรัสตอบกลุ่มคนต่างๆ ให้ เข้าใจ คือ

             กรณีที่ ๑ ตอบให้เด็กเข้าใจ ตรัสตอบว่า

             ทำอะไรแล้วเดือดร้อนเขา เดือดร้อนเรา นั่นเป็นกรรมชั่ว

             ทำอะไรแล้วถ้าเดือดร้อนเรา แต่สบายใจเขา ก็อย่าทำ เพราะยังจัดเป็นกรรมชั่ว

             ทำอะไรแล้วเย็นใจเขา แต่ร้อนใจเรา ก็อย่าทำ จัดเป็นกรรมชั่ว

             ทำอะไรแล้วไม่ร้อนเขาไม่ร้อนเรา ทำเถิด นั่นแหละกรรมดี

             กรณีที่ ๒ ตอบให้ผู้ใหญ่เข้าใจ พระพุทธองค์จะตรัสตอบอีกลักษณะหนึ่ง คือ

             กรรมชั่ว คือ ทำอะไรแล้วต้องร้อนใจในภายหลัง อย่าทำ แม้ว่าเริ่มต้นดูว่าสนุก สบาย สะดวก แต่ลงท้ายด้วยความเดือดร้อน นั่นแหละกรรมชั่ว เช่น กินเหล้าตอนเริ่มต้นสนุก แต่ตอนท้ายก็คลานกันเสียแล้ว อาเจียนกันเสียแล้ว ตีกันเสียแล้ว ทำแล้วต้องร้อนใจในภายหลังจัดเป็นกรรมชั่ว

             กรรมดี คือ ทำอะไรแล้วไม่ต้องร้อนใจในภายหลัง ทำเถิด เช่น เด็กตั้งใจเรียนหนังสือตั้งแต่ต้นปี ทั้งทำการบ้าน อ่านท่องหนังสือสารพัด ไม่มีเวลาไปเที่ยวเลย เหนื่อยแต่ว่าปลายปีเขาสอบได้ จัดว่าเป็นกรรมดี

             กรณีที่ ๓ ตอบให้ผู้ใหญ่ที่การศึกษาหย่อนสักหน่อยเข้าใจ พระองค์ทรงตีกรอบเลยว่า

             กรรมชั่วทางกาย คือ ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม ตัดสินลงไปชัดเจน ไม่ต้องคิดมาก

             กรรมชั่วทางวาจา คือ พูดเท็จ พูดคำหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง จัดเป็นกรรมชั่ว

             กรรมชั่วทางใจ คือ คิดโลภอยากได้ของเขา คิดพยาบาทจองล้างจองผลาญเขา คิดเห็นผิดเป็นชอบ คิดโง่ๆ คิดอิจฉาริษยา จัดเป็นความชั่วทางใจ ชัดเจนลงไปอีก

             กรณีที่ ๔ ตอบให้นักปราชญ์บัณฑิตหรือนักฝึกสมาธิ พระองค์ก็ตรัสชัดว่า

             ทำอะไรแล้วใจมันขุ่นมัว นั่นคือ กรรมชั่ว

             ทำอะไรแล้วใจใส ยิ่งทำยิ่งใส นั่นคือ กรรมดี

             กรรมชั่วกรรมดีตัดสินกันอย่างนี้ คุณโยมค่อยๆ อธิบายให้ลูกฟังก็แล้วกัน หลวงพ่อก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าลูกคนโตของคุณโยมอายุ เท่าไร คนเล็กเท่าไร ก็ไปปรับดูให้พอเหมาะก็แล้วกัน


บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล